สวัสดีคะทุกคนชาวไกลบ้าน
วันนี้อยากจะมาเล่าประสบการณ์การสมัครเรียนต่อปริญญาเอกรอบยุโรปฉบับมาราธอนที่ใช้เวลาตั้งเเต่ธันวาคมปีที่เเล้วจนถึงเมื่อสอง
วันก่อนที่ได้รับ Unconditional offer เรียน Ph.D in Medicine (ไม่ได้เป็นเเพทย์นะคะเเต่ทํางานวิจัยด้านเเพทยศาสตร์)
หัวข้องานวิจัย เรื่อง Network Pharmacology for Novel Cancer Combination Therapies and Diagnostics จากมหาวิทยาลัยพร้อมกับการเซ้นต์รับตําเเหน่ง Early Stage Researcher ระยะเวลาสามปีที่ School of Medicine, Dentistry and Biomedical Sciences ที่ Queen's University Belfast ในสหราชอาณาจักร พร้อมฝึกงานกับบริษัท GlaxoSmithKline ที่ Stevanage ใกล้ๆลอนดอนตอนปีสองของการเรียนคะ
โปรเเกรมที่สมัครเข้าศึกษาต่อคือ SParK:
https://www.qub.ac.uk/Study/PostgraduateStudy/FundingandScholarships/Doctoral-Training-Centres/spark/
เเต่กว่าจะได้มาถึงจุดนี้ได้ จะต้องผ่านอะไรมาบ้าง หวังว่าเรื่องที่จะมาเล่านั้นก็เป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ
เล่าประวัติตัวเองคร่าวๆก่อนนะคะ
ปัจจุบันอยู่ในโค้งสุดท้ายในการเขียน dissertation สําหรับปริญญาโทใบที่สองด้าน Genomic Medicine อยู่ที่ University of Birmingham
ในประเทศอังกฤษ ระหว่างเรียนที่นี่ได้เป็น Postgraduate Ambassador ให้กับมหาวิทยาลัย (
https://pg.bham.ac.uk/mentor/p-naksukpaiboon/)
ปริญญาโทใบเเรกเรียนด้าน Bioinformatics and Systems Biology ที่เมืองไทยได้ทุนของสวทช ปริญญาตรีจบจากมหาวิทยาลัย
ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทุน Shelby Davis United World Colleges ซึ่งอันนี้ได้ทุนเต็มจํานวนไม่มีข้อผูกมัดเกือบทั้งหมดนะคะ อาจจะมองว่าเรียนเก่งเเต่จริงๆเเล้วเรียนคะเเนนได้ปานกลางมากคะ เมื่อเทียบกับเพื่อนคนอื่นๆเเล้วจะต้องพยายามมากกว่าคนอื่นจริงๆ เเต่พอดีได้ตีพิมพ์งานวิจัยตั้งเเต่ปริญญาตรี, ไปงาน conference สองที่ระดับ Asia-Pacific เเละตอนนี้งานวิจัยที่ทํา ในปีที่ผ่านมาระหว่างอยู่อังกฤษก็กําลังจะลงตีพิมพ์ ใน Molecular Systems Biology งานวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัย Uppsala University ประเทศสวีเดน
กิจกรรมระหว่างเรียนก็ทําค่อนข้างเยอะตลอดไม่ว่าจะยุ่งเเค่ไหนเช่นร้องเพลงประสานเสียงให้กับมหาวิทยาลัย ตอนอยู่ปริญญาตรีก็ทํางานให้กับ International Students Association เพราะสําหรับเราถือว่าเป็นการคลายเครียดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ก็มี ได้ทําโปรเจคหนึ่งชื่อว่า 3OLVED เสนอในการเเข่งขัน Telenor Youth Forum ซึ่งได้รับเลือกเป็นตัวเเทนประเทศไทยไปเข้าร่วมงาน Nobel Peace Prize Ceremony ที่ Oslo ประเทศนอร์เวย์ในปี 2015 เเละได้มี TedX talk ให้กับ TedXthammasatU: "We are differently abled" :
https://www.youtube.com/watch?v=f1yzORHYWeo&t=5s เเละได้มีสัมภาษณ์ให้กับ Madame Figgaro ด้วย
ก่อนหน้านี้ก็ได้มีกระทู้ในพินทิปอยู่บ้างสามารถลองไปอ่านดูได้นะคะ
เล่าประวัติตัวเองมาพอสมควรเเล้วมาเริ่มเล่าเกี่ยวกับว่า "ทําไมอยากเรียนปริญญาเอก?"
ที่อยากจะเรียนต่อในระดับปริญญาเอกก็เพราะว่ารู้สึกว่า ยิ่งเรียนเเละยิ่งไม่รู้ เพราะมันมีอะไรที่เรายังไม่รู้อีกเยอะมากทีเดียว ก็เลยอยากจะรู้ให้มากกว่านี้ อีกอย่างหนึ่งคือเป็นคนที่มีความสุขกับการได้ค้นหาคําตอบมากฉะนั้นก็เลยมองว่าการเรียนต่อระดับปริญญาเอกนั้นน่าจะเป็นการตอบโจทย์ที่ดีที่สุดสําหรับตัวเราเอง ที่เลือกเรียนสาขาเเพทยศาสตร์เเละเน้นงานวิจัยไปในด้านนี้ เพราะว่า มีคนที่เราให้ความเคารพนับถือท่านหนึ่งเป็นทันตเเพทย์ที่รักษาเรามาตั้งเเต่อายุสามขวบเสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งเต้านมเเละคุณพ่อก็เสียชีวิตด้วยโรคในกลุ่มหายาก (Rare Diseases) ก็เลยตัดสินใจเรียนด้าน Genomic Medicine ต่อเป็นบที่สอง จริงๆมีสองวิชาที่เรียนเเล้วชอบมากคือ Omics of Rare Diseases กับ Cancer Genomics เเต่ตอนที่ได้ไปดูงานที่โรงพยาบาลกับอาจารย์เเละเห็น impact ของ 100,000 Genomes project ในเรื่องการรักษาโรคมะเร็งก็เลยตัดสินใจทํา dissertation เรื่องเกี่ยวกับโรคมะเร็งคะเเละคิดว่าจะเรียนต่อด้านนี้ในระดับปริญญาเอก
การสมัครระดับปริญญาเอกจะต้องเตรียมตัวเยอะมาก ก่อนที่จะไปเรียนที่อังกฤษตอนเดือนกันยายนเราก็ได้เริ่มหาข้อมูลที่เรียนไว้เเล้วบ้างว่าจะยังไง ที่เลือกเรียนต่อในยุโรปเพราะใช้เวลาสั้นกว่าเเละไม่ต้องจ่ายค่าสมัครสอบต่างๆหรือเเม้เเต่ค่าใบสมัครใดๆ นอกจาก Oxford/Cambridge ซึ่งประมาณ 70 ปอนด์ สําหรับใครที่จะสมัครเรียนต่อปริญญาเอกเเนะนําว่าใช้เวลาเตรียมตัวประมาณหกเดือนตั้งเเต่เตรียมเอกสารต่างๆเเละการหาข้อมูล
สิ่งที่เราต้องใช้ทางเอกสารเเละอื่นๆ
1. ใบปริญญาเเละเอกสารทางการศึกษาทั้งหมด สําหรับใครที่คิดจะไปต่อเยอร์มันกรุณาหาใบจบมัธยมศึกษาตอนปลายไว้ด้วยเพราะคุณจะต้องใช้
(ตอนมาเรียนอังกฤษเราได้หอบเอกสารเหล่านี้มาด้วยเเละสเเกนเก็บไว้ในอีเมลล์)
2. Letters of Recommendation (ของเราใช้ของอาจารย์ที่ปรึกษากับอาจารย์วิชาที่เรียนได้คะเเนนสูงสุดที่อังกฤษ)
เเนะนําให้เขียนตารางให้อาจารย์เลยว่าจะสมัครที่ไหนบ้างเเละส่งอีเมลล์ไปเตือนด้วย เรื่องนี้สําคัญมาก (เรื่องอาจารย์มีโมเม้นท์ประทับใจเยอะมากคะ) เดี่ยวจะมาเล่าให้ฟังอย่างยาวคะ
3. CV/Resume เเนะนําว่าต้องทําไว้หลายเวอร์ชั่นเพราะจะต้องตรงกับ criteria ของวิชาที่จะเรียน
4. Cover letter ทุกที่ที่จะสมัครจะต้องเขียนเฉพาะที่ๆนั้นไปเลยไม่งั้นจะยากมากที่เค้าคิดว่าคุณสนใจจะเรียนด้านนี้จริงๆ
5. ความอดทน ต้องมีเยอะมากเพราะว่าจะต้องรอผลในเเต่ละรอบเเบบนานมาก
6. ความพยายาม เพราะมีน้อยคนมากที่จะสมัครที่เดียวเเล้วจะติด
7. กําลังใจจากคนรอบข้าง อันนี้สําคัญมากเพราะมันเหมือนการวิ่งมาราธอนจริงๆ เหนื่อยเเละหนักมาก
เริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าตอนที่ตัดสินใจว่าจะสมัครเรียนปริญญาเอกนั้นเราก็เริ่ม google เลยว่ามี funded studentships ในอังกฤษในสาขาที่เราอยากจะเรียนบ้างหรือไม่ปรากฎมีเยอะมาก! เพราะมีการพยากรณ์ออกมาเเล้วว่าภายในปี 2020 1 ใน 3 ของคนอังกฤษนั้นจะมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งชนิดใดชนิดหนึ่ง เล่าให้เพื่อนฟังเเล้วหนาวๆร้อนๆกันเลยทีเดียว เเต่เพราะเราไม่ได้เป็นคนจากประเทศอังกฤษหรือ European Union ฉะนั้นก็จะหมดสิทธิ์ที่สมัครโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก Cancer Research UK, เเละ MRC จริงๆสมัครได้สําหรับบางคนถ้าอยู่อังกฤษครบสามปี ถ้าจําไม่ผิดนะคะ ตอนนั้นก็เริ่มคิดเเล้วตายละเราต้องสมัครรอบยุโรปเเล้วละ ทีนี้ทุกคืนหลังจากอ่านหนังสือเสร็จ ทําการบ้านเสร็จ เสาร์-อาทิตย์ก็จะนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์บางคืนก็ถึงตีสามตีสี่นั่งอ่านว่ามีอันไหนน่าสนใจบ้าง มีทุนให้หรือไม่ deadline เมื่อไหร่ เเล้วก็เริ่มลิสต์รายชื่อมหาวิทยาลัยเป็นหางว่าว ตอนนั้นก็เริ่มประเมินตัวเองเเล้วละว่าไม่มีทางที่เราจะสามารถสมัครได้หมดเลยลดเหลือทั้งหมด 15 โปรเเกรมรอบทวีปยุโรป ซึ่งถือว่าเยอะมากจริงๆ สิ่งที่คิดในตอนนั้นคือเต็มที่ มันต้องได้สักทีละน่า ได้โอกาสมาเรียนขนาดนี้เเล้วก็ต้องเต็มที่ไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป
สําหรับเว็บไซต์ที่ใช้ในการหาข้อมูลก็จะมี BeGenomics, FindAPhD, PhDPositions นอกจากนี้ก็ได้มีโอกาสไปงาน Nature Jobs ที่ลอนดอนเพื่อไปดูว่ามีอะไรน่าสนใจบ้างในเรื่องของที่เรียนซึ่งมหาวิทยาลัยส่วนมากที่มาจะมาจากประเทศเยอร์มันนั่นเป็นจุดเริ่มต้นในการสมัครเรียนปริญญาเอกในประเทศเยอรมันนั่นเอง หลังจากได้คุยกับเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยในงานก็เริ่มด้วยการเปิด directory ของ DAAD เพื่อดูว่ามีที่ไหนที่เราสนใจบ้างซึ่งก็มีเยอะเเต่ด้วยความที่ใบสมัครค่อนข้างกับซับซ้อนเเละเนื้อหาเยอะจึงเลือกสมัครไปเเค่สองโปรเเกรมคือ DKFZ (German Cancer Research), เเละ DIGS-BB ของ Dresden ด้วยความที่เเข่งขันกันสูงมากก็เลยไม่ได้เเม้เเต่จะสัมภาษณ์ของเยอร์มัน หลังจากพลาดหวังจากเยอร์มันมาเเล้วก็มาต่อด้วยประเทศสวิตเซอร์เเลนด์ซึ่งสมัครไปที่ ETH Zurich ซึ่งในระดับปริญญาเอกที่นี่ก็ต้องไปดู postings ใน directory งานนี้ต้องเขียน cover letter มือเป็นระวิง ระหว่างเตรียมตัวสอบวิชาต่างๆไปด้วย มีโมเม้นท์ที่ท้อมากจริงๆเพราะมันเยอะมาก รออยู่ประมาณสองเดือนก็ไม่ได้อีเมลล์ตอบกลับ จริงๆเเล้วมีอีกหลายที่เลยค่ะเเต่เพื่อความกระชับเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
หลังจากนั้นก็ตัดสินใจสมัครไปเรียนที่ Institut Curie, Finland EMBL เเละ Queen's University Belfast
สําหรับ Institut Curie ตัดสินใจเขียนใบสมัครสองอาทิตย์สุดท้าย ตอนนั้นเเบบคิดในใจจะสมัครดีหรือไม่ สุดท้ายก็สมัครไป ปรากฎมีอีเมลล์มาบอกว่าเราติดสัมภาษณ์ ตอนนั้นอยู่ห้องสมุดที่มหาวิทยาลัยเเบบกริ๊ดลั่นเลยเพราะจะต้องไปสัมภาษณ์ที่ปารีส การผจญภ้ยก็ได้เริ่มขึ้น
ตัวเองเรียนอยู่อังกฤษเเละต้องบินไปฝรั่งเศส ทางสถาบันจะออกค่าใช้จ่ายให้หลังจากที่สัมภาษณ์เรียบร้อยเเล้ว ส่วนตัวก็ไม่ได้มีเงินมากมายเลยจริงๆ เรื่องประทับใจก็ได้เกิดขึ้น นาทีที่ได้เรียกสัมภาษณ์ไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาว่า เราต้องเตรียมตัวไปฝรั่งเศสเพื่อสัมภาษณ์ในหัวข้อนี้นะ
อาจารย์ส่งอีเมลล์ไปรอบคณะถามว่ามีใครชํานาญด้านนี้บ้างเเละทําเรื่องนัดอาจารย์ทุกคนให้หมดเลยเพื่อให้เราไปเรียนตัวต่อตัวกับสิ่งที่ต้องทราบตอนไปสัมภาษณ์ ทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่ของเค้าเลยสักนิดเดียวจริงๆ อนุญาติให้หยุดทําวิทยานิพนธ์ไปเลยสามอาทิตย์เพื่อเตรียมไปฝรั่งเศส
ตอนนั้นก็ไม่ได้มีเงินเลยที่จะซื้อตั๋วเครื่องบิน ค่าวีซ่า เเละ ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ตลอดหนึ่งอาทิตย์ ปรากฎว่า อาจารย์หลายคนที่มหาวิทยาลัยช่วยกันออกเงินให้เราได้ไปสัมภาษณ์ที่ฝรั่งเศสมาก่อน พร้อมด้วยคําพูดว่า "We will get you to Curie this year." เพราะเค้าทราบว่าอยากจะเรียนมากเเค่ไหน ตอนนั้นเเทบร้องไห้เพราะว่าไม่คิดว่าจะมีอาจารย์ดีขนาดนี้
สามารถไปตามกันต่อได้ที่ comment #9 นะคะ
เเชร์ประสบการณ์การสมัครเรียนทุนเรียนต่อปริญญาเอกรอบยุโรปฉบับมาราธอน
วันนี้อยากจะมาเล่าประสบการณ์การสมัครเรียนต่อปริญญาเอกรอบยุโรปฉบับมาราธอนที่ใช้เวลาตั้งเเต่ธันวาคมปีที่เเล้วจนถึงเมื่อสอง
วันก่อนที่ได้รับ Unconditional offer เรียน Ph.D in Medicine (ไม่ได้เป็นเเพทย์นะคะเเต่ทํางานวิจัยด้านเเพทยศาสตร์)
หัวข้องานวิจัย เรื่อง Network Pharmacology for Novel Cancer Combination Therapies and Diagnostics จากมหาวิทยาลัยพร้อมกับการเซ้นต์รับตําเเหน่ง Early Stage Researcher ระยะเวลาสามปีที่ School of Medicine, Dentistry and Biomedical Sciences ที่ Queen's University Belfast ในสหราชอาณาจักร พร้อมฝึกงานกับบริษัท GlaxoSmithKline ที่ Stevanage ใกล้ๆลอนดอนตอนปีสองของการเรียนคะ
โปรเเกรมที่สมัครเข้าศึกษาต่อคือ SParK: https://www.qub.ac.uk/Study/PostgraduateStudy/FundingandScholarships/Doctoral-Training-Centres/spark/
เเต่กว่าจะได้มาถึงจุดนี้ได้ จะต้องผ่านอะไรมาบ้าง หวังว่าเรื่องที่จะมาเล่านั้นก็เป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ
เล่าประวัติตัวเองคร่าวๆก่อนนะคะ
ปัจจุบันอยู่ในโค้งสุดท้ายในการเขียน dissertation สําหรับปริญญาโทใบที่สองด้าน Genomic Medicine อยู่ที่ University of Birmingham
ในประเทศอังกฤษ ระหว่างเรียนที่นี่ได้เป็น Postgraduate Ambassador ให้กับมหาวิทยาลัย (https://pg.bham.ac.uk/mentor/p-naksukpaiboon/)
ปริญญาโทใบเเรกเรียนด้าน Bioinformatics and Systems Biology ที่เมืองไทยได้ทุนของสวทช ปริญญาตรีจบจากมหาวิทยาลัย
ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทุน Shelby Davis United World Colleges ซึ่งอันนี้ได้ทุนเต็มจํานวนไม่มีข้อผูกมัดเกือบทั้งหมดนะคะ อาจจะมองว่าเรียนเก่งเเต่จริงๆเเล้วเรียนคะเเนนได้ปานกลางมากคะ เมื่อเทียบกับเพื่อนคนอื่นๆเเล้วจะต้องพยายามมากกว่าคนอื่นจริงๆ เเต่พอดีได้ตีพิมพ์งานวิจัยตั้งเเต่ปริญญาตรี, ไปงาน conference สองที่ระดับ Asia-Pacific เเละตอนนี้งานวิจัยที่ทํา ในปีที่ผ่านมาระหว่างอยู่อังกฤษก็กําลังจะลงตีพิมพ์ ใน Molecular Systems Biology งานวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัย Uppsala University ประเทศสวีเดน
กิจกรรมระหว่างเรียนก็ทําค่อนข้างเยอะตลอดไม่ว่าจะยุ่งเเค่ไหนเช่นร้องเพลงประสานเสียงให้กับมหาวิทยาลัย ตอนอยู่ปริญญาตรีก็ทํางานให้กับ International Students Association เพราะสําหรับเราถือว่าเป็นการคลายเครียดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ก็มี ได้ทําโปรเจคหนึ่งชื่อว่า 3OLVED เสนอในการเเข่งขัน Telenor Youth Forum ซึ่งได้รับเลือกเป็นตัวเเทนประเทศไทยไปเข้าร่วมงาน Nobel Peace Prize Ceremony ที่ Oslo ประเทศนอร์เวย์ในปี 2015 เเละได้มี TedX talk ให้กับ TedXthammasatU: "We are differently abled" : https://www.youtube.com/watch?v=f1yzORHYWeo&t=5s เเละได้มีสัมภาษณ์ให้กับ Madame Figgaro ด้วย
ก่อนหน้านี้ก็ได้มีกระทู้ในพินทิปอยู่บ้างสามารถลองไปอ่านดูได้นะคะ
เล่าประวัติตัวเองมาพอสมควรเเล้วมาเริ่มเล่าเกี่ยวกับว่า "ทําไมอยากเรียนปริญญาเอก?"
ที่อยากจะเรียนต่อในระดับปริญญาเอกก็เพราะว่ารู้สึกว่า ยิ่งเรียนเเละยิ่งไม่รู้ เพราะมันมีอะไรที่เรายังไม่รู้อีกเยอะมากทีเดียว ก็เลยอยากจะรู้ให้มากกว่านี้ อีกอย่างหนึ่งคือเป็นคนที่มีความสุขกับการได้ค้นหาคําตอบมากฉะนั้นก็เลยมองว่าการเรียนต่อระดับปริญญาเอกนั้นน่าจะเป็นการตอบโจทย์ที่ดีที่สุดสําหรับตัวเราเอง ที่เลือกเรียนสาขาเเพทยศาสตร์เเละเน้นงานวิจัยไปในด้านนี้ เพราะว่า มีคนที่เราให้ความเคารพนับถือท่านหนึ่งเป็นทันตเเพทย์ที่รักษาเรามาตั้งเเต่อายุสามขวบเสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งเต้านมเเละคุณพ่อก็เสียชีวิตด้วยโรคในกลุ่มหายาก (Rare Diseases) ก็เลยตัดสินใจเรียนด้าน Genomic Medicine ต่อเป็นบที่สอง จริงๆมีสองวิชาที่เรียนเเล้วชอบมากคือ Omics of Rare Diseases กับ Cancer Genomics เเต่ตอนที่ได้ไปดูงานที่โรงพยาบาลกับอาจารย์เเละเห็น impact ของ 100,000 Genomes project ในเรื่องการรักษาโรคมะเร็งก็เลยตัดสินใจทํา dissertation เรื่องเกี่ยวกับโรคมะเร็งคะเเละคิดว่าจะเรียนต่อด้านนี้ในระดับปริญญาเอก
การสมัครระดับปริญญาเอกจะต้องเตรียมตัวเยอะมาก ก่อนที่จะไปเรียนที่อังกฤษตอนเดือนกันยายนเราก็ได้เริ่มหาข้อมูลที่เรียนไว้เเล้วบ้างว่าจะยังไง ที่เลือกเรียนต่อในยุโรปเพราะใช้เวลาสั้นกว่าเเละไม่ต้องจ่ายค่าสมัครสอบต่างๆหรือเเม้เเต่ค่าใบสมัครใดๆ นอกจาก Oxford/Cambridge ซึ่งประมาณ 70 ปอนด์ สําหรับใครที่จะสมัครเรียนต่อปริญญาเอกเเนะนําว่าใช้เวลาเตรียมตัวประมาณหกเดือนตั้งเเต่เตรียมเอกสารต่างๆเเละการหาข้อมูล
สิ่งที่เราต้องใช้ทางเอกสารเเละอื่นๆ
1. ใบปริญญาเเละเอกสารทางการศึกษาทั้งหมด สําหรับใครที่คิดจะไปต่อเยอร์มันกรุณาหาใบจบมัธยมศึกษาตอนปลายไว้ด้วยเพราะคุณจะต้องใช้
(ตอนมาเรียนอังกฤษเราได้หอบเอกสารเหล่านี้มาด้วยเเละสเเกนเก็บไว้ในอีเมลล์)
2. Letters of Recommendation (ของเราใช้ของอาจารย์ที่ปรึกษากับอาจารย์วิชาที่เรียนได้คะเเนนสูงสุดที่อังกฤษ)
เเนะนําให้เขียนตารางให้อาจารย์เลยว่าจะสมัครที่ไหนบ้างเเละส่งอีเมลล์ไปเตือนด้วย เรื่องนี้สําคัญมาก (เรื่องอาจารย์มีโมเม้นท์ประทับใจเยอะมากคะ) เดี่ยวจะมาเล่าให้ฟังอย่างยาวคะ
3. CV/Resume เเนะนําว่าต้องทําไว้หลายเวอร์ชั่นเพราะจะต้องตรงกับ criteria ของวิชาที่จะเรียน
4. Cover letter ทุกที่ที่จะสมัครจะต้องเขียนเฉพาะที่ๆนั้นไปเลยไม่งั้นจะยากมากที่เค้าคิดว่าคุณสนใจจะเรียนด้านนี้จริงๆ
5. ความอดทน ต้องมีเยอะมากเพราะว่าจะต้องรอผลในเเต่ละรอบเเบบนานมาก
6. ความพยายาม เพราะมีน้อยคนมากที่จะสมัครที่เดียวเเล้วจะติด
7. กําลังใจจากคนรอบข้าง อันนี้สําคัญมากเพราะมันเหมือนการวิ่งมาราธอนจริงๆ เหนื่อยเเละหนักมาก
เริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าตอนที่ตัดสินใจว่าจะสมัครเรียนปริญญาเอกนั้นเราก็เริ่ม google เลยว่ามี funded studentships ในอังกฤษในสาขาที่เราอยากจะเรียนบ้างหรือไม่ปรากฎมีเยอะมาก! เพราะมีการพยากรณ์ออกมาเเล้วว่าภายในปี 2020 1 ใน 3 ของคนอังกฤษนั้นจะมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งชนิดใดชนิดหนึ่ง เล่าให้เพื่อนฟังเเล้วหนาวๆร้อนๆกันเลยทีเดียว เเต่เพราะเราไม่ได้เป็นคนจากประเทศอังกฤษหรือ European Union ฉะนั้นก็จะหมดสิทธิ์ที่สมัครโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก Cancer Research UK, เเละ MRC จริงๆสมัครได้สําหรับบางคนถ้าอยู่อังกฤษครบสามปี ถ้าจําไม่ผิดนะคะ ตอนนั้นก็เริ่มคิดเเล้วตายละเราต้องสมัครรอบยุโรปเเล้วละ ทีนี้ทุกคืนหลังจากอ่านหนังสือเสร็จ ทําการบ้านเสร็จ เสาร์-อาทิตย์ก็จะนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์บางคืนก็ถึงตีสามตีสี่นั่งอ่านว่ามีอันไหนน่าสนใจบ้าง มีทุนให้หรือไม่ deadline เมื่อไหร่ เเล้วก็เริ่มลิสต์รายชื่อมหาวิทยาลัยเป็นหางว่าว ตอนนั้นก็เริ่มประเมินตัวเองเเล้วละว่าไม่มีทางที่เราจะสามารถสมัครได้หมดเลยลดเหลือทั้งหมด 15 โปรเเกรมรอบทวีปยุโรป ซึ่งถือว่าเยอะมากจริงๆ สิ่งที่คิดในตอนนั้นคือเต็มที่ มันต้องได้สักทีละน่า ได้โอกาสมาเรียนขนาดนี้เเล้วก็ต้องเต็มที่ไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป
สําหรับเว็บไซต์ที่ใช้ในการหาข้อมูลก็จะมี BeGenomics, FindAPhD, PhDPositions นอกจากนี้ก็ได้มีโอกาสไปงาน Nature Jobs ที่ลอนดอนเพื่อไปดูว่ามีอะไรน่าสนใจบ้างในเรื่องของที่เรียนซึ่งมหาวิทยาลัยส่วนมากที่มาจะมาจากประเทศเยอร์มันนั่นเป็นจุดเริ่มต้นในการสมัครเรียนปริญญาเอกในประเทศเยอรมันนั่นเอง หลังจากได้คุยกับเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยในงานก็เริ่มด้วยการเปิด directory ของ DAAD เพื่อดูว่ามีที่ไหนที่เราสนใจบ้างซึ่งก็มีเยอะเเต่ด้วยความที่ใบสมัครค่อนข้างกับซับซ้อนเเละเนื้อหาเยอะจึงเลือกสมัครไปเเค่สองโปรเเกรมคือ DKFZ (German Cancer Research), เเละ DIGS-BB ของ Dresden ด้วยความที่เเข่งขันกันสูงมากก็เลยไม่ได้เเม้เเต่จะสัมภาษณ์ของเยอร์มัน หลังจากพลาดหวังจากเยอร์มันมาเเล้วก็มาต่อด้วยประเทศสวิตเซอร์เเลนด์ซึ่งสมัครไปที่ ETH Zurich ซึ่งในระดับปริญญาเอกที่นี่ก็ต้องไปดู postings ใน directory งานนี้ต้องเขียน cover letter มือเป็นระวิง ระหว่างเตรียมตัวสอบวิชาต่างๆไปด้วย มีโมเม้นท์ที่ท้อมากจริงๆเพราะมันเยอะมาก รออยู่ประมาณสองเดือนก็ไม่ได้อีเมลล์ตอบกลับ จริงๆเเล้วมีอีกหลายที่เลยค่ะเเต่เพื่อความกระชับเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
หลังจากนั้นก็ตัดสินใจสมัครไปเรียนที่ Institut Curie, Finland EMBL เเละ Queen's University Belfast
สําหรับ Institut Curie ตัดสินใจเขียนใบสมัครสองอาทิตย์สุดท้าย ตอนนั้นเเบบคิดในใจจะสมัครดีหรือไม่ สุดท้ายก็สมัครไป ปรากฎมีอีเมลล์มาบอกว่าเราติดสัมภาษณ์ ตอนนั้นอยู่ห้องสมุดที่มหาวิทยาลัยเเบบกริ๊ดลั่นเลยเพราะจะต้องไปสัมภาษณ์ที่ปารีส การผจญภ้ยก็ได้เริ่มขึ้น
ตัวเองเรียนอยู่อังกฤษเเละต้องบินไปฝรั่งเศส ทางสถาบันจะออกค่าใช้จ่ายให้หลังจากที่สัมภาษณ์เรียบร้อยเเล้ว ส่วนตัวก็ไม่ได้มีเงินมากมายเลยจริงๆ เรื่องประทับใจก็ได้เกิดขึ้น นาทีที่ได้เรียกสัมภาษณ์ไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาว่า เราต้องเตรียมตัวไปฝรั่งเศสเพื่อสัมภาษณ์ในหัวข้อนี้นะ
อาจารย์ส่งอีเมลล์ไปรอบคณะถามว่ามีใครชํานาญด้านนี้บ้างเเละทําเรื่องนัดอาจารย์ทุกคนให้หมดเลยเพื่อให้เราไปเรียนตัวต่อตัวกับสิ่งที่ต้องทราบตอนไปสัมภาษณ์ ทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่ของเค้าเลยสักนิดเดียวจริงๆ อนุญาติให้หยุดทําวิทยานิพนธ์ไปเลยสามอาทิตย์เพื่อเตรียมไปฝรั่งเศส
ตอนนั้นก็ไม่ได้มีเงินเลยที่จะซื้อตั๋วเครื่องบิน ค่าวีซ่า เเละ ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ตลอดหนึ่งอาทิตย์ ปรากฎว่า อาจารย์หลายคนที่มหาวิทยาลัยช่วยกันออกเงินให้เราได้ไปสัมภาษณ์ที่ฝรั่งเศสมาก่อน พร้อมด้วยคําพูดว่า "We will get you to Curie this year." เพราะเค้าทราบว่าอยากจะเรียนมากเเค่ไหน ตอนนั้นเเทบร้องไห้เพราะว่าไม่คิดว่าจะมีอาจารย์ดีขนาดนี้
สามารถไปตามกันต่อได้ที่ comment #9 นะคะ