[หนังโรงเรื่องที่ 240] The First Purge: เป็นจุดเริ่มต้นที่โคตรกร่อย
คะแนนความชอบ : B (จากสเกล D-A)
(Gerard McMurray, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: เป็นช่วงก่อนเริ่มพิธี "The Purge" ครั้งแรก ในยุคที่เศรษฐกิจอเมริกาตกต่ำอย่างหนัก อัตราว่างงานทะลุเพดาน หนำซ้ำรัฐบาลยังมีหนี้สินท่วมหัวจากการต้องอุ้มสวัสดิการของชนชั้นล่างรายได้ต่ำเอาไว้
พรรคการเมือง New Founding Fathers of America ได้ขึ้นมาครองอำนาจหมาดๆ ด้วยนโยบาย "การชำระล้าง" เพื่อให้โอกาสประชาชนได้ปลดปล่อยความรุนแรงและฆ่ากันได้อย่างเต็มที่โดยไม่ผิดกฎหมายในหนึ่งคืน/12 ชั่วโมงต่อปี ซึ่งพรรค NFFA ก็กำลังจะเริ่มทดลองการชำระล้างบนเกาะสเตแทนซึ่งเป็นแหล่งพำนักอาศัยขนาดใหญ่ของชนชั้นแรงงาน
... ผลของการทดลองระบบครั้งนี้จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของอเมริกาที่กำเนิดใหม่ไปตลอดกาล
👍 จุดที่ชอบ 👍
1.ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นแฟนหนังชุด The Purge มาตั้งแต่ภาคแรก ก็เลยอดตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้เห็นที่มาที่ไปของแนวคิดการชำระล้าง รวมไปถึงจุดเริ่มต้นของความวิปริตในวิถีอเมริกันชนด้วย ซึ่งหนังมันก็อธิบายได้ชัดเจนพอสมควรแหละ
2.เราจะได้เห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่หนังตั้งใจเก็บมาด้วย อย่างเช่นประกาศฉุกเฉินแจ้งเตือนเริ่ม The Purge เวอร์ชั่นแรกเราก็จะเห็นว่ากฎกติกาต่างๆ ยังไม่ชัดเจนเท่าไรนัก เช่นสิ่งก่อสร้างหวงห้ามระดับ 10 เป็นต้น--ถึงโครงสร้างโดยรวมจะเหมือนเดิมกับที่เราเคยได้ยินมา แต่มันก็เป็นอรรถรสอย่างหนึ่งที่ได้เห็นพัฒนาการของประเพณีนี้ด้วย
👎 จุดที่ไม่ชอบ 👎
1. จริงอยู่ที่หนังมันอธิบายที่มาที่ไปได้ชัดเจน แต่มันโคตรจะ "ไม่สาแก่ใจ" (unsatisfying) อย่างแรงเลย มันดูลวกมากๆ กับจุดเริ่มต้นของประเพณีที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้แล้วดันไปโฟกัสกับฉากแอคชั่นแทน คือในฐานะแฟนหนังขัดใจมาก
ผมคิดว่าแฟนๆ อย่างพวกเราดูมาสามภาคแล้วเราก็ไม่ได้อยากเสพฉากแอคชั่นที่รุนแรงกันขนาดนั้นแล้วล่ะ เราอยากรู้เรื่อง อยากให้หนังเล่ารากฐานของ The Purge ให้แน่นหนาและให้มันออกมาอลังการที่สุด เรียกได้ว่าหนังโฟกัสผิดจุดมากๆ
2. หนังมัน "ดำไป" จนดูตลก ดำในที่นี้คือมันมีโทนของ "คนดำ" หนาแน่นมาก ตัวเอกเกือบทุกตัวเป็นคนดำ เพลงประกอบในเรื่องก็เป็นฮิปฮอปจ๋า ภาษาการพูดการจาก็ Gangster สุดๆ ... คือถ้าใครติดตามผลงานผมมาตลอดก็คงจะทราบว่าผมเป็นคนที่โอเคกับความหลากหลาย (diversity) นะและใส่ใจกับความ PC มาตลอด
แต่การคุมโทนในหนังมันไม่ได้เรื่องจริงๆ ที่ผ่านมาเสน่ห์ของ The Purge มันอยู่ที่การเกลี่ยบทให้ตัวละครหลากหลายเชื้อชาติได้อย่างน่าสนใจและเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนขาว ลาติโน่ เอเชี่ยน หรือคนดำ คุณก็เสี่ยงตายในคืนชำระล้างได้เหมือนกัน แต่พอมาในภาคนี้มันไม่ใช่แล้ว
3. ตัวละครขาดเสน่ห์จับใจคนดูไม่ได้ ในเวลาหนังชั่วโมงครึ่งผมแทบไม่รู้สึกผูกพันกับตัวละครใดเลยแม้แต่น้อย ความสัมพันธ์มันดูฉาบฉวยและหลวมเกินกว่าที่จะทำให้เราอินตามได้ ถ้าจะให้ยกเคสที่ดีที่สุดก็คงจะเป็นตัวละครเจ้าพ่อยาเสพติดอย่าง Dmitri ที่ยังพอมีมิติที่น่าสนใจอยู่ แต่ความรู้สึกนั้นก็หายไปทันทีที่พี่แกเริ่มจับปืน ผมนึกว่าดู Blade อยู่ ให้ตายสิ
4. ฉากแอคชั่นดูไร้สาระมากๆ ตัวละครเอกเก่งแบบพลังล้นฟ้าจนน่าขันทั้งที่มีปูมหลังเพียงนิดเดียว และที่สำคัญคือฉากฆ่าแสดงความเพี้ยนหลุดโลกในวิถีอเมริกันชนก็ไม่มีให้เราดูเลยสักฉาก
คือก็เข้าใจว่า setting มันเป็นการชำระล้างครั้งแรก แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นเสน่ห์ของหนังก็คือ art style ของการฆาตกรรมเพี้ยนๆ ที่หนังสอดแทรกเข้ามาเป็นเชิงสัญลักษณ์ได้ยอดเยี่ยมมาก พอมันหายไปก็รู้สึกว่าแก่นของหนังมันโหวงๆ ไปพอสมควร
✔ สรุป ✔
ผมคิดว่านี่อาจจะเป็น The Purge ภาคที่ห่วยที่สุดในทั้งหมด 4 ภาค ขอสังเกตว่าความแตกต่างของภาคนี้กับไตรภาคที่ผ่านมาก็คือ "เปลี่ยนผู้กำกับ" จากตัว James DeMonaco มาเป็นคนนี้
สไตล์และรสนิยมที่หายไปเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากกับวัตถุดิบที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ โดยส่วนตัวผมคิดจริงๆ ว่ามันดีกว่านี้ได้อีกเยอะเลย
#ตั๋วหนังมันแพง
ถูกใจรีวิวก็สามารถมาแสดงความคิดเห็นและกดไลค์ + แชร์ เพื่อสนับสนุนเพจได้ครับ:
https://www.facebook.com/expensivemovie/
[หนังโรงเรื่องที่ 240] The First Purge: เป็นจุดเริ่มต้นที่โคตรกร่อย by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : B (จากสเกล D-A)
(Gerard McMurray, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: เป็นช่วงก่อนเริ่มพิธี "The Purge" ครั้งแรก ในยุคที่เศรษฐกิจอเมริกาตกต่ำอย่างหนัก อัตราว่างงานทะลุเพดาน หนำซ้ำรัฐบาลยังมีหนี้สินท่วมหัวจากการต้องอุ้มสวัสดิการของชนชั้นล่างรายได้ต่ำเอาไว้
พรรคการเมือง New Founding Fathers of America ได้ขึ้นมาครองอำนาจหมาดๆ ด้วยนโยบาย "การชำระล้าง" เพื่อให้โอกาสประชาชนได้ปลดปล่อยความรุนแรงและฆ่ากันได้อย่างเต็มที่โดยไม่ผิดกฎหมายในหนึ่งคืน/12 ชั่วโมงต่อปี ซึ่งพรรค NFFA ก็กำลังจะเริ่มทดลองการชำระล้างบนเกาะสเตแทนซึ่งเป็นแหล่งพำนักอาศัยขนาดใหญ่ของชนชั้นแรงงาน
... ผลของการทดลองระบบครั้งนี้จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของอเมริกาที่กำเนิดใหม่ไปตลอดกาล
1.ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นแฟนหนังชุด The Purge มาตั้งแต่ภาคแรก ก็เลยอดตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้เห็นที่มาที่ไปของแนวคิดการชำระล้าง รวมไปถึงจุดเริ่มต้นของความวิปริตในวิถีอเมริกันชนด้วย ซึ่งหนังมันก็อธิบายได้ชัดเจนพอสมควรแหละ
2.เราจะได้เห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่หนังตั้งใจเก็บมาด้วย อย่างเช่นประกาศฉุกเฉินแจ้งเตือนเริ่ม The Purge เวอร์ชั่นแรกเราก็จะเห็นว่ากฎกติกาต่างๆ ยังไม่ชัดเจนเท่าไรนัก เช่นสิ่งก่อสร้างหวงห้ามระดับ 10 เป็นต้น--ถึงโครงสร้างโดยรวมจะเหมือนเดิมกับที่เราเคยได้ยินมา แต่มันก็เป็นอรรถรสอย่างหนึ่งที่ได้เห็นพัฒนาการของประเพณีนี้ด้วย
1. จริงอยู่ที่หนังมันอธิบายที่มาที่ไปได้ชัดเจน แต่มันโคตรจะ "ไม่สาแก่ใจ" (unsatisfying) อย่างแรงเลย มันดูลวกมากๆ กับจุดเริ่มต้นของประเพณีที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้แล้วดันไปโฟกัสกับฉากแอคชั่นแทน คือในฐานะแฟนหนังขัดใจมาก
ผมคิดว่าแฟนๆ อย่างพวกเราดูมาสามภาคแล้วเราก็ไม่ได้อยากเสพฉากแอคชั่นที่รุนแรงกันขนาดนั้นแล้วล่ะ เราอยากรู้เรื่อง อยากให้หนังเล่ารากฐานของ The Purge ให้แน่นหนาและให้มันออกมาอลังการที่สุด เรียกได้ว่าหนังโฟกัสผิดจุดมากๆ
2. หนังมัน "ดำไป" จนดูตลก ดำในที่นี้คือมันมีโทนของ "คนดำ" หนาแน่นมาก ตัวเอกเกือบทุกตัวเป็นคนดำ เพลงประกอบในเรื่องก็เป็นฮิปฮอปจ๋า ภาษาการพูดการจาก็ Gangster สุดๆ ... คือถ้าใครติดตามผลงานผมมาตลอดก็คงจะทราบว่าผมเป็นคนที่โอเคกับความหลากหลาย (diversity) นะและใส่ใจกับความ PC มาตลอด
แต่การคุมโทนในหนังมันไม่ได้เรื่องจริงๆ ที่ผ่านมาเสน่ห์ของ The Purge มันอยู่ที่การเกลี่ยบทให้ตัวละครหลากหลายเชื้อชาติได้อย่างน่าสนใจและเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนขาว ลาติโน่ เอเชี่ยน หรือคนดำ คุณก็เสี่ยงตายในคืนชำระล้างได้เหมือนกัน แต่พอมาในภาคนี้มันไม่ใช่แล้ว
3. ตัวละครขาดเสน่ห์จับใจคนดูไม่ได้ ในเวลาหนังชั่วโมงครึ่งผมแทบไม่รู้สึกผูกพันกับตัวละครใดเลยแม้แต่น้อย ความสัมพันธ์มันดูฉาบฉวยและหลวมเกินกว่าที่จะทำให้เราอินตามได้ ถ้าจะให้ยกเคสที่ดีที่สุดก็คงจะเป็นตัวละครเจ้าพ่อยาเสพติดอย่าง Dmitri ที่ยังพอมีมิติที่น่าสนใจอยู่ แต่ความรู้สึกนั้นก็หายไปทันทีที่พี่แกเริ่มจับปืน ผมนึกว่าดู Blade อยู่ ให้ตายสิ
4. ฉากแอคชั่นดูไร้สาระมากๆ ตัวละครเอกเก่งแบบพลังล้นฟ้าจนน่าขันทั้งที่มีปูมหลังเพียงนิดเดียว และที่สำคัญคือฉากฆ่าแสดงความเพี้ยนหลุดโลกในวิถีอเมริกันชนก็ไม่มีให้เราดูเลยสักฉาก
คือก็เข้าใจว่า setting มันเป็นการชำระล้างครั้งแรก แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นเสน่ห์ของหนังก็คือ art style ของการฆาตกรรมเพี้ยนๆ ที่หนังสอดแทรกเข้ามาเป็นเชิงสัญลักษณ์ได้ยอดเยี่ยมมาก พอมันหายไปก็รู้สึกว่าแก่นของหนังมันโหวงๆ ไปพอสมควร
ผมคิดว่านี่อาจจะเป็น The Purge ภาคที่ห่วยที่สุดในทั้งหมด 4 ภาค ขอสังเกตว่าความแตกต่างของภาคนี้กับไตรภาคที่ผ่านมาก็คือ "เปลี่ยนผู้กำกับ" จากตัว James DeMonaco มาเป็นคนนี้
สไตล์และรสนิยมที่หายไปเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากกับวัตถุดิบที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ โดยส่วนตัวผมคิดจริงๆ ว่ามันดีกว่านี้ได้อีกเยอะเลย
#ตั๋วหนังมันแพง
ถูกใจรีวิวก็สามารถมาแสดงความคิดเห็นและกดไลค์ + แชร์ เพื่อสนับสนุนเพจได้ครับ: https://www.facebook.com/expensivemovie/