พลับพลาที่ประทับพร้อมราชอาคันตุกะ ที่ ต.หว้ากอ จ.ประจวบคีรีขันธ์
วันนี้มีภาพประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นบุญตามากๆ ที่ได้เห็น เพราะภาพถ่ายและกล้องถ่ายรูปยังเป็นของใหม่ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาฉายพระรูปองค์พระประมุขของชาติ
แต่ก่อนในหนังสือแบบเรียนวิทยาศาสตร์ของกระทรวงศึกษาธิการ มีแต่ภาพดำๆ มองไม่ออกว่าเป็นรูปอะไรให้เห็นเท่านั้น
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้ทรงคำนวณไว้ล่วงหน้าว่าจะมองเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงที่หว้ากอแห่งนี้ และได้เสด็จทอดพระเนตรพร้อมด้วยนักวิทยาศาสตร์ และทูตานุทูตชาวต่างประเทศ เพื่อพิสูจน์ผลการคำนวนดังกล่าว เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411
สำหรับการคำนวณสุริยุปราคาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในคราวนี้ แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ
1. คำนวณหาตำแหน่งของดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ โดยใช้ทฤษฎีการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์ ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาในต่างประเทศ
2. คำนวณเพื่อตรวจสอบว่า จะมีโอกาสเกิดอุปราคาได้หรือไม่
3. คำนวณว่าการเกิดอุปราคาจะมีลักษณะอย่างไร จะเห็นได้ที่ไหน และเวลาเท่าไรถึงเท่าไรตามระบบเวลามาตรฐาน
พระองค์ทรงคำนวณไว้ล่วงหน้าถึงสองปี ว่าเส้นศูนย์ของอุปราคาจะผ่านมาใกล้ที่สุด ณ ตำบลหว้ากอ ตรงละติจูด 11 องศา 38 ลิปดาเหนือ และลองติจูด 99 องศา 39 ลิปดาตะวันออก
ทรงประกาศผลการคำนวณการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งนี้ล่วงหน้า 2 ปี และเชิญคณะสำรวจทั้งจากฝรั่งเศส อังกฤษ และสิงคโปร์ เข้ามาร่วมสังเกตการณ์ ณ หว้ากอ ต.คลองวาฬ อ.เมืองฯ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ดวงอาทิตย์ถูกดวงจันทร์บังมิดดวงอยู่นานถึง 6 นาที 46 วินาที แต่แล้วการเสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งนั้นก็ทำให้พระองค์ทรงประชวรเนื่องจากได้รับเชื้อไข้มาลาเรีย และเสด็จสวรรคตในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2411
สุริยุปราคาเต็มดวงจะเกิดขึ้นนานที่สุดอยู่ตรงเชิงเขาหลวง โดยที่พระองค์ทรงคำนวณขึ้นมาด้วยพระองค์เอง ไม่มีอยู่ในหลักฐานการคำนวณของหอดูดาวกรีนิซ
ภาพถ่ายสุริยุปราคาเต็มดวงในขณะนั้น
ฝ่ายการคำนวณของกรีนิซนั้น แสดงเฉพาะแนวศูนย์กลางของการพาดผ่านของเงามืดเพียงเส้นเดียว แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพยากรณ์ว่าอุปราคานั้นจะเห็นมืดทั้งดวงตั้งแต่ชุมพรถึงปราณบุรี นักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่งก็ได้ทำนายสุริยุปราคาคราวนี้ด้วยเช่นกัน แต่คำนวณผิดพลาดไป 2 นาที
จากความสำเร็จดังกล่าว ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเทอดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" พร้อมทั้งกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคม ของทุกปี เป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ" ส่วนประชาคมดาราศาสตร์สากลได้เรียกสุริยุปราคาในครั้งนี้ว่า "King of Siam's eclipse" (อุปราคาของพระเจ้ากรุงสยาม)
.................................................
ภาพ และข้อมูลจากเว็บไซต์ wikithai.com
ความเป็นมาของวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
พลับพลาที่ประทับพร้อมราชอาคันตุกะ ที่ ต.หว้ากอ จ.ประจวบคีรีขันธ์
วันนี้มีภาพประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นบุญตามากๆ ที่ได้เห็น เพราะภาพถ่ายและกล้องถ่ายรูปยังเป็นของใหม่ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาฉายพระรูปองค์พระประมุขของชาติ
แต่ก่อนในหนังสือแบบเรียนวิทยาศาสตร์ของกระทรวงศึกษาธิการ มีแต่ภาพดำๆ มองไม่ออกว่าเป็นรูปอะไรให้เห็นเท่านั้น
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้ทรงคำนวณไว้ล่วงหน้าว่าจะมองเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงที่หว้ากอแห่งนี้ และได้เสด็จทอดพระเนตรพร้อมด้วยนักวิทยาศาสตร์ และทูตานุทูตชาวต่างประเทศ เพื่อพิสูจน์ผลการคำนวนดังกล่าว เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411
สำหรับการคำนวณสุริยุปราคาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในคราวนี้ แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ
1. คำนวณหาตำแหน่งของดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ โดยใช้ทฤษฎีการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์ ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาในต่างประเทศ
2. คำนวณเพื่อตรวจสอบว่า จะมีโอกาสเกิดอุปราคาได้หรือไม่
3. คำนวณว่าการเกิดอุปราคาจะมีลักษณะอย่างไร จะเห็นได้ที่ไหน และเวลาเท่าไรถึงเท่าไรตามระบบเวลามาตรฐาน
พระองค์ทรงคำนวณไว้ล่วงหน้าถึงสองปี ว่าเส้นศูนย์ของอุปราคาจะผ่านมาใกล้ที่สุด ณ ตำบลหว้ากอ ตรงละติจูด 11 องศา 38 ลิปดาเหนือ และลองติจูด 99 องศา 39 ลิปดาตะวันออก
ทรงประกาศผลการคำนวณการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งนี้ล่วงหน้า 2 ปี และเชิญคณะสำรวจทั้งจากฝรั่งเศส อังกฤษ และสิงคโปร์ เข้ามาร่วมสังเกตการณ์ ณ หว้ากอ ต.คลองวาฬ อ.เมืองฯ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ดวงอาทิตย์ถูกดวงจันทร์บังมิดดวงอยู่นานถึง 6 นาที 46 วินาที แต่แล้วการเสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งนั้นก็ทำให้พระองค์ทรงประชวรเนื่องจากได้รับเชื้อไข้มาลาเรีย และเสด็จสวรรคตในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2411
สุริยุปราคาเต็มดวงจะเกิดขึ้นนานที่สุดอยู่ตรงเชิงเขาหลวง โดยที่พระองค์ทรงคำนวณขึ้นมาด้วยพระองค์เอง ไม่มีอยู่ในหลักฐานการคำนวณของหอดูดาวกรีนิซ
ภาพถ่ายสุริยุปราคาเต็มดวงในขณะนั้น
ฝ่ายการคำนวณของกรีนิซนั้น แสดงเฉพาะแนวศูนย์กลางของการพาดผ่านของเงามืดเพียงเส้นเดียว แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพยากรณ์ว่าอุปราคานั้นจะเห็นมืดทั้งดวงตั้งแต่ชุมพรถึงปราณบุรี นักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่งก็ได้ทำนายสุริยุปราคาคราวนี้ด้วยเช่นกัน แต่คำนวณผิดพลาดไป 2 นาที
จากความสำเร็จดังกล่าว ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเทอดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" พร้อมทั้งกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคม ของทุกปี เป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ" ส่วนประชาคมดาราศาสตร์สากลได้เรียกสุริยุปราคาในครั้งนี้ว่า "King of Siam's eclipse" (อุปราคาของพระเจ้ากรุงสยาม)
.................................................
ภาพ และข้อมูลจากเว็บไซต์ wikithai.com