Girls Don't Cry มันคือตู้ปลาที่จำลองมหาสมุทร [ไม่สปอยล์]

จั่วหัวก่อน  เรื่องนี้ไม่ใช่สารคดีเกี่ยวกับวง BNK48 นะคะ  แต่เป็นสารคดีเกี่ยวกับความรู้สึกเด็กสาวกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาอยู่ในระบบแบบนี้  เพราะฉะนั้นคุณจะไม่ได้เห็นการเจาะลึกลงไปถึงระบบ (แต่ก็เล่าย่อๆให้พอเข้าใจภาพของมัน)  ส่วนใหญ่จะไปเน้นที่ "ความรู้สึก" ของแต่ละคนที่มีต่อระบบมากกว่า  ซึ่งพอดูๆไปสิ่งหนึ่งที่ทุกคนจะสังเกตได้ชัดเลยคือเรื่องวัยวุฒิเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อทัศนคติการมองโลกและมองปัญหาจริงๆ

ต้องบอกว่าจุดเด่นอย่างหนึ่งของพี่เต๋อคือเป็นคนที่เล่าเรื่องสนุกค่ะ  ไม่ว่าเรื่องนั้นจะมีหรือไม่มีอะไรพี่แกก็ใช้น้ำเสียงเล่ามันออกมาได้น่าสนใจเสมอ (เปรียบเทียบนะไม่ได้หมายถึงใช้เสียงเล่าจริงๆ)  และการเล่าของแกจะมีจังหวะเป็นเอกลักษณ์แบบที่คนเคยดูหนังแกน่าจะพอนึกออก  ซึ่งเรื่องนี้ลายเซ็นตรงนั้นก็ยังอยู่นะคะ  แม้จะรู้สึกจางๆไปบ้างหมือนกันในช่วงกลางๆเรื่อง  

พูดถึงความสามารถในการเล่าเรื่องของพี่แกแล้วเนี่ย  เนื่องจากแกมีเสน่ห์ในการเล่าอย่างที่บอก  เพราะฉะนั้นถ้าพี่แกบังเอิญมีสตอรี่ที่ดีในการเล่าเมื่อไหร่  เมื่อนั้นพี่แกจะฉายแสงออกมาได้เด่นที่สุด  แต่สำหรับเรื่องนี้ถามว่าสตอรี่มันดีขนาดนั้นมั้ย ?  จริงๆมันก็ไม่ใช่สตอรี่ที่แย่ซะทีเดียวนะคะ  มันพอไปได้เหมือนนะ  มีความน่าสนใจ  แต่ส่วนตัวว่ามันก็ไม่ได้ถึงขั้นกับเป็นสตอรี่ที่ดีมากขนาดนั้น  เพราะฉะนั้นข้อเสียเปรียบอย่างแรกที่ต้องเผชิญในเรื่องนี้คือวัตถุดิบที่รับมามันไม่ได้เด่นขนาดนั้น   พอมาประกอบกับข้อเสียเปรียบอย่างต่อมา   คือดูๆไปสักพักแล้วรู้สึกได้นะว่าพี่แกน่าจะมีข้อจำกัดในการพยายามเฉลี่ยแอร์ไทม์ให้กับทุกคน  เนื่องจากคนมันเยอะเหลือเกิน  ซึ่งก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง  แต่เรากลับขอบคุณที่แกให้ความสำคัญกับสตอรี่ที่จะเล่ามากกว่าเรื่องแอร์ไทม์นะ  ไม่อย่างนั้นหนังไม่น่ารอด  แต่ถึงกระนั้นแม้จะยึดตามสตอรี่แล้ว   แต่บางครั้งก็ยังสัมผัสได้ถึงความฝืนเบาๆ  คิดว่าถ้าเป็นเวลาปกติบางจุดของหนังพี่แกน่าจะรวบรัดได้มากกว่านี้  แต่นี่เหมือนพี่แกอยากปล่อยให้น้องๆบางคนบ่นให้โฟลว์ๆยาวๆจนจบโดยไม่ไปขัด  เลยทำให้มีบางส่วนของหนังที่รู้สึกว่ามันแช่นานไปนิดจนอึดอัด  รู้สึกขี้เกียจฟังไปบ้างเหมือนกันค่ะ  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้ถึงกับร้ายแรงจนทำให้หนังเสียนะคะ   ภาพรวมพอได้อยู่  ซึ่งก็ต้องย้อนกลับมาให้เครดิตพี่เต๋อแกนั่นแหละว่าสามารถทำงานภายใต้ข้อจำกัดได้ออกมาดีพอตัว  เป็นคนอื่นมีโอกาสหนังเละได้เหมือนกัน  

กลับมาดูที่ตัววัตถุดิบของเรื่อง  แน่นอนว่าการเป็นสารคดีที่เล่าความจริงไม่มีสคริปท์แต่งเติม  วัตถุดิบย่อมเป็นหัวใจสำคัญ  โดยส่วนตัวมองว่าถ้าให้ย้อนกลับไปดูเรื่องนี้สมัยอายุ 17-18 คงอินและตื่นเต้นได้มากกว่านี้  แต่ด้วยความที่ผ่านชีวิตมายาวนานกว่านั้นพอสมควร  เรื่องนี้เลยแทบไม่ทำให้ว้าวอะไรนัก  เพราะเป็นเรื่องที่คนมีประสบการณ์ทำงานทุกคนน่าจะเคยเจออยู่แล้วแถมโหดร้ายกว่านี้มาก   จริงๆจะว่าไปเรื่องนี้ก็เหมือนการจำลองโลกทุนนิยมลงมา ​โดยเฉพาะธุรกิจวงการบันเเทิง  ส่วนตัวดูแล้วรู้สึกว่า BNK เปรียบเสมือนตู้ปลาที่จำลองบรรยากาศของมหาสมุทร  โดยในระหว่างที่อยู่ในตู้ก็ต้องเรียนรู้ที่จะแข่งขันเอาตัวรอดให้ได้  เพื่อที่วันหนึ่งจะได้ออกไปต่อสู้ในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ โหดร้าย และการแข่งขันสูงกว่านั้นต่อไป   ซึ่งหนังมันเล่าถึงเฉพาะการแข่งขันในตู้ปลา  ฉะนั้นถ้าคุณเคยเห็นการต่อสู้ในมหาสมุทร  แน่นอนว่าคุณอาจจะไม่ได้ตื่นเต้นกับมันขนาดนั้น  แต่มันก็ยังมีความสนุกในแบบสนามเล็กของมันอยู่นะ

อย่างไรก็ตาม  หนังก็ยังมีความน่าอภิรมย์เล็กๆตรงที่ทำให้สังเกตเห็นแนวคิดการมองโลกและการมองปัญหาของเด็กแต่ละคน  และค้นพบว่าปัจจัยหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญที่ทำให้มันต่างคือเรื่องของวัยวุฒิและประสบการณ์  ถ้าเอามาเทียบกันมันก็เหมือนการเห็นมนุษย์ค่อยๆเติบโตขึ้น  โดยในระหว่างที่เราอายุเท่านี้เราอาจจะมองมันแบบหนึ่ง  แต่พอค่อยๆโตขึ้นมุมมองต่อปัญหาของเราก็จะค่อยๆเปลี่ยนไปในมุมที่มีมิติรอบด้านมากขึ้น  จากที่มองผ่านมุมตัวเอง  มาเป็นมองแบบใจเขาใจเราเผื่อเพื่อนรอบข้าง  ไปจนถึงมองในสเกลที่ใหญ่กว่านั้นแบบที่ไม่ใช่แค่จากฝั่งของพวกเรา แต่มองภาคส่วนอื่นๆ และความจริงที่เกิดขึ้น   ซึ่งก็ต้องชื่นชมว่าเด็กๆหลายคนมีความคิดค่อนข้างโตกว่าอายุกันนะคะ  บางคนโตจนเราทึ่งเลยว่าอายุเท่านี้คิดได้ถึงขั้นนั้นแล้วเหรอ  แม้ว่ามันจะยังเจือไปด้วยสภาวะความสับสนอยู่มากบ้างน้อยบ้างตามแต่ละคน  ซึ่งก็คงต้องรอให้เค้าผ่านประสบการณ์ชีวิตให้ตกตะกอนกันต่อไป  บางคนในภายภาคหน้าอาจจะเปลี่ยนความคิด  บางคนอาจจะมีมิติความคิดที่ลึกขึ้น  บางคนอาจจะปลงตกเลิกคิค  บางคนอาจจะกลับมาผ่อนคลายมากขึ้นและเรียนรู้ที่จะปรับสมดุลระหว่างหน้าที่กับความสุขของตัวเองให้มากขึ้น  

แถมอีกนิด ในวงนี้มีคนญี่ปุ่น 2 คน ซึ่งแม้จะบทบาทในเรื่องไม่ได้มากนัก แต่พอลองฟังความคิดของชาวญี่ปุ่นทั้งคู่ช่วงท้ายๆแล้วนำมาเทียบกับเด็กไทยในเรื่องแล้วก็เห็นอะไรที่น่าสนใจอยู่เหมือนกันนะคะ  ไม่ได้บอกว่าใครผิดใครถูกนะ  แค่ชี้ให้เห็นความต่างว่าแนวคิดแต่ละชาติก็มีแนวโน้มจะมีเส้นทางของตัวเอง  คนญี่ปุ่นดูเหมือนจะมี mindset แบบตั้งเป้าไว้ที่ความสำเร็จสูงสุดเป็นหลักแบบไม่มีแผนสำรอง  ในขณะที่เด็กไทยส่วนใหญ่เราอาจจะไม่ถึงขั้นนั้น แต่มักจะให้ความสำคัญในแง่ของความสบายใจมากกว่า


สรุป  ส่วนตัวคิดว่ามันเป็นหนังสารคดีที่ดูเพลินพอตัวนะคะเมื่อเทียบกับสารคดีทั่วไปแม้ว่าอาจจะมีบางจุดที่สะดุดบ้าง  อันนี้ให้เครดิตผู้กำกับเพราะอย่างที่บอกว่าทำหนังเรื่องนี้ไม่ง่ายแน่ๆ   รวมๆถือว่าดูได้เพลินๆโดยไม่ฝืนและไม่เสียดายค่าตั๋วค่ะ  7/10
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่