"โคตรเกลียดผู้บริหาร BNK48" นี่คือความรู้สึกหลังดู Girls Don't Cry จบ

เป็นหนังไทยที่ดีนะครับ สนุก ตลก สะเทือนอารมณ์ ทั้ง ๆ ที่คุยกันแทบทั้งเรื่อง
ถ้าให้คะแนนแบบโอตะคือ 9 เต็ม 10 แบบมุมมองคนทั่วไป 6.5 เกือบมะเขือเน่า
เพราะคนดูต้องรู้จักตัวตนของน้องแต่ละคนถึงจะเข้าใจอะไรหลายอย่าง
มันเลยเป็นหนังที่ทุกคนดูได้ก็จริง แต่โอตะดูจะดีกว่า

สำหรับแง่คิดที่ได้จากหนังมันค่อนข้างจะหักมุมสำหรับผม

BNK48 มันคือธุรกิจที่ทำให้ผู้บริหารมีกำไร บริษัทตัวเองอยู่รอด แค่นั้น
เรื่องราวการพัฒนาของน้อง ๆ เป็นแค่ข้ออ้างให้ดูดี
เพราะมีการดันคนที่ความนิยมเป็นหลัก
ไม่ใช่ความสามารถและความพยายาม

รู้ซึ้งแล้วว่าทำไมถึงคัดรุ่น 2 ออกมาแบบนั้น
รู้ว่าขายได้ รู้ว่าตลาดต้องการแบบไหนใช่หรือไม่
มีการคัดบางคนเพื่อให้มาเป็น Under จะได้ไม่ดูน่าเกลียดเกินไป
ทนไม่ได้ก็แกรดไป ลาออกไป ยังไงบริษัทก็ยังมีตัวท็อป ๆ อยู่

หนังทำให้ความรู้สึกถึงคำว่าเปย์สำหรับผมเปลี่ยนไปเยอะ
มันไม่ได้เพื่อให้น้อง ๆ หรือให้พนักงานมีเงินเดือนอีกต่อไปแล้ว
แต่เพื่อให้ผู้บริหารร่ำรวย เอาไปต่อยอดแตกแขนงธุรกิจของตนได้
และโปรโมทหรือออกสินค้าที่ถูกใจผมต่อไปต่างหาก

สินค้าก็คือตัวน้อง ๆ รวมทั้งของสะสมต่าง ๆ
ไม่ต่างจากที่ผมชอบสะสมของเล่นจาก Star Wars
หรือจากตัวละครในหนังเรื่องอื่น ๆ ที่ผมชอบ

พวกที่เข้ามาลงทุนในบริษัทเพิ่มก็เพราะรู้ว่าทำกำไรให้ตัวเองได้ จึงเข้ามารุมทึ้ง
ผู้บริหารพวกนี้แทบไม่ได้สนใจอะไรในตัวน้อง ๆ เลยด้วยซ้ำ

ก็โลกมันเป็นแบบนี้ ตลาดต้องการแบบนี้
ขนาดผมยังเลือกโอชิที่เห็นแล้วถูกสเปคเลย
ไม่ได้มองความพยายามอะไรทั้งนั้น

จากนี้ผมก็ยังคงใช้บริการบริษัทนี้ต่อไป
เพราะเขายังมีสินค้าที่ตรงตามความต้องการของผมอยู่
และคงไม่โลกสวยเปลี่ยนใจไปเลือกสินค้าที่ดูแล้วไม่ใช่สำหรับผม

ส่วนหนึ่งในสินค้าที่ผมกำลังใช้อยู่
เป็นสินค้าที่บริษัทย้อมแมวมาตั้งแต่ต้น
กำลังตัดสินใจว่าจะหยุดใช้หรือใช้ต่อจนหมดอายุไปเองดี

โลกความจริงมันโหดร้ายใช่ไหมล่ะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
ลองคิดดูใหม่

ถ้าไม่มีระบบแบบ 48 น้องบางคนไม่มีทางได้โอกาสในวงการบันเทิงเลยนะ
เพราะวงการบันเทิงของจริง มันโหดกว่า 48 เยอะ

แต่48มันเปิดที่ให้พวกเด็กมวยรองมันได้สู้ ได้มีโอกาส อยู่ที่ว่าแต่ละคนจะคว้าโอกาสได้แค่ไหน
AKB ก็มีคนที่ "ก็ไม่ได้สวยขนาดนั้น" "ก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้น" แต่สามารถขึ้นมาอันดับสูงๆได้เหมือนกัน
ความคิดเห็นที่ 32
ถ้ารู้สึกแบบนี้กับฝ่ายบริหาร BNK48 แล้วคุณจะรู้สึกแบบนี้คูณ2 กับต้นสังกัดญป., ของไทยน่ะยังไม่เท่าไหร่..
     - ตั้งทีม4 ขึ้นมาแล้วยุบ.. แยกเมมเบอร์ในทีมกระจายไปเข้าทีมที่เหลือ, เหมือนกลายเป็นอันเดอร์ไป ถึงตอนหลังฟิ้นทีม4มาใหม่เมมเบอร์เดิมก็ไม่ได้กลับมาแล้ว
    - ย้ายเมมเบอร์วงน้องที่มีความนิยมสูง มาอยู่วงพี่ กลายเป็นไม้ประดับในทีม, ความนิยมลด โอตะในวงพี่ไม่โอชิ-โอตะวงเดิมไม่ตาม..จาง จนแกรด..
    - ดึงท้อปเมมเบอร์จากวงน้องมาเป็นเซ็มบัตสึทุกซิงเกิ้ลเพื่อยอดขาย, จนที่ว่างสำหรับเด็กAKBเหลือไม่พอสำหรับเด็กใหม่ร่วมสิบรุ่นเป็นร้อยๆคน จนหลายๆคนได้เป็นแค่เธียร์เตอร์เกิร์ลอย่างเดียวจนแกรด..
     - เมมเบอร์บางคน โอตะทุ่มเท ดันจนติดอันดับเป็น1ใน16 เลือกตั้ง แต่ไม่เคยถูกเลือกให้ติดเซ็มบัตสึในซิงเกิ้ล..
     - วงSKE เคยมี ตั้งทีมK2แล้วแต่ไม่มีเพลงสเตจใหม่ให้แสดง พอแสดงเพลงเก่าๆของเดิมของทีม S จนไม่มีอะไรจะเล่นก็ยุบเมมเบอร์ไปเป็นเด็กฝึก..
     - การดันเด็กข้ามหัวคนอื่นที่พยายามน่ะเป็นเรื่องปกติ
                     - คนเก่าพยายามแทบเป็นแทบตาย โอตะรักมากๆก็สู้เด็กใหม่ที่ฝ่ายบริหารมองว่า "10ปีจะได้พบสักคน"ไม่ได้ รับมาปุ๊บก็ให้          เดบิวเป็นเซ็นเตอร์ซิงเกิ้ลใหม่ทั้งๆฝีมือไม่ถึง,ยังเต้นผิดจังหวะ ในMV อยู่เลย..

    ผู้บริหารไทยเข้าใจวิถีทางของกลุ่ม48ดีทีเดียว และปรับลดลงมาเยอะแล้วถ้าเทียบกับวงพี่..อย่างที่ในหนังว่าไว้ ถ้าซิง2ไม่ดัง วงก็จบเพราะเป็นค่ายเล็กเกิดใหม่สายป่านไม่ยาว เด็ก+ทีมงานร่วมสามสิบ-สี่สิบคน แถมอยู่ในสิ่งแวดล้อมสังคมนิยมของฟรี,
เขาก็คงพยายามหาจุดที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วล่ะครับ อย่าลืมว่ายังต้องอยู่ใต้การเห็นชอบของฝั่งญป.ด้วย
ของเรายังฟังเสียงโอตะ มากกว่าของวงพี่นะ ในความรู้สึกของผม
ความคิดเห็นที่ 27
ถ้าเกลียดก็หยุดอุดหนุนครับ ปล่อยเจ๊งไป ให้น้องไปลำบากกับค่ายอื่น (ประชดนะ)

****************
คุณเกลียดผู้บริหาร BNK48 คำถามคือ มันต่างตรงไหนกับบริษัทสื่อบันเทิงค่ายอื่นๆ ในโลกนี้ (ย้ำว่าในโลกนี้ ไม่ใช่แค่ไทย) ค่ายอื่นเค้าไม่แข่งกันรึไง GG/BB ทั้งหลาย มีชนชั้นในทีมกันทั้งนั้น แม้แต่นักร้องเดี่ยวก็ใช่ว่าจะได้ฝันหวาน

มันดีแค่ไหนแล้วที่ได้มีความฝันน่ะ อย่างน้อยก็มีจุดหมายป่ะ

ในไทย...มีเด็กกี่คนที่ฝันอยากเป็นดารา อยากมีตัวตนในสังคม อยากอยู่ในสปอร์ตไลท์ (เราเลยเห็นพวกโชว์นมโชว์จิ๋มโหนกระแสอยู่ตลอด)
มีเด็กกี่คนที่ความฝันนั้นผลักตัวเองจนได้ไปออดิชั่น (บางคนไปศัลยกรรมทำหน้าทำนมเพิ่ม เพื่อให้ได้สวย ให้ได้มีกระแส บางคนพัฒนาการร้อง บางคนเก่งเต้น บางคนเก่งการแสดง ใช่ทั้งนั้น)
แต่มีเด็กกี่คนที่ออดิชั่นผ่าน
แล้วมีเด็กกี่คนที่ออดิชั่นผ่าน แต่ไม่มีผลงาน (บางคนค่ายให้เทรนเพิ่ม แล้วทำเพลงออกมาให้ ปรากฎเทรนของเพลงที่ทำมาหลุดกระแสช่วงนั้น ก็ดองรอไปก่อน บางคนอยู่จนครบสัญญา ยังไม่ได้ออกผลงาน)
ถึงยังงั้น จะมีเด็กกี่คนที่มีผลงาน แต่ไม่เด่น
แล้วมีเด็กกี่คนที่ได้เป็นตัวเด่น แต่ผลงานไม่ดัง
สุดท้ายมีเด็กกี่คนที่มีผลงานดัง...แค่ชิ้นเดียว

ดูทีละเปราะ แล้วจะเห็นว่ามันไม่ใช่คำว่า 48G แต่มันคือ วงการบันเทิง

แล้วถ้ามองกว้างออกไปอีก ก็จะเห็นว่า ที่ทุกคนพยายามขนาดนี้ ก็เพราะผลตอบแทนมันคุ้มค่ามั๊ยล่ะ มันหอมหวานเย้ายวน

พอพูดเรื่องผลตอบแทน เอาล่ะสิ มันไม่ใช่วงการบันเทิงละ แต่มันคือ เศรษฐศาสตร์ ที่ทุกอย่างมีต้นทุน มีการแลกเปลี่ยน มันคือสังคมมนุษย์ในโลกนี้เลยนะ

แล้วการได้รับผลตอบแทนนั้น มันก็คือการพยายามตอบโจทย์เรื่องการเอามีชีวิตรอดของมนุษย์

เรื่องการเอาชีวิตรอด มันเป็นเรื่องที่สิ่งมีชีวิตต้องทำป่ะล่ะ

หนังเรื่องนี้ เป็นแค่การสะท้อนเศษเสี้ยวของการดำรงชีวิตอยู่แค่นั้นเองแหละ
ความคิดเห็นที่ 16
ตอนที่อฟช.แบกค่าใช้จ่ายตอนวงไม่ดัง จนตัวเองแทบจะหมดตัว มีใครชมอะไรไหม
ความคิดเห็นที่ 14
ให้ลองนึกถึง อฟช ช่วงก่อน KFC ดูบ้าง ช่วงนั้นธุรกิจเกือบจะไปไม่รอด ความจริงมันก็โหดร้ายสำหรับ อฟช อยู่เหมือนกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่