หลายคนอาจสงสัยว่า เที่ยวฟุคุชิมะ จริงๆ คืออะไร ดูภาพแรกแล้วทุกท่านน่าจะพอทราบนะครับ

นั่นคือการเข้าไปเยี่ยมชมในโซนที่ถูกอพยพ จากเหตุการณ์โรงไฟฟ้าฟุคุชิมะนั่นเองครับ
ขอออกตัวก่อนว่า นี่เป็นการรีวิวครั้งแรก โดยส่วนตัวแล้วไม่คิดว่าจะต้องมารีวิวอะไร แต่ครั้งนี้เห็นว่าน่าสนใจเลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ ให้ทุกท่านรับทราบครับ รูปไม่สวย หรือ ข้อมูลใดๆผิดพลาดต้องขออภัยทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
เนื่องจากวันที่ 1-7 สิงหาที่ผ่านมาได้มีเวลาไปเที่ยวที่ญี่ปุ่น ในระหว่างการเตรียม Route ท่องเที่ยว เลยมีโอกาสหาข้อมูลและช่องทาง เพื่อเข้าไปเยี่ยมชมสถานที่ จากเหตุการณ์ สึนามิที่ฟุคุชิมะ ในปี 2011 ปรากฏว่า มีช่องทางที่จะสามารถเข้าเยี่ยมชมได้เลยได้นำภาพ และ ข้อมูลที่ได้รับมา รีวิวให้ทุกท่านได้ทราบในครั้งนี้ครับ
เราจะมาดูกันว่า
- สถานที่ ณ ปัจจับันเป็นอย่างไร
- การจัดการของรัฐบาลญี่ปุ่น
- เรื่องเล่าผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งด้าน เศรษฐกิจ และ สังคม
ถ้าบางท่านอาจมีข้อสงสัยว่านึกยังไงถึงอยากเข้าไป? คือโดยส่วนตัวเป็นคนที่เรียกว่า Prepper (คนที่เตรียมตัวกรณีเกิดภัยพิบัติ) ดังนี้มีโอกาส ได้เข้าไปชมสถานที่จริงๆ ก็เลยอยากเข้าไปดูครับ
1. ขอเริ่มต้นที่การเตรียมตัวกันเลยดีกว่า
การเข้าเยียมชมเป็นการเยี่ยมชมผ่าน Guest house แห่งหนึ่งบริเวณ Odaka ในการเข้าชม ต้องติดต่อล่วงหน้า และ ต้องส่งสำเนา Passport เพื่อทำเรื่องของอณุญาติเข้าพื้นที่หวงห้ามก่อน (Red zone) โดย การเข้าชม ต่อครั้งทาง Guest house แห่งนี้ รับได้ครั้งละ 3-4 ท่านเท่านั้น เพราะ ไม่ใช่ลักษณะทัวร์ท่องเที่ยว แต่เป็น ไปในนามแขกของกลุ่มคนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบครับ

ตามภาพนะครับ: Red Zone คือ Zone ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ โรงไฟฟ้านิวเคลียที่ฟุคุชิมะ นับแต่เหตุการณ์เกิดจนถึงปี 2015 Zone สี เขียว เหลือง แดง ทั้งหมดผู้คนถูกอพยพ และ เพิ่งเปิดให้กลับเข้ามาอยู่ใน Zone เขียว เหลือง ได้เกือบทั้งหมด ประมาณต้นปี 2017 เท่านั้นครับ นั่นเท่ากับว่า เขต Odaka ที่เป็นจุดเริ่มต้นของทัวร์ครั้งนี้ เพิ่งเข้าอยู่ได้ ประมาณปี 2017 เท่านั้นเอง
2. เริ่มต้นทัวร์ กับ Zone สีเขียว

เดินทางมายัง สถาณี Odaka ตามเวลานัดหมายประมาณ 10 โมงเช้า เพื่อรอพบ เจ้าของ Guest House และ คนที่จะพาผมไปทัวร์ในครั้งนี้ บรรยากาศภายนอกสถานีรถไฟ Odaka ค่อนข้างเงียบสงบมากๆ ทีแรกคิดว่าเพราะเป็นวันหยุด แต่ จะมีเหตุผลของความเงียบสงบนี้มาเพิ่มเติมครับ

โดย เราจะพบเส้นทางหลบหนีคลื่นเป็นระยะๆครับ

รอไม่ถึง 10 นาที เจ้าของ Guest House คุณ Karin ก็เดินมายังสถานีเพื่อมารับ โดย Guest House ของคุณ Karin อยู่ในซอยใกล้ๆสถานีรถไฟนี่เอง (ตามรูปด้านบนก็ ประมาณ เสาไฟฟ้าที่ 2 ฝั่งซ้ายมือครับ)
โดยระหว่างที่เดินไปยัง Guest House ของคุณ Karin เธอแจ้งว่า ชาวต่างชาติอีก 1 ท่านที่จะร่วมทัวร์ด้วยยกเลิกการเดินทางมากระทันหัน ทำให้ในครั้งนี้ ผมได้เข้าไปในฟูคุชิมะคนเดียว กลายเป็น Private ทัวร์ไปเลย (ลืมบอกไปผมเดินทางมาญี่ปุ่นทริปนี้คนเดียว)
เมื่อเดินทางถึงที่พัก ทางคุณ Karin ได้ยื่นกระดาษเกี่ยวกับการบฏิบัติตัวในการเข้าพื้นที่ ให้รับทราบ เบื้องต้นก็เป็นเนื้อหาเกี่ยว กับ การให้ ความเคารพ กับบุคคล และ สถานที่ รวมถึง อย่าหยิบจับอะไรกลับมา (เพราะเป็นการ ไม่เคารพ และ อาจจะได้รับอันตรายจากรังสี) และ สุดท้ายไม่ Selfies เพื่อให้เคารพสถานที่ จากนั้น คุณ Karin ก็ยื่นกระดาษ และ อุปกรณ์ ชุดนี้ให้เพื่อให้เตรียมตัวครับ

สิ่งนี้คือ เครื่องวัดรังสีแบบติดตัว และ เอกสารชี้แจงปริมาณรังสีและอันตรายที่จะได้รับครับปริมาณรังสีเรียก ซีเวิต(Sievert) โดย เครื่องวัด จะ วัดหน่วยเป็น ไมโคร แต่ ปริมาณรังสีในเอกสารจะใช้หน่วย มิลลิ นะครับ (1,000 ไมโคร = 1 มิลลิ) และคุณ Karin ได้นะเครื่องวัดอีกอัน ที่สามารถแสดงผลผ่าน มือถือได้ เพื่อติดบนรถขณะเดินทางมาเตรียมไว้ ตามภาพ จะเห็นได้ว่า ณ Odaka มีรังสีประมาณ 0.156 ไมโครซีเวิต ซึ่งอยู่ในระดับต่ำมาก

พาหนะ ที่จะใช้เดินทางไปรับรังสีของเราในวันนี้ครับ โดย ก่อนเดินทางทางคุณ Karin แจ้งว่าขอเดินทางไปรับเพื่อนซึ่งจะเป็นคนขับรถของเราในวันนี้ ที่ Community ของชุมชนก่อน ซึ่งห่างจาก Guest House ประมาณ 1 นาทีครับ

มาถึง Community เจอคุณลุงท่านหนึ่งกำลังแล่ปลาไหลญี่ปุ่นที่จับมาได้ เลยยืนดูซะหน่อย แกคงดีใจเลยชวนคุยเป็น ภาษา ญี่ปุ่นใหญ่เลย ก็ไม่รู้เรื่องกันไป บอกแกได้แค่ว่ามาจากเมืองไทย และ ชอบกินอาหารญี่ปุ่นมาก โดยเฉพาะปลาไหลเนี่ย

ระหว่างรอ เพื่อนของ Karin ที่จะมาขับรถให้ เธอก็เล่าให้ฟังว่า จริงๆแล้วเธอเป็นคนโตเกียว ทำงาน NGO ในต่างประเทศ แต่พอมีเหตุการณ์ โรงไฟฟ้าที่ฟุคุชิมะ เธอเลยอยากจะกลับมาช่วยพื้นที่นี้ เลยตัดสินใจหาซื้อบ้านที่นี่ และทำเป็น Guest House (พอรู้เลยเข้าใจเลยว่าทำไมภาษาอังกฤษเธอเลยดีมากๆ)
คุณ Karin เล่าให้ฟังต่อว่า สาเหตุที่จำเป็นต้องมี Community ที่นี่เนื่องจาก ก่อนเกิดเหตุการณ์อพยพ ผู้คนในเมืองนี้มีประมาณ 20,000 คน แต่หลังจากเปิดเมืองในปี 2017 คนอพยพกลับมีเพียง 2,000 เท่านั้น เลยต้องตั้งเป็น Community เพื่อมห้ผู้คนมาพบปะสังสรร แลกเปลี่ยน เยียวยาซึ่งกันและกัน และนี่เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เมืองเลยดูเงียบสงบมากๆ
สาเหตุที่คนส่วนใหญ่ไม่กลับมาเนื่องจาก งานเป็นหลัก เพราะเมืองที่ทิ้งร้างไปเมื่อกลับมา ก็ไม่มีงานไม่มีธุรกิจอีกแล้วคนส่วนใหญ่ที่กลับมาจึงเป็นพวกที่เกษียณจากงานประจำ แต่ อีกมุมนึง คนที่ต้องย้ายออกไปก็มีปัญหาเช่นกัน
มี Case นึง เป็นผู้หญิงวัยทำงานจำเป็นต้องอพยพออกไปทำงานที่โตเกียว ขณะที่ทำงานอยู่ที่โตเกียว เธอ พยายามบอกทุกคนว่าเธอเป็นคนโตเกียว พยายามหลอกตัวเองว่าไม่ได้มาจาก Odaka เพื่อไม่ให้คนรังเกียจว่ามาจากพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบจากรังสี จนสุดท้ายต้องเข้ารับการบำบัดทางจิตใจ เพราะความเครียดจากการปกปิดตัวเอง ท้ายที่สุดเธอจึงย้ายกลับมาที่ Odaka และหลังจากได้กลับบ้าน ได้ร่วม Share ประสบการณ์กับ Community สภาพจิตใจจึงกลับมาดีขึ้นเป็นลำดับ
ทั้งๆที่ Odaka ได้รับผลกระทบจากรังสี และ คลื่นสึนามีเล็กน้อยมากๆ (คลื่นเข้ามายังสถานีรถไฟประมาณ 30 เซนติเมตร) คนที่ย้ายออกไปยังสามารถมีปัญหาได้ขนาดนี้ เลยทำให้น่าคิดว่า สภาพจิตใจ ของคนอีกหลายหมื่นคนที่โดนผลกระทบเต็มๆจะเป็นยังไงบ้าง
หลังจากนั่งซักพัก คนขับรถให้ก็เข้ามา มีนามว่าคุณบูตะ คุณบูตะเอง ไม่ได้อยู่ในเมืองนี้แต่แรกเช่นกัน เรื่องราวของคุณบูตะ ถือว่าโชคดีในความโชคร้ายไม่น้อย ไว้จะเล่าถึงในโอกาสต่อไปนะครับ
ตัดมาที่รถกันเลย สังเกตุว่าหน้ารถจะมีมือถือติดอยู่ นั่นก็คือ เครื่องวัดรังสีที่เอาให้ดูในตอนต้นนะครับ การนั่งรถกับคุณบูตะ และ คุณ Karin นั้น แกจะคอยเตือนให้คาดเข็มขัดนิรภัยเสมอ เพราะ กฏหมายญี่ปุ่นบังคับให้ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง แรกๆก็ลืมๆ หลังๆขึ้นรถก็คาดก่อนแกบอกเลย แกทักตลอดจนเกรงใจ

ขณะนั่งรถไป จะผ่านทุ่งนา ร้างมากมาย คุณ Karin แจ้งว่ามี 2 สาเหตุหลักๆ คือ พื้นที่ยังไม่ได้ถูกตักหน้าดินที่ปนเปื้อนรังสีออก และ ชาวนาที่นี่ไม่เข้ามาทำการเกษตรอีกเนื่องจากราคาผลผลิตของเมืองตกต่ำมาก เป็นผลมาจากคนไม่กล้าบริโภคสินค้าเกษตรจากที่นี่

ระหว่างนั่งรถ เราก็จะเจอกำแพงสีขาวยาวๆ เป็นช่วงๆ

ข้างในจะเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้ตักเอาหน้าดินออก และ บางส่วนเป็นพื้นที่พักชั่วคราวให้กับหน้าดินที่ปนเปื้อนรังสีครับ โดยหน้าดินเหล่านี้จะถูกย้ายเข้าไปใน Red Zone และ จะถูกนำไปผนึกในหลุมกักเก็บที่รัฐบาลกำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ ซึ่งจะให้ดูกันในช่วงถัดๆไปครับ
สถานที่ที่เรากำลังจะขับรถไปคือไปยังเมือง Fubata ส่วนสีเขียว ระหว่างทางก็จะขับผ่านเมือง Namie ซึ่งคุณ Karin เล่าให้ฟังว่าเมือง Namie แห่งนี้ครั้งนึงเคยมีคนอยู่ 21000 คน ปัจจุบันมีคนเพียง 700 คนเท่านั้น
เมื่อมาถึงเมือง fubata สิ่งแรกๆที่เห็นคือ

กำแพงกั้นคลื่นใหม่ความสูง 15 เมตรยาวตลอดแนวชายฝั่ง

ซากป่า (เดาว่าน่าจะเป็นป่าสนนะครับ) มี่ยืนต้นตายจากสึนามิ

สุดท้ายคือซากบ้านร้างของบ้านปูนกระจายอยู่ทั่วไป โดย ระหว่างทาง เราได้หยุดรถเพื่อเข้าดูบ้านหลังหนึ่งที่เสียหายจาก คลื่น สึนามิครับ
ไปชมภาพกันเลย

ขออณุญาติไม่บรรยายนะครับ เนื่องจากว่าพอได้ไปดูสภาพบ้านจริงๆ บรรยากาศค่อนข้างหดหู่มากๆ ณ ตอนนี้ที่ได้ดูรูปภาพใหม่อีกครั้ง ก็ยังไม่สามารถบรรยายอะไรได้จริงๆ
จากนั้นเราได้ขึ้นรถต่อไปยัง อีกด้านของกำแพงกันคลื่น เดิมทีก่อนเกิด สึนามี ที่นี่ก็มีกำแพงกันคลื่นนะครับ แต่สูงเพียง 5 เมตรเนื่องจากวิเคราะห์กันในขณะนั้นว่าน่าจะเพียงพอ แต่ ปี 2011 หลังจาก สึนามิ พบว่านอกจากจะสูงไม่พอแล้ว ยังไม่สามารถต้านทานความรุนแรงของคลื่นได้

ภาพมุมสูงของพื้นที่บริเวณนี้ก่อนเกิดสึนามิ บริเวณเดียวกับบ้านที่ได้ลงให้ดูนะครับ

สภาพปัจจุบัน บ้านกว่า 200 หลังคาเรือนหายไป

ภาพมุมสูงอีกด้านนึงนะครับ ที่เห็นไกลๆก็คือ โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลีย ฟุคุชิมะนั่นเอง ถ้าเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นวิว และ อากาศ ถือว่าดีมากๆเลยทีเดียว
สำหรับพื้นที่บริเวณหลังกำแพงนี้ รัฐบาลจะไม่อณุญาติให้เข้ามาอยู่อาศัยแล้วนะครับจะทำเป็น โซนสีเขียว เพื่อเป็นพื้นที่ป้องกันชั้นแรกหลังกำแพง เพื่อลดความรุนแรงของคลื่น และ เมื่อบังคับให้ที่อยู่อาศัยอยู่ไกลจากชายฝั่งแล้ว ก็จะมีเวลาให้ผู้คนอพยพได้มากขึ้นด้วย
จากบริเวณกำแพงกั้นคลื่น เราก็ย้ายมาที่โรงเรียนประถมใกล้ๆกัน โรงเรียนนี้อยู่ติดชายฝั่งเลยนะครับ
หลังจากแผ่นดินไหว ได้มีการแจ้งเตือน คลื่นสึนามี นักเรียนและคุณครูทุกท่านสามารถอพยพได้ทันเวลาและปลอดภัยทุกท่านครับ

จะสังเกตุเห็น คราบน้ำที่หน้าต่างชั้น 2 ของอาคาร นั่นคือความสูงของคลื่นที่ซัดเข้ามาที่ โรงเรียนแห่งนี้ครับ
วันนี้ขอพักที่ตรงนี้ก่อนเดี๋ยวมาต่อนะครับ
เที่ยว ฟุคุชิมะ (จริงๆ) ใน 1 วัน
ขอออกตัวก่อนว่า นี่เป็นการรีวิวครั้งแรก โดยส่วนตัวแล้วไม่คิดว่าจะต้องมารีวิวอะไร แต่ครั้งนี้เห็นว่าน่าสนใจเลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ ให้ทุกท่านรับทราบครับ รูปไม่สวย หรือ ข้อมูลใดๆผิดพลาดต้องขออภัยทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
เนื่องจากวันที่ 1-7 สิงหาที่ผ่านมาได้มีเวลาไปเที่ยวที่ญี่ปุ่น ในระหว่างการเตรียม Route ท่องเที่ยว เลยมีโอกาสหาข้อมูลและช่องทาง เพื่อเข้าไปเยี่ยมชมสถานที่ จากเหตุการณ์ สึนามิที่ฟุคุชิมะ ในปี 2011 ปรากฏว่า มีช่องทางที่จะสามารถเข้าเยี่ยมชมได้เลยได้นำภาพ และ ข้อมูลที่ได้รับมา รีวิวให้ทุกท่านได้ทราบในครั้งนี้ครับ
เราจะมาดูกันว่า
- สถานที่ ณ ปัจจับันเป็นอย่างไร
- การจัดการของรัฐบาลญี่ปุ่น
- เรื่องเล่าผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งด้าน เศรษฐกิจ และ สังคม
ถ้าบางท่านอาจมีข้อสงสัยว่านึกยังไงถึงอยากเข้าไป? คือโดยส่วนตัวเป็นคนที่เรียกว่า Prepper (คนที่เตรียมตัวกรณีเกิดภัยพิบัติ) ดังนี้มีโอกาส ได้เข้าไปชมสถานที่จริงๆ ก็เลยอยากเข้าไปดูครับ
1. ขอเริ่มต้นที่การเตรียมตัวกันเลยดีกว่า
การเข้าเยียมชมเป็นการเยี่ยมชมผ่าน Guest house แห่งหนึ่งบริเวณ Odaka ในการเข้าชม ต้องติดต่อล่วงหน้า และ ต้องส่งสำเนา Passport เพื่อทำเรื่องของอณุญาติเข้าพื้นที่หวงห้ามก่อน (Red zone) โดย การเข้าชม ต่อครั้งทาง Guest house แห่งนี้ รับได้ครั้งละ 3-4 ท่านเท่านั้น เพราะ ไม่ใช่ลักษณะทัวร์ท่องเที่ยว แต่เป็น ไปในนามแขกของกลุ่มคนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบครับ
2. เริ่มต้นทัวร์ กับ Zone สีเขียว
เดินทางมายัง สถาณี Odaka ตามเวลานัดหมายประมาณ 10 โมงเช้า เพื่อรอพบ เจ้าของ Guest House และ คนที่จะพาผมไปทัวร์ในครั้งนี้ บรรยากาศภายนอกสถานีรถไฟ Odaka ค่อนข้างเงียบสงบมากๆ ทีแรกคิดว่าเพราะเป็นวันหยุด แต่ จะมีเหตุผลของความเงียบสงบนี้มาเพิ่มเติมครับ
รอไม่ถึง 10 นาที เจ้าของ Guest House คุณ Karin ก็เดินมายังสถานีเพื่อมารับ โดย Guest House ของคุณ Karin อยู่ในซอยใกล้ๆสถานีรถไฟนี่เอง (ตามรูปด้านบนก็ ประมาณ เสาไฟฟ้าที่ 2 ฝั่งซ้ายมือครับ)
โดยระหว่างที่เดินไปยัง Guest House ของคุณ Karin เธอแจ้งว่า ชาวต่างชาติอีก 1 ท่านที่จะร่วมทัวร์ด้วยยกเลิกการเดินทางมากระทันหัน ทำให้ในครั้งนี้ ผมได้เข้าไปในฟูคุชิมะคนเดียว กลายเป็น Private ทัวร์ไปเลย (ลืมบอกไปผมเดินทางมาญี่ปุ่นทริปนี้คนเดียว)
เมื่อเดินทางถึงที่พัก ทางคุณ Karin ได้ยื่นกระดาษเกี่ยวกับการบฏิบัติตัวในการเข้าพื้นที่ ให้รับทราบ เบื้องต้นก็เป็นเนื้อหาเกี่ยว กับ การให้ ความเคารพ กับบุคคล และ สถานที่ รวมถึง อย่าหยิบจับอะไรกลับมา (เพราะเป็นการ ไม่เคารพ และ อาจจะได้รับอันตรายจากรังสี) และ สุดท้ายไม่ Selfies เพื่อให้เคารพสถานที่ จากนั้น คุณ Karin ก็ยื่นกระดาษ และ อุปกรณ์ ชุดนี้ให้เพื่อให้เตรียมตัวครับ
สิ่งนี้คือ เครื่องวัดรังสีแบบติดตัว และ เอกสารชี้แจงปริมาณรังสีและอันตรายที่จะได้รับครับปริมาณรังสีเรียก ซีเวิต(Sievert) โดย เครื่องวัด จะ วัดหน่วยเป็น ไมโคร แต่ ปริมาณรังสีในเอกสารจะใช้หน่วย มิลลิ นะครับ (1,000 ไมโคร = 1 มิลลิ) และคุณ Karin ได้นะเครื่องวัดอีกอัน ที่สามารถแสดงผลผ่าน มือถือได้ เพื่อติดบนรถขณะเดินทางมาเตรียมไว้ ตามภาพ จะเห็นได้ว่า ณ Odaka มีรังสีประมาณ 0.156 ไมโครซีเวิต ซึ่งอยู่ในระดับต่ำมาก
พาหนะ ที่จะใช้เดินทางไปรับรังสีของเราในวันนี้ครับ โดย ก่อนเดินทางทางคุณ Karin แจ้งว่าขอเดินทางไปรับเพื่อนซึ่งจะเป็นคนขับรถของเราในวันนี้ ที่ Community ของชุมชนก่อน ซึ่งห่างจาก Guest House ประมาณ 1 นาทีครับ
มาถึง Community เจอคุณลุงท่านหนึ่งกำลังแล่ปลาไหลญี่ปุ่นที่จับมาได้ เลยยืนดูซะหน่อย แกคงดีใจเลยชวนคุยเป็น ภาษา ญี่ปุ่นใหญ่เลย ก็ไม่รู้เรื่องกันไป บอกแกได้แค่ว่ามาจากเมืองไทย และ ชอบกินอาหารญี่ปุ่นมาก โดยเฉพาะปลาไหลเนี่ย
ระหว่างรอ เพื่อนของ Karin ที่จะมาขับรถให้ เธอก็เล่าให้ฟังว่า จริงๆแล้วเธอเป็นคนโตเกียว ทำงาน NGO ในต่างประเทศ แต่พอมีเหตุการณ์ โรงไฟฟ้าที่ฟุคุชิมะ เธอเลยอยากจะกลับมาช่วยพื้นที่นี้ เลยตัดสินใจหาซื้อบ้านที่นี่ และทำเป็น Guest House (พอรู้เลยเข้าใจเลยว่าทำไมภาษาอังกฤษเธอเลยดีมากๆ)
คุณ Karin เล่าให้ฟังต่อว่า สาเหตุที่จำเป็นต้องมี Community ที่นี่เนื่องจาก ก่อนเกิดเหตุการณ์อพยพ ผู้คนในเมืองนี้มีประมาณ 20,000 คน แต่หลังจากเปิดเมืองในปี 2017 คนอพยพกลับมีเพียง 2,000 เท่านั้น เลยต้องตั้งเป็น Community เพื่อมห้ผู้คนมาพบปะสังสรร แลกเปลี่ยน เยียวยาซึ่งกันและกัน และนี่เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เมืองเลยดูเงียบสงบมากๆ
สาเหตุที่คนส่วนใหญ่ไม่กลับมาเนื่องจาก งานเป็นหลัก เพราะเมืองที่ทิ้งร้างไปเมื่อกลับมา ก็ไม่มีงานไม่มีธุรกิจอีกแล้วคนส่วนใหญ่ที่กลับมาจึงเป็นพวกที่เกษียณจากงานประจำ แต่ อีกมุมนึง คนที่ต้องย้ายออกไปก็มีปัญหาเช่นกัน
มี Case นึง เป็นผู้หญิงวัยทำงานจำเป็นต้องอพยพออกไปทำงานที่โตเกียว ขณะที่ทำงานอยู่ที่โตเกียว เธอ พยายามบอกทุกคนว่าเธอเป็นคนโตเกียว พยายามหลอกตัวเองว่าไม่ได้มาจาก Odaka เพื่อไม่ให้คนรังเกียจว่ามาจากพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบจากรังสี จนสุดท้ายต้องเข้ารับการบำบัดทางจิตใจ เพราะความเครียดจากการปกปิดตัวเอง ท้ายที่สุดเธอจึงย้ายกลับมาที่ Odaka และหลังจากได้กลับบ้าน ได้ร่วม Share ประสบการณ์กับ Community สภาพจิตใจจึงกลับมาดีขึ้นเป็นลำดับ
ทั้งๆที่ Odaka ได้รับผลกระทบจากรังสี และ คลื่นสึนามีเล็กน้อยมากๆ (คลื่นเข้ามายังสถานีรถไฟประมาณ 30 เซนติเมตร) คนที่ย้ายออกไปยังสามารถมีปัญหาได้ขนาดนี้ เลยทำให้น่าคิดว่า สภาพจิตใจ ของคนอีกหลายหมื่นคนที่โดนผลกระทบเต็มๆจะเป็นยังไงบ้าง
หลังจากนั่งซักพัก คนขับรถให้ก็เข้ามา มีนามว่าคุณบูตะ คุณบูตะเอง ไม่ได้อยู่ในเมืองนี้แต่แรกเช่นกัน เรื่องราวของคุณบูตะ ถือว่าโชคดีในความโชคร้ายไม่น้อย ไว้จะเล่าถึงในโอกาสต่อไปนะครับ
ตัดมาที่รถกันเลย สังเกตุว่าหน้ารถจะมีมือถือติดอยู่ นั่นก็คือ เครื่องวัดรังสีที่เอาให้ดูในตอนต้นนะครับ การนั่งรถกับคุณบูตะ และ คุณ Karin นั้น แกจะคอยเตือนให้คาดเข็มขัดนิรภัยเสมอ เพราะ กฏหมายญี่ปุ่นบังคับให้ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง แรกๆก็ลืมๆ หลังๆขึ้นรถก็คาดก่อนแกบอกเลย แกทักตลอดจนเกรงใจ
ขณะนั่งรถไป จะผ่านทุ่งนา ร้างมากมาย คุณ Karin แจ้งว่ามี 2 สาเหตุหลักๆ คือ พื้นที่ยังไม่ได้ถูกตักหน้าดินที่ปนเปื้อนรังสีออก และ ชาวนาที่นี่ไม่เข้ามาทำการเกษตรอีกเนื่องจากราคาผลผลิตของเมืองตกต่ำมาก เป็นผลมาจากคนไม่กล้าบริโภคสินค้าเกษตรจากที่นี่
ระหว่างนั่งรถ เราก็จะเจอกำแพงสีขาวยาวๆ เป็นช่วงๆ
ข้างในจะเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้ตักเอาหน้าดินออก และ บางส่วนเป็นพื้นที่พักชั่วคราวให้กับหน้าดินที่ปนเปื้อนรังสีครับ โดยหน้าดินเหล่านี้จะถูกย้ายเข้าไปใน Red Zone และ จะถูกนำไปผนึกในหลุมกักเก็บที่รัฐบาลกำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ ซึ่งจะให้ดูกันในช่วงถัดๆไปครับ
สถานที่ที่เรากำลังจะขับรถไปคือไปยังเมือง Fubata ส่วนสีเขียว ระหว่างทางก็จะขับผ่านเมือง Namie ซึ่งคุณ Karin เล่าให้ฟังว่าเมือง Namie แห่งนี้ครั้งนึงเคยมีคนอยู่ 21000 คน ปัจจุบันมีคนเพียง 700 คนเท่านั้น
เมื่อมาถึงเมือง fubata สิ่งแรกๆที่เห็นคือ
ไปชมภาพกันเลย
ขออณุญาติไม่บรรยายนะครับ เนื่องจากว่าพอได้ไปดูสภาพบ้านจริงๆ บรรยากาศค่อนข้างหดหู่มากๆ ณ ตอนนี้ที่ได้ดูรูปภาพใหม่อีกครั้ง ก็ยังไม่สามารถบรรยายอะไรได้จริงๆ
จากนั้นเราได้ขึ้นรถต่อไปยัง อีกด้านของกำแพงกันคลื่น เดิมทีก่อนเกิด สึนามี ที่นี่ก็มีกำแพงกันคลื่นนะครับ แต่สูงเพียง 5 เมตรเนื่องจากวิเคราะห์กันในขณะนั้นว่าน่าจะเพียงพอ แต่ ปี 2011 หลังจาก สึนามิ พบว่านอกจากจะสูงไม่พอแล้ว ยังไม่สามารถต้านทานความรุนแรงของคลื่นได้
สำหรับพื้นที่บริเวณหลังกำแพงนี้ รัฐบาลจะไม่อณุญาติให้เข้ามาอยู่อาศัยแล้วนะครับจะทำเป็น โซนสีเขียว เพื่อเป็นพื้นที่ป้องกันชั้นแรกหลังกำแพง เพื่อลดความรุนแรงของคลื่น และ เมื่อบังคับให้ที่อยู่อาศัยอยู่ไกลจากชายฝั่งแล้ว ก็จะมีเวลาให้ผู้คนอพยพได้มากขึ้นด้วย
จากบริเวณกำแพงกั้นคลื่น เราก็ย้ายมาที่โรงเรียนประถมใกล้ๆกัน โรงเรียนนี้อยู่ติดชายฝั่งเลยนะครับ
หลังจากแผ่นดินไหว ได้มีการแจ้งเตือน คลื่นสึนามี นักเรียนและคุณครูทุกท่านสามารถอพยพได้ทันเวลาและปลอดภัยทุกท่านครับ
วันนี้ขอพักที่ตรงนี้ก่อนเดี๋ยวมาต่อนะครับ