วัดบ้านปางอยู่ที่อำเภอลี้ ตำบลศรีวิชัย
จากลำพูนผ่านอำเภอบ้านโฮ่งซึ้งเป็นแหล่งปลูกหอมและการเทียม
เลี้ยวขวาเข้าข้างโรงเรียนบ้านปาง
ครูบาศรีวิชัย ตนบุญแห่งล้านนา
เดิมชื่อ เฟือน หรือ อินท์เฟือน หมายถึงเกิดกัมปนาทหวั่นไหวถึงสวรรค์ หรือเมืองของพระอินทร์
เพราะในขณะที่ท่านเกิดมีปรากฏฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก
ยักษ์คอยเฝ้าขัดขวางสิ่งชั่วร้านที่จะขึ้นมาทางบันไดนาค
บันไดนาค
วิหาร
ในภาพเป็นปี พ.ศ. 2556 ยังไม่ได้ยกช่อฟ้า
บันไดตัวเหงา
ที่มาจากลวดลายกนกผักกูด
พระประธานปางมารวิชัย
ผนังลายคำ แท่นแก้วประดับกระจกสี
พระอุโบสถ
บันไดมกรคายนาค
เจดีย์ อยู่หลังวิหาร เมื่อเราไหว้พระประธานเราจะไหว้พระเจดีย์ด้วย
ประกอบด้วย ฐานเขียงสี่เหลี่ยม ฐานเขียงย่อมุม ฐานปัทม์ยืดสูงขึ้น
ฐานเขียงกลม ลดขนาดลงสามชั้น ฐานบัวลูกแก้วสามชั้น
บัวปากระฆัง องค์ระฆัง
บัลลังก์ ก้านฉัตร ปล้องไฉน ปลียอด ลูกแก้วปกฉัตร
ครูบาศรีวิชัย เกิดเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2421
ที่บ้านปาง ตำบลแม่ตืน (ปัจจุบันคือตำบลศรีวิชัย) อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน
ที่บ้านปางมีชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ ยังไม่มีวัดประจำหมู่บ้าน
จนเมื่อนายอินท์เฟือนมีอายุ 17 ปี ครูบาขัตติยะ เดินธุดงค์จากบ้านป่าซางผ่านมา
ชาวบ้านจึงนิมนต์ให้ท่านอยู่ประจำที่บ้านปาง แล้วช่วยกันสร้างกุฏิชั่วคราวให้ท่านจำพรรษา
อินท์เฟือน จึงฝากตัวเป็นศิษย์ และเมื่ออายุ 18 ปี ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณร
พ.ศ. 2442 ได้เข้าอุปสมบทในอุโบสถวัดบ้านโฮ่งหลวง อำเภอบ้านโฮ่ง
ได้รับนามฉายาในการอุปสมบทว่า สิริวิชโยภิกฺขุ มีนามบัญญัติว่า พระศรีวิชัย
อธิกรณ์ระยะแรก (ช่วง พ.ศ.2451-2453) ของครูบาศรีวิชัย
เป็นผลจากการเริ่มทดลองใช้กฎหมายของคณะสงฆ์ฉบับแรก (พ.ศ.2446)
และเป็นการเริ่มให้อำนาจกับสงฆ์สายกลุ่มผู้ปกครอง
เพราะบทบาทของครูบาศรีวิชัย
โดดเด่นเกินกว่าตำแหน่งสงฆ์ผู้ปกครอง
เช่น ชาวบ้านมักนำเอาบุตรหลานมา ให้ครูบาศรีวิชัยบวชเณรและอุปสมบท
ทางการก็เห็นว่าครูบาศรีวิชัยล่วงเกินอำนาจของตนเจ้าคณะแขวง
มีโทษจากควบคุมตัว ไปจนถึงถูกกักตัว พันจากตำแหนงหัวบวชวัด
จากการต้องอธิกรณ์ในระยะแรก
กลับเป็นการเพิ่มความเลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้าน
ลือไปว่า
เป็นผู้วิเศษเดินตากฝนไม่เปียกและได้รับดาบสรีกัญไชย(พระขรรค์ชัยศรี)จากพระอินทร์
ความนับถือเลื่อมใสศรัทธาใน ตัวครูบาศรีวิชัยยิ่งแพร่ขยายออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง
จึงถูกกล่าวหาว่า
"ครูบาศรีวิชัยเกลี้ยกล่อมส้องสุมคน คฤหัสถ์ นักบวชเป็นก๊กเป็นเหล่า และใช้ผีและเวทมนต์"
พระครูญาณมงคลจึงออกหนังสือ พ.ศ.2462
สั่งครูบาศรีวิชัยให้ออกไปพ้นเขตจังหวัดลำพูน ภายใน 15 วัน
พร้อมทั้งมีหนังสือห้ามพระในจังหวัดลำพูนรับครูบาศรีวิชัยไว้ในวัด
เมื่อครูบาศรีวิชัยโต้แย้งและทางการไม่สามารถเอาผิดครูบาศรีวิชัยได้
ก็มีหนังสือของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์เจ้าผู้ครองเมืองนครลำพูน
ได้เรียกครูบาศรีวิชัย พร้อมกับลูกวัดเข้าเมืองลำพูน
ครั้งนั้นพวกลูกศิษย์ได้จัดขบวนแห่ครูบาศรีวิชัยเข้าสู่เมืองอย่างใหญ่โต
ทำให้ทางคณะสงฆ์ผู้ปกครองลำพูนตกใจ
เมื่อครูบาศรีวิชัยพักอยู่ที่วัดมหาวันได้คืนหนึ่ง
อุปราชเทศามณฑลพายัพจึงได้สั่งย้ายครูบาศรีวิชัยขึ้นไปยังเชียงใหม่
โดยให้พักกับพระครูเจ้าคณะเมืองเชียงใหม่ที่ วัดเชตวัน
เสร็จแล้วจึงมอบตัวให้พระครูสุคันธศีล รองเจ้าคณะเมืองเชียงใหม่ ที่วัดป่ากล้วย (ศรีดอนไชย)
ในระหว่างที่ครูบาศรีวิชัยถูกควบคุมอยู่ที่วัดป่ากล้วย
ก็ได้มีพ่อค้าใหญ่เข้ามารับเป็นผู้อุปฐากครูบาศรีวิชัย
คือหลวงอนุสารสุนทร (ซุ่นฮี้ ชัวย่งเส็ง)
และพญาคำแห่งบ้านประตูท่าแพ
ตลอดจนผู้คนทั้งในเชียงใหม่ และใกล้เคียงต่างก็เดินทางมากราบ
เนื่องจากแรงศรัทธาของชาวเมืองเหล่านี้
เจ้าคณะเมืองเชียงใหม่ และเจ้าคณะมณฑลพายัพ
จึงส่งครูบาศรีวิชัยไปรับการไต่สวนพิจารณาที่กรุงเทพฯ
ซึ่งผลการพิจารณาไม่พบว่าครูบาศรีวิชัยมีความผิด
และให้ครูบาศรีวิชัยเลือกเป็นเจ้าอาวาสหรืออาศัยอยู่ในวัดอื่นก็ได้
เมื่อครูบาศรีวิชัยกลับจากกรุงเทพฯแล้ว
ชนทุกกลุ่มของล้านนาก็ได้เพิ่มความเคารพยกย่อง
ในตัวครูบา ดังจะเห็นได้จากความสนับสนุนในการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่าง ๆ
ทั่วไปในล้านนาซึ่งต้องใช้ทั้งเงิน และแรงงานอย่างมหาศาล
อธิกรณ์ระยะที่สาม (ช่วง พ.ศ. 2478-2479)
เกิดขึ้นในช่วงที่ได้มีการสร้างถนนขึ้นสู่พระธาตุดอยสุเทพ
เพราะขณะก่อสร้างทางอยู่นั้น
มีพระสงฆ์ในจังหวัดเชียงใหม่รวม 10 แขวง 50 วัด
ขอลาออกจากการปกครองคณะสงฆ์ ไปขึ้นอยู่ในปกครองของครูบาศรีวิชัยแทน
เมื่อเห็นการที่วัดขอแยกตัวไปขึ้นกับครูบาศรีวิชัยเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทางคณะสงฆ์จึงสั่งให้กลุ่มพระสงฆ์ในวัดที่ขอแยกตัวออกดังกล่าวเข้ามอบตัว
และพระสงฆ์ที่ครูบาศรีวิชัย เคยบวชให้ก็ถูกสั่งให้สึก
อธิกรณ์ครั้งนี้ได้ดำเนินมาจนกระทั่ง พ.ศ. 2479
ครูบาศรีวิชัยได้ให้คำรับรองต่อคณะสงฆ์ว่า
จะปฏิบัติตามพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ทุกประการ
ท่านจึงได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับลำพูน
เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2479
เพิ่มเติม สาเหตุของการกล่าวอมตวาจาของครูบาเจ้าศรีวิชัย
ตามบทความใน ประวัติครูบา อินตา ธนกฺขนฺโธ วัดวังทอง จ.ลำพูน ไว้ดังนี้
เมื่อการก่อสร้างได้สำเร็จลุล่วงได้เพียงสิบวัน
ครูบาศรีวิชัยก็ถูกคณะสงฆ์ฝ่ายปกครองของเชียงใหม่
นำโดยเจ้าคุณโพธิรังสี บารมีศานธิการ (พระศรีโหม) อดีตเจ้าคณะเชียงใหม่
ตั้งข้อกล่าวหาครูบาศรีวิชัยหลายข้อหา เช่น
ทำให้พระสังฆาธิการเมืองเชียงใหม่จำนวน 60 วัดไม่ยอมขึ้นตรงกับการปกครองคณะสงฆ์จังหวัด
และ เป็นพระอุปัชฌาย์เถื่อน โดยบวชให้พระอภิชัย(ครูบาอภิชัยขาวปี)
เมื่อเกิดเรื่อง
ครูบาศรีวิชัยได้ติดต่อให้ เหนือหัวมหาอำมาตย์โทเจ้าหลวงแก้วนวรัฐ และ หลวงศรีประกาศ ช่วยเข้าชี้แจงเหตุผลกับเจ้าคุณโพธิรังสี
แต่ท่านทั้งสองไม่ยอมมาพบครูบา
ทั้งที่ทั้งท่านสองเป็นผู้นิมนต์ให้ครูบามาช่วยแผ่บารมีในการบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถานหลายแห่งในจังหวัดเชียงใหม่โดยแท้
ปล่อยให้ครูบาท่านถูกกล่าวหาแต่ข้างเดียว จนได้ถูกควบคุมตัวไปยังจังหวัดลำพูน
หลังจากที่ครูบาศรีชัยต้องถูกสอบสวน และพบว่าครูบาศรีวิชัยพ้นข้อกล่าวหาทั้งหมด
หลวงศรีประกาศท่านเดิม ได้มากราบเรียนขอนิมนต์ครูบาศรีวิชัย
ไปช่วยงานปฏิสังขรณ์สถานที่สำคัญในเมืองเชียงใหม่
ซึ่งท่านให้เหตุผลว่า ชาวเชียงใหม่ต้องขอพึ่งบารมีครูบาอีกมากในการนั้นๆ
แต่ครูบาศรีวิชัยได้บอกปฏิเสธ และเป็นต้นเหตุให้ท่านต้องกล่าวอมตะวาจาว่า
“ตราบใดที่แม่น้ำปิงไม่ไหลย้อนขึ้นเหนือ จะไม่ขอเหยียบย่างเข้าแผ่นดินเมืองเชียงใหม่อีก”
เมื่อครูบาศรีวิชัยกลับไปสู่บ้านเกิดของท่านครั้งนี้แล้วนั้น ท่านไม่เคยเหยียบแผ่นดินเมืองเชียงใหม่อีกเลย
จนถึงแก่มรณภาพในเวลา 2 ปีต่อมา เพราะแม่น้ำปิงย่อมไม่ไหลคืนกลับแน่ๆ
แต่ต่อมาเมื่อมีการสร้างอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย
ในวันที่ทำพิธีอัญเชิญรูปหล่อครูบาศรีวิชัยไปประดิษฐานที่เชิงดอยสุเทพนั้น
แม่น้ำปิงได้ไหลคืนกลับไปเชียงใหม่จริงๆ
แม้ว่าจะเป็นเพียงรูปหล่อที่ไร้วิญญาณก็ตาม
สายน้ำปิงไหลคืนกลับไปสู่เชียงใหม่ได้อย่างไร?
นั่นคือเมื่อมีการสร้างเขื่อนภูมิพลเก็บกักน้ำขึ้นที่จังหวัดตากนั้น
อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนก็กลับไหลเอ่อขึ้นท่วมท้นถึงเขตจังหวัดเชียงใหม่ที่อำเภอฮอด
ครูบาเจ้าท่านเกิดปีเสือ
ครูบาท่านปฏิบัติในแนวของนิกายเชียงใหม่ผสมกับนิกายยอง
คือนุ่งห่มที่เรียกว่า กุมผ้าแบบรัดอก สวมหมวกแขวนลูกปะคำ ถือไม้เท้าและพัด
ตามธรรมเนียมมาแต่วัดดอยแต โดยอ้างว่าสืบวิธีการนี้มาจากลังกา
ท่านได้รวบรวมพระไตรปิฏกฉบับอักษรล้านนาจำนวน 5,408 ผูก
ได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดต่าง ๆ รวม 105 วัด
ทั้งลำพูน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา แม่ฮ่องสอน ลำปาง ตาก
การสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ ปี 2477
เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่
ขุดดินด้วยจอบเป็นปฐมฤกษ์ที่หน้าสวนสัตว์เชียงใหม่ปัจจุบัน
ชาวพุทธผู้เลื่อมใสในครูบาศรีวิชัยได้ทราบข่าว
ก็มาร่วมกันสร้างถนนวันละไม่ต่ำกว่า 5,000 คน
มีเครื่องมือแค่จอบเสียม
แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน ตามสัจจะวาจา
เสลี่ยงที่ครูบาจาริกไปสร้างวัดวาอารามต่าง ๆ
รถที่ใช้ขึ้นวัดสุเทพ
ช.ม.0178
รถสามล้อของหลวงอนุสารที่ใช้บรรทุกอาหารถวายครูบาเจ้า
ได้สร้างสะพานศรีวิชัย เชื่อมระหว่างลำพูน (ริมปิง) - (หนองตอง) เชียงใหม่
ที่เสร็จภายหลังจากที่ครูบาศรีวิชัยมรณภาพ
ครูบาเจ้าศรีวิชัย มรณภาพเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2481
ที่วัดบ้างปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน สิริอายุได้ 59 ปี
ฌาปนกิจที่วัดจามเทวี ลำพูน
ลำพูน ... วัดบ้านปาง พิพิธภัณฑ์ครูบาศรีวิชัย ตำบลศรีวิชัย อำเภอลี้
จากลำพูนผ่านอำเภอบ้านโฮ่งซึ้งเป็นแหล่งปลูกหอมและการเทียม
เลี้ยวขวาเข้าข้างโรงเรียนบ้านปาง
ครูบาศรีวิชัย ตนบุญแห่งล้านนา
เดิมชื่อ เฟือน หรือ อินท์เฟือน หมายถึงเกิดกัมปนาทหวั่นไหวถึงสวรรค์ หรือเมืองของพระอินทร์
เพราะในขณะที่ท่านเกิดมีปรากฏฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก
ยักษ์คอยเฝ้าขัดขวางสิ่งชั่วร้านที่จะขึ้นมาทางบันไดนาค
บันไดนาค
วิหาร
ในภาพเป็นปี พ.ศ. 2556 ยังไม่ได้ยกช่อฟ้า
บันไดตัวเหงา
ที่มาจากลวดลายกนกผักกูด
พระประธานปางมารวิชัย
ผนังลายคำ แท่นแก้วประดับกระจกสี
พระอุโบสถ
บันไดมกรคายนาค
เจดีย์ อยู่หลังวิหาร เมื่อเราไหว้พระประธานเราจะไหว้พระเจดีย์ด้วย
ประกอบด้วย ฐานเขียงสี่เหลี่ยม ฐานเขียงย่อมุม ฐานปัทม์ยืดสูงขึ้น
ฐานเขียงกลม ลดขนาดลงสามชั้น ฐานบัวลูกแก้วสามชั้น
บัวปากระฆัง องค์ระฆัง
บัลลังก์ ก้านฉัตร ปล้องไฉน ปลียอด ลูกแก้วปกฉัตร
ครูบาศรีวิชัย เกิดเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2421
ที่บ้านปาง ตำบลแม่ตืน (ปัจจุบันคือตำบลศรีวิชัย) อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน
ที่บ้านปางมีชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ ยังไม่มีวัดประจำหมู่บ้าน
จนเมื่อนายอินท์เฟือนมีอายุ 17 ปี ครูบาขัตติยะ เดินธุดงค์จากบ้านป่าซางผ่านมา
ชาวบ้านจึงนิมนต์ให้ท่านอยู่ประจำที่บ้านปาง แล้วช่วยกันสร้างกุฏิชั่วคราวให้ท่านจำพรรษา
อินท์เฟือน จึงฝากตัวเป็นศิษย์ และเมื่ออายุ 18 ปี ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณร
พ.ศ. 2442 ได้เข้าอุปสมบทในอุโบสถวัดบ้านโฮ่งหลวง อำเภอบ้านโฮ่ง
ได้รับนามฉายาในการอุปสมบทว่า สิริวิชโยภิกฺขุ มีนามบัญญัติว่า พระศรีวิชัย
อธิกรณ์ระยะแรก (ช่วง พ.ศ.2451-2453) ของครูบาศรีวิชัย
เป็นผลจากการเริ่มทดลองใช้กฎหมายของคณะสงฆ์ฉบับแรก (พ.ศ.2446)
และเป็นการเริ่มให้อำนาจกับสงฆ์สายกลุ่มผู้ปกครอง
เพราะบทบาทของครูบาศรีวิชัย
โดดเด่นเกินกว่าตำแหน่งสงฆ์ผู้ปกครอง
เช่น ชาวบ้านมักนำเอาบุตรหลานมา ให้ครูบาศรีวิชัยบวชเณรและอุปสมบท
ทางการก็เห็นว่าครูบาศรีวิชัยล่วงเกินอำนาจของตนเจ้าคณะแขวง
มีโทษจากควบคุมตัว ไปจนถึงถูกกักตัว พันจากตำแหนงหัวบวชวัด
จากการต้องอธิกรณ์ในระยะแรก
กลับเป็นการเพิ่มความเลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้าน
ลือไปว่า
เป็นผู้วิเศษเดินตากฝนไม่เปียกและได้รับดาบสรีกัญไชย(พระขรรค์ชัยศรี)จากพระอินทร์
ความนับถือเลื่อมใสศรัทธาใน ตัวครูบาศรีวิชัยยิ่งแพร่ขยายออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง
จึงถูกกล่าวหาว่า
"ครูบาศรีวิชัยเกลี้ยกล่อมส้องสุมคน คฤหัสถ์ นักบวชเป็นก๊กเป็นเหล่า และใช้ผีและเวทมนต์"
พระครูญาณมงคลจึงออกหนังสือ พ.ศ.2462
สั่งครูบาศรีวิชัยให้ออกไปพ้นเขตจังหวัดลำพูน ภายใน 15 วัน
พร้อมทั้งมีหนังสือห้ามพระในจังหวัดลำพูนรับครูบาศรีวิชัยไว้ในวัด
เมื่อครูบาศรีวิชัยโต้แย้งและทางการไม่สามารถเอาผิดครูบาศรีวิชัยได้
ก็มีหนังสือของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์เจ้าผู้ครองเมืองนครลำพูน
ได้เรียกครูบาศรีวิชัย พร้อมกับลูกวัดเข้าเมืองลำพูน
ครั้งนั้นพวกลูกศิษย์ได้จัดขบวนแห่ครูบาศรีวิชัยเข้าสู่เมืองอย่างใหญ่โต
ทำให้ทางคณะสงฆ์ผู้ปกครองลำพูนตกใจ
เมื่อครูบาศรีวิชัยพักอยู่ที่วัดมหาวันได้คืนหนึ่ง
อุปราชเทศามณฑลพายัพจึงได้สั่งย้ายครูบาศรีวิชัยขึ้นไปยังเชียงใหม่
โดยให้พักกับพระครูเจ้าคณะเมืองเชียงใหม่ที่ วัดเชตวัน
เสร็จแล้วจึงมอบตัวให้พระครูสุคันธศีล รองเจ้าคณะเมืองเชียงใหม่ ที่วัดป่ากล้วย (ศรีดอนไชย)
ในระหว่างที่ครูบาศรีวิชัยถูกควบคุมอยู่ที่วัดป่ากล้วย
ก็ได้มีพ่อค้าใหญ่เข้ามารับเป็นผู้อุปฐากครูบาศรีวิชัย
คือหลวงอนุสารสุนทร (ซุ่นฮี้ ชัวย่งเส็ง)
และพญาคำแห่งบ้านประตูท่าแพ
ตลอดจนผู้คนทั้งในเชียงใหม่ และใกล้เคียงต่างก็เดินทางมากราบ
เนื่องจากแรงศรัทธาของชาวเมืองเหล่านี้
เจ้าคณะเมืองเชียงใหม่ และเจ้าคณะมณฑลพายัพ
จึงส่งครูบาศรีวิชัยไปรับการไต่สวนพิจารณาที่กรุงเทพฯ
ซึ่งผลการพิจารณาไม่พบว่าครูบาศรีวิชัยมีความผิด
และให้ครูบาศรีวิชัยเลือกเป็นเจ้าอาวาสหรืออาศัยอยู่ในวัดอื่นก็ได้
เมื่อครูบาศรีวิชัยกลับจากกรุงเทพฯแล้ว
ชนทุกกลุ่มของล้านนาก็ได้เพิ่มความเคารพยกย่อง
ในตัวครูบา ดังจะเห็นได้จากความสนับสนุนในการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่าง ๆ
ทั่วไปในล้านนาซึ่งต้องใช้ทั้งเงิน และแรงงานอย่างมหาศาล
อธิกรณ์ระยะที่สาม (ช่วง พ.ศ. 2478-2479)
เกิดขึ้นในช่วงที่ได้มีการสร้างถนนขึ้นสู่พระธาตุดอยสุเทพ
เพราะขณะก่อสร้างทางอยู่นั้น
มีพระสงฆ์ในจังหวัดเชียงใหม่รวม 10 แขวง 50 วัด
ขอลาออกจากการปกครองคณะสงฆ์ ไปขึ้นอยู่ในปกครองของครูบาศรีวิชัยแทน
เมื่อเห็นการที่วัดขอแยกตัวไปขึ้นกับครูบาศรีวิชัยเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทางคณะสงฆ์จึงสั่งให้กลุ่มพระสงฆ์ในวัดที่ขอแยกตัวออกดังกล่าวเข้ามอบตัว
และพระสงฆ์ที่ครูบาศรีวิชัย เคยบวชให้ก็ถูกสั่งให้สึก
อธิกรณ์ครั้งนี้ได้ดำเนินมาจนกระทั่ง พ.ศ. 2479
ครูบาศรีวิชัยได้ให้คำรับรองต่อคณะสงฆ์ว่า
จะปฏิบัติตามพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ทุกประการ
ท่านจึงได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับลำพูน
เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2479
เพิ่มเติม สาเหตุของการกล่าวอมตวาจาของครูบาเจ้าศรีวิชัย
ตามบทความใน ประวัติครูบา อินตา ธนกฺขนฺโธ วัดวังทอง จ.ลำพูน ไว้ดังนี้
เมื่อการก่อสร้างได้สำเร็จลุล่วงได้เพียงสิบวัน
ครูบาศรีวิชัยก็ถูกคณะสงฆ์ฝ่ายปกครองของเชียงใหม่
นำโดยเจ้าคุณโพธิรังสี บารมีศานธิการ (พระศรีโหม) อดีตเจ้าคณะเชียงใหม่
ตั้งข้อกล่าวหาครูบาศรีวิชัยหลายข้อหา เช่น
ทำให้พระสังฆาธิการเมืองเชียงใหม่จำนวน 60 วัดไม่ยอมขึ้นตรงกับการปกครองคณะสงฆ์จังหวัด
และ เป็นพระอุปัชฌาย์เถื่อน โดยบวชให้พระอภิชัย(ครูบาอภิชัยขาวปี)
เมื่อเกิดเรื่อง
ครูบาศรีวิชัยได้ติดต่อให้ เหนือหัวมหาอำมาตย์โทเจ้าหลวงแก้วนวรัฐ และ หลวงศรีประกาศ ช่วยเข้าชี้แจงเหตุผลกับเจ้าคุณโพธิรังสี
แต่ท่านทั้งสองไม่ยอมมาพบครูบา
ทั้งที่ทั้งท่านสองเป็นผู้นิมนต์ให้ครูบามาช่วยแผ่บารมีในการบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถานหลายแห่งในจังหวัดเชียงใหม่โดยแท้
ปล่อยให้ครูบาท่านถูกกล่าวหาแต่ข้างเดียว จนได้ถูกควบคุมตัวไปยังจังหวัดลำพูน
หลังจากที่ครูบาศรีชัยต้องถูกสอบสวน และพบว่าครูบาศรีวิชัยพ้นข้อกล่าวหาทั้งหมด
หลวงศรีประกาศท่านเดิม ได้มากราบเรียนขอนิมนต์ครูบาศรีวิชัย
ไปช่วยงานปฏิสังขรณ์สถานที่สำคัญในเมืองเชียงใหม่
ซึ่งท่านให้เหตุผลว่า ชาวเชียงใหม่ต้องขอพึ่งบารมีครูบาอีกมากในการนั้นๆ
แต่ครูบาศรีวิชัยได้บอกปฏิเสธ และเป็นต้นเหตุให้ท่านต้องกล่าวอมตะวาจาว่า
“ตราบใดที่แม่น้ำปิงไม่ไหลย้อนขึ้นเหนือ จะไม่ขอเหยียบย่างเข้าแผ่นดินเมืองเชียงใหม่อีก”
เมื่อครูบาศรีวิชัยกลับไปสู่บ้านเกิดของท่านครั้งนี้แล้วนั้น ท่านไม่เคยเหยียบแผ่นดินเมืองเชียงใหม่อีกเลย
จนถึงแก่มรณภาพในเวลา 2 ปีต่อมา เพราะแม่น้ำปิงย่อมไม่ไหลคืนกลับแน่ๆ
แต่ต่อมาเมื่อมีการสร้างอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย
ในวันที่ทำพิธีอัญเชิญรูปหล่อครูบาศรีวิชัยไปประดิษฐานที่เชิงดอยสุเทพนั้น
แม่น้ำปิงได้ไหลคืนกลับไปเชียงใหม่จริงๆ
แม้ว่าจะเป็นเพียงรูปหล่อที่ไร้วิญญาณก็ตาม
สายน้ำปิงไหลคืนกลับไปสู่เชียงใหม่ได้อย่างไร?
นั่นคือเมื่อมีการสร้างเขื่อนภูมิพลเก็บกักน้ำขึ้นที่จังหวัดตากนั้น
อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนก็กลับไหลเอ่อขึ้นท่วมท้นถึงเขตจังหวัดเชียงใหม่ที่อำเภอฮอด
ครูบาเจ้าท่านเกิดปีเสือ
ครูบาท่านปฏิบัติในแนวของนิกายเชียงใหม่ผสมกับนิกายยอง
คือนุ่งห่มที่เรียกว่า กุมผ้าแบบรัดอก สวมหมวกแขวนลูกปะคำ ถือไม้เท้าและพัด
ตามธรรมเนียมมาแต่วัดดอยแต โดยอ้างว่าสืบวิธีการนี้มาจากลังกา
ท่านได้รวบรวมพระไตรปิฏกฉบับอักษรล้านนาจำนวน 5,408 ผูก
ได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดต่าง ๆ รวม 105 วัด
ทั้งลำพูน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา แม่ฮ่องสอน ลำปาง ตาก
การสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ ปี 2477
เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่
ขุดดินด้วยจอบเป็นปฐมฤกษ์ที่หน้าสวนสัตว์เชียงใหม่ปัจจุบัน
ชาวพุทธผู้เลื่อมใสในครูบาศรีวิชัยได้ทราบข่าว
ก็มาร่วมกันสร้างถนนวันละไม่ต่ำกว่า 5,000 คน
มีเครื่องมือแค่จอบเสียม
แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน ตามสัจจะวาจา
เสลี่ยงที่ครูบาจาริกไปสร้างวัดวาอารามต่าง ๆ
รถที่ใช้ขึ้นวัดสุเทพ
ช.ม.0178
รถสามล้อของหลวงอนุสารที่ใช้บรรทุกอาหารถวายครูบาเจ้า
ได้สร้างสะพานศรีวิชัย เชื่อมระหว่างลำพูน (ริมปิง) - (หนองตอง) เชียงใหม่
ที่เสร็จภายหลังจากที่ครูบาศรีวิชัยมรณภาพ
ครูบาเจ้าศรีวิชัย มรณภาพเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2481
ที่วัดบ้างปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน สิริอายุได้ 59 ปี
ฌาปนกิจที่วัดจามเทวี ลำพูน