เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปทานจึงมี
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี
เจตสิกเป็นนาม ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า
“
เวทนา(ความเสวยอารมณ์) สัญญา(ความจำได้หมายรู้)
เจตนา(ความจงใจ)
ผัสสะ(ความกระทบ)
มนสิการ(ความกระทำไว้ในใจ,การพิจารณา)
นี้เรียกว่า
นาม มหาภูตรูป ๔ (ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ)
และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔(อุปาทายรูป ๒๔) นี้เรียกว่า รูป”
(สํ.นิ(ไทย) ๑๖/๒/๗.)
มหาภูตรูป28เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปทานจึงมี
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี
เจตสิกเป็นนาม ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า
“เวทนา(ความเสวยอารมณ์) สัญญา(ความจำได้หมายรู้)
เจตนา(ความจงใจ) ผัสสะ(ความกระทบ)
มนสิการ(ความกระทำไว้ในใจ,การพิจารณา)
นี้เรียกว่า นาม มหาภูตรูป ๔ (ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ)
และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔(อุปาทายรูป ๒๔) นี้เรียกว่า รูป”
(สํ.นิ(ไทย) ๑๖/๒/๗.)