NEWS เหลือแค่ 2 ทางเลือก (โดย อีหล่าน้อย เว็บ Share2Trade)

กระทู้ข่าว
http://www.share2trade.com/index.php?route=content/content&path=9&content_id=3344
    หลังจากประกาศงบไตรมาสที่สองของปีนี้ผ่านไปเรียบร้อย ด้วยตัวเลขผลกำไรสุทธิที่ผู้บริหารบริษัทประกาศว่า ขาดทุนลดลง ตัวเลขฐานะทางการเงินล่าสุดของบริษัท นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หรือ NEWS ที่มีทุนจดทะเบียนเฉียด 6.9 หมื่นล้านบาท ก็ปรากฏว่าเหลือส่วนผู้ถือหุ้นเป็นบวกเพียงแค่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท
    ตัวเลขส่วนผู้ถือหุ้นที่ใกล้จะติดลบครั้งใหม่ ทำให้ทางเลือกในการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของ NEWS บริษัทที่พยายามสถาปนาตนเองเป็นเจ้าสื่อทรงอิทธิพลผ่านเกมการเงินอันซับซ้อนในตลาดหุ้นไทย เหลือเพียงเดียวคือเพิ่มทุนใหม่อีกครั้ง
    คำถามคือ ใครจะกล้าทุ่มเงินมาอัดฉีดอีกครั้ง หลังจากการเพิ่มทุนทุกปีจนมาถึงครั้งสุดท้ายจำนวนมหาศาล (ในราคาแค่หุ้นละ 0.077 บาท) เมื่อปี 2559 แล้วเว้นไปแค่เพียง 1 ปีเท่านั้น เงินก็จะหมดเสียอีกแล้ว ซึ่งสะท้อนว่า ยังจมปลักกับปัญหาด้อยสมรรถนะในการทำกำไรที่รุนแรง แถมยังมีกลุ่มนอมินีของผู้ถือหุ้นรายใหญ่โดยพฤตินัย (ซึ่งหลบอยู่ในเงามืดในฐานะคนเชิดหุ่น) ถูกข้อหาเชื่อมโยงกับกรณีปั่นหุ้นอันคาราคาซังอีกด้วย
     นี้ยังไม่นับหุ้นบางส่วนที่เพิ่มเข้ามาจากการแปลงสิทธิ์วอแรนต์ (NEWS-W5) ที่แม้ไม่มีนัยสำคัญ แต่ก็ยิ่งทำให้โอกาสของการทำกำไรเพื่อล้างขาดทุนสะสม กลับมาจ่ายปันผลในอนาคต เป็นมากกว่า "ชาติหน้าตอนบ่ายๆ" จากขาดทุนสะสมมากกว่า 4.1พันล้านบาท และส่วนต่ำมูลค่าหุ้น 6.2 หมื่นล้านบาทเศษ
    แล้วก็ยังไม่นับรวมความเสียหายจากการเข้าร่วมลงทุนในเกมเทกโอเวอร์ NMG หรือ เครือเนชั่น อันอื้อฉาว ที่ยังไม่ชัดเจนเพราะฝ่ายหลังไม่ยอมส่งงบการเงินปี 2560-61 เลย ทำให้ขาดข้อเท็จจริงไปบางส่วน
    คงไม่ต้องเอ่ยถึงสภาพคล่องทางการเงิน ที่อัตราส่วนสภาพคล่องล่าสุดต่ำกว่า 0.6 เท่า ชนิดที่ต้อง"หมุนหนี้มือเป็นระวิง"กันเลยทีเดียว
    หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า NEWS เพิ่มทุนมาแล้วกี่ครั้ง คำตอบคือยากจดจำไหว แต่ใน 5 ปีนี้ ไม่น่าต่ำกว่า 6 ครั้ง เพราะมีทั้งการเพิ่มทุนขายหุ้นสามัญให้ผู้ถือหุ้นเดิม เพิ่งทุนขายเฉพาะเจาะจง และเพิ่มทุนรองรับวอแรนต์ (ที่ปัจจุบันมีถึง NEWS-W6 เข้าไปแล้ว)
    ประเด็นปัญหาหลักของ NEWS  คือการเพิ่มทุนล้วนแล้วแต่เป็นการ"ถมไม่เต็ม" เนื่องจากยิ่งเพิ่มทุน ส่วนผู้ถือหุ้นยิ่งย่ำแย่เพราะเพิ่มในราคาต่ำกว่าราคาพาร์ แถมกำไรก็ยังไม่มีวันได้เห็นว่าจะมีแสงสว่างปลายอุโมงค์เกิดขึ้นเมื่อใด
    อาจจะมีบ้างในบางไตรมาสที่ขาดทุนลดลง จากการขายทรัพย์สินหรือวิศวกรรมการเงินพิสดาร แต่ตราบใดที่กำไรปกติยังติดลบ โอกาส "เงยหน้ามองเห็นฟ้าสว่าง" ย่อมมืดมน
    รายงานสรุปของฝ่ายบริหารบริษัทที่ลงนามแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯโดยตัวแทนคือนายประณต โกษาคาร รองกรรมการอํานวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน ในงวดสิ้นไตรมาสสองบอกข้อเท็จจริงของปัจจุบันและอนาคตอันมืดมนชัดเจน
    งบการเงินไตรมาสสอง NEWS มีรายได้จากการดําเนินงานรวม 154.411 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากรายได้ ของส่วนงานธุรกิจโฆษณาทาง ทีวี และเกี่ยวกับสื่อใหม่ 52.40 ล้านบาท และเสริมด้วยรายได้จากส่วนงานธุรกิจเกี่ยวกับขายสินค้าและบริการ ของหนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจอีก  7.311 ล้านบาท) ดีขึ้น ขณะที่รายได้จากธุรกิจเก่าคือ ส่วนงานธุรกิจคอมพิวเตอร์ จําหน่าย และให้บริการเครื่องมือและอุปกรณ์ตรวจสอบชีวอนามัย มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีนัยสำคัญต่อภาพรวม
    รายได้ที่เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับรายได้จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีแค่ 92.27 ล้านบาท และมีรายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ รวม 12.942 ล้านบาท ถูกหักกลบด้วยต้นทุนขายและบริการ 146.613 ล้านบาท ที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ตามด้วยภาระของต้นทุนการเงินจากการก่อหนี้เพื่อแก้ปัญหาขาดสภาพคล่อง เพิ่มขึ้น ทําให้บริษัทมีขาดทุนสุทธิจากการ ดําเนินงานในไตรมาสที่ 2/2561 เป็นจํานวนเงิน 60.080 ล้านบาท เมื่อเทียบกับขาดทุนสุทธิในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนลดลง 63.349 บาท
    ความสามารถในการลดขาดทุน ไม่น่าจะถือเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจ เพราะข้อเท็จจริงเรื่องรายได้จากการลงทุนสื่อสิ่งพิมพ์อย่าง ฐานเศรษฐกิจ ที่จิบจ้อย (ไม่สมกับอดีตที่เคยรุ่งเรืองเป็น หนังสือพิมพ์เศรษฐกิจอันดับหนึ่งของไทย) ที่ต่ำเกินคุ้ม และพื้นฐานการขาดสภาพคล่องทางการเงินที่ต้องพึ่งพาเงินกู้ระยะสั้นต้นทุนสูง ยังแก้ไม่ตก ยังฟังชัดว่าความสามารถของผู้บริหารต่ำกว่ามาตรฐาน
    ที่หนักหนาสาหัสกว่า น่าจะเป็นตัวเลขขาดทุนต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้ส่วนผู้ถือหุ้นร่อยหรอเข้าเขตอันตราย (โดยไม่ต้องใส่ใจว่าจะขึ้นเครื่องหมาย C หรือไม่) ทำให้ต้องหาทางเลือกเอาตัวรอด ก่อนสถานการณ์จะรุมเร้าเข้มข้น ทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นติดลบ
    สำหรับการก่อหนี้เพิ่ม คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว หรือปิดตายชั่วคราวไม่มีกำหนด เพราะล่าสุด ค่าดี/อี (หนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น) ที่ระดับ 20 เท่า คงยากจะหาเจ้าหนี้ที่เป็นสถาบันการเงินไหนปล่อยเงินกู้ให้แบบไม่เกรงใจธนาคารแห่งประเทศไทย
    ทางเลือกเพื่อเอาตัวให้รอด ที่เป็นไปได้ยามนี้ มีเหลือแค่ 2 วิธีคือ ขายทรัพย์สินในมือบางส่วนออก "ตัดอวัยวะรักชีวิต" กับการเพิ่มทุนใหม่ด้วยวิธีการเดิมๆคือ ขายผู้ถือหุ้นเดิมบางส่วน ขายแบบเฉพาะเจาะจงบางส่วน (แล้วแถมวอแรนต์ชุดใหม่อีกตามสูตร)
    วิธีการแรกดูง่ายดาย เนื่องจากมีการเปิดช่องจากอำนาจรัฐไว้แล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยประกาศคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 9/2561 อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 269 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีเนื้อหาสำคัญ(ทั้งที่เปิดเผยและซ่อนเอาไว้) ระบุว่า 1.ได้รับการพักชำระหนี้ 3 ปี โดยยื่นความจำนงภายใน 30วัน และเสียดอกเบี้ยตามกำหนด, 2.สนับสนุนค่าเช่าโครงข่ายทีวีดิจิทัล หรือ มักซ์ ไม่เกิน 50% ของค่าเช่าที่ต้องชำระเป็นเวลา 24 เดือน หรือ 2 ปี และ 3.อนุญาตให้มีการเปลี่ยนมือใบอนุญาตได้(ยกเว้นต่างชาติ)
    ข้อสุดท้ายนี้เอง ซึ่งมีลักษณะสอดไส้ (เช่นเดียวกันกับการแทรกสาระของการออกคำสั่งเดียวกันให้กับการเปิดทางโล่งหาโฆษณาเข้าช่องโทรทัศน์ของกรมประชาสัมพันธ์ ทั้งๆ ที่วัตถุประสงค์ดั้งเดิมของกรมประชาสัมพันธ์ไม่ได้สร้างมาเพื่อการนี้) โดยอาศัยอำนาจพิเศษของคณะรัฐประหาร ที่มีคนบางคนยิ้มและถอนใจโล่งอกอย่างเงียบๆ เปิดช่องให้กับการเปลี่ยนสัญญา"เช่าเวลา" มาเป็นขายทรัพย์สินในช่องโทรทัศน์ดิจิทัล
    การรุกคืบของกลุ่มทีวีไดเร็ก ในช่องทีวีที่ 19 ของสปริงนิวส์ทีวี (อันเป็นแหล่งรายได้และรายจ่ายหลักของ NEWS)  เบียดขับรายการข่าวเกือบทั้งหมดของสถานีให้เป็นช่องทีวีที่มีแต่รายการ "ขายสินค้าทางตรง" ตลอดทั้งวัน คือสัญญาณของการถอยของNEWS เพื่อโอนย้ายทรัพยากรคนและอื่นๆ ไปสู่การยึดกุมอำนาจใน NMG ทั้งที่ยังมีคำถามและปริศนาเรื่องการสมคบคิดเข้าเทกโอเวอร์กิจการด้วยไม่ยอมทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ หรือที่เรียกว่า Acting in concert ของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่โดยพฤตินัยของ NEWS คือการเคลื่อนตัวที่ชัดเจนว่า โอกาสที่ NEWS จะฟื้นตัวด้วยกระบวนการทำธุรกิจปกตินั้น ยากจะเป็นไปได้ ต้องอาศัย "อำนาจพิเศษ" เท่านั้น
    แน่นอนว่าในกระบวนการผ่องถ่ายดังกล่าว (ซึ่งคงต้องอาศัยมือกฏหมายระดับ"เซียนเรียกป๋า"มาดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย อาจจะทำให้บางไตรมาสในอนาคตของ NEWS มีผลประกอบการที่ดูดี แต่นั้นคือการสร้างฉากกำบังการล่าถอยธรรมดา ไม่มีอะไรมากกว่านั้น เพราะหากเลือกทางออกตัดอวัยวะรักษาชีวิต อนาคตของ NEWS จะเหลือแต่ชื่อ ไร้ทรัพย์สิน ...รอวันตายซาก
    ทางเลือกที่สอง เคยเป็น "ของง่าย" ในอดีต แต่ในยามที่ราคาหุ้นต่ำติดพื้นแค่ 0.01 บาท ก็กลายเป็นเรื่อง"ยากกว่าเข็นครกขึ้นภู" อย่างช่วยไม่ได้
    ทางเลือกที่เหลืออยู่ทั้ง / ทาง ทำให้ต้องจับตากันว่ากรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เลือกเป็น "คนเชิดหุ่น" จะค้นหานวัตกรรมสำหรับทางเลือกที่สามได้หรือไม่ อย่างไร และทันเวลาหรือไม่
    เหตุผลก็เพราะ หนึ่งในผู้สนับสนุนคนสำคัญอย่าง "เสี่ยกำพล" ผู้เคยโด่งดัง ไม่สามารถทำอะไรได้อีก เพราะถูกอายัดทรัพย์ด้วยข้อหาร้ายแรง เมื่อต้นปีนี้ไปเรียบร้อย

////////////////////////////////////
ขอบคุณบทความจาก
www.facebook.com/Share2Trade/
www.share2trade.com

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่