รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการเอกชนเอื้อรัฐ

ฟังสัมภาษณ์ ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาฯ อีอีซี เรื่องการลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน แล้ว ชักเห็นใจเอกชนที่มาลงทุน ...

โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เป็นโครงการที่สำคัญอันดับหนึ่ง ใน 5 โครงการสำคัญของอีอีซี ซึ่งจะช่วยยกระดับการขนส่งในพื้นที่ภาคตะวันออก และเป็นตัวเชื่อมกับสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ปัจจุบันมีความหนาแน่นของการใช้บริการสูง

แต่การมองหาสนามบินแห่งที่ 3 เป็นไปได้ยากมาก จึงต้องนำสนามบินอู่ตะเภามาปัดฝุ่น เพื่อเปิดใช้งานในเชิงพาณิชย์ ซึ่งสนามบินอู่ตะเภามีความสามารถในการรองรับผู้โดยสารได้พอ ๆ กับสนามบินสุวรรณภูมิ แต่ก็ต้องให้มีรถไฟความเร็วสูงเป็นตัวเชื่อม โดยจะทำให้การเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิมาสนามบินอู่ตะเภาใช้เวลาเพียง 45 นาที (เทียบกับการเดินทางที่ญี่ปุ่นจากสนามบินนาริตะไปโตเกียว)


ดร.คณิศ บอกว่า ถ้าไม่มีรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน จะทำให้โครงการอีอีซีมีปัญหาได้ เพราะจะมีการเดินทางไปยังพื้นที่อีอีซีประมาณวันละ 4 แสนคน หากทุกคนเดินทางโดยใช้รถยนต์ทั้งหมด สร้างถนนยังไงก็ไม่พอ  

รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินจึงช่วยผ่อนภาระเรื่องการขนส่งคนไปยังสนามบิน และผ่อนภาระของการใช้ถนนที่ลงไปในพื้นที่อีอีซี

สำหรับเรื่องการลงทุน โครงการนี้จะทำให้ประเทศไทยได้ผลประโยชน์รวมราว ๆ 7 แสนล้านบาท ถ้าคิดตอนนี้ก็ได้ประมาณ 2 แสนล้านบาท (จากการลงทุนสร้าง) ถ้าคิดในเชิงเศรษฐกิจ (ลงทุนสองแสนล้านได้เจ็ดแสนล้าน) ก็เรียกว่าคุ้ม เพราะถ้าไม่มีเส้นนี้ แค่ 7 แสนยังไม่ได้เลย

เมื่อคิดจะลงทุนบนเส้นทางนี้ แทนที่รัฐบาลจะลงทุนเองทั้งหมด ก็เรียกเอกชนมาลงทุนในส่วนที่เอกชนลงทุนได้ดีกว่า แล้วนำงบประมาณที่รัฐควรจะลงเอง เก็บไว้ช่วยคนจน ช่วยการศึกษา หรือช่วยด้านอื่น ๆ ซึ่งเป็นภาพที่คุ้มเกินคุ้มสำหรับประเทศ


ไฮไลท์อยู่ตรงนี้...

แต่เงินจำนวนสองแสนกว่าล้านบาท หากจะให้เอกชนลงเองทั้งหมด ก็ไม่น่าจะคุ้ม (เดี๋ยวจะไม่มีเอกชนมาลงทุน) รัฐบาลก็ต้องร่วมลงทุนด้วยประมาณหนึ่งแสนล้านบาท แต่เมื่อครบระยะเวลาตามสัญญา เช่น 50 ปี รัฐบาลก็จะได้เป็นเจ้าของทั้งหมด เอกชนก็หมดสิทธิ์ไปโดยปริยาย ซึ่งคาดว่ารัฐบาลจะได้ผลประโยชน์คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันประมาณ 3 แสนล้านบาท (ลงทุนหนึ่งแสนล้านได้สามแสนล้าน ยังไงก็คุ้มอยู่ดี)

ส่วนฝ่ายเอกชน ถึงแม้รัฐบาลจะร่วมลงทุนด้วย แต่ไม่ได้กำหนดให้เอกชนมีผลตอบแทนเยอะ ให้ประมาณ 10% (ซึ่งปกติโครงการแบบนี้ ในประเทศอื่น ๆ เอกชนจะได้ 20% – 25%) แถมยังกำหนดไว้อีกว่า ไม่ว่าเรื่องที่ดิน (มักกะสัน) หรือเรื่องรถไฟ ถ้าเอกชนทำแล้วได้ผลกำไรเยอะ ต้องแบ่งส่วนผลกำไรให้รัฐบาล แต่ถ้าเอกชนทำได้น้อย รัฐบาลไม่รับผิดชอบ (ถ้าเอกชนทำแล้วขาดทุน ก็เป็นเรื่องของเอกชน ...เฮ้ย อย่างนี้ก็ได้เหรอ) ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ภาคเอกชนต้องแบกรับไป

ดูแล้วผลตอบแทนก็ไม่สูง ความเสี่ยงก็เยอะ แล้วทำไมถึงมีบริษัทเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศแสดงความสนใจเข้ามาลงทุนกันเยอะ เรื่องนี้ ดร.คณิศ ตอบว่า มี 2 ปัจจัย คือ 1. ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เรื่องการเงิน เรื่องภาพรวมของประเทศไทยพอใช้ได้ ดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำ และเงินค่อนข้างเยอะ เอกชนก็พอจะหาเงินมาลงทุนได้ไม่ลำบาก แต่ถ้าเป็นปีหน้าดอกเบี้ยขึ้น จะลำบากหน่อย แต่การลงทุนประมาณนี้ก็ยังพอไปได้อยู่ 2. โครงการนี้เป็นโครงการใหญ่อันดับแรกของอาเซียน เพราะฉะนั้นประเทศที่มีเทคโนโลยี มีเงินทุนก็อยากมาทำโครงการนี้

สำหรับการคัดเลือกเอกชนมาลงทุน รัฐบาลจะเลือกคนที่ลงทุนให้รัฐมากกว่า (หรือก็คือ คนที่ทำให้รัฐเสียเงินน้อยที่สุด ...โคตรเขี้ยวเลย) แต่ก็ต้องดูปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น มีความสามารถ มีเทคโนโลยี มีบริษัทร่วมทุนที่ดี และมีเงินทุน เป็นต้น


ฟังแล้วรู้สึกว่า ไม่เหมือนกับที่มีคนมาร้องเรียนเรื่องรัฐเอื้อเอกชน หรือรัฐยกสมบัติชาติให้เอกชนเลย เพราะที่สุดแล้ว รัฐก็เป็นเจ้าของทุกอย่างอยู่ดี เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ใครมาลงทุนแล้ว ก็รื้อถอนออกไปไม่ได้ แถมยังต้องแบกรับความเสี่ยงของการขาดทุน ทั้งในเรื่องปริมาณผู้โดยสาร และการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ คิดดูแล้ว ระยะเวลาแค่ 50 ปี จะได้คืนทุนสักเท่าไหร่เชียว เพราะโครงการขนาดนี้เท่าที่อ่าน ๆ มา ประเทศอื่น ๆ กว่าจะคืนทุนได้ใช้เวลา 40 กว่าปี ตรงนี้แอบรู้สึกเห็นใจเอกชนเล็ก ๆ เรียกว่าต้องเสียสละพอสมควร ...แต่ยังไงก็เถอะ ที่สุดแล้ว เราก็จะได้มีสมบัติของประเทศ เป็นรถไฟความเร็วสูงไว้ใช้งานกัน  

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่