กรุงศรีอยุธยาสมัยสมเด็จพระเพทราชาทรงขับไล่กองทัพฝรั่งเศสเป็นอย่างไร กับกองทัพฝรั่งเศสมีจำนวนเท่าไหร่ครับ

เห็นบางกระทู้ว่า กองทัพของพระเพทราชาสู้ตีแตกหักป้อมฝรั่งเศสไม่ได้ แต่ทางฝรั่งเศสขอยอมสงบศึกเนื่องจากเสบียงใกล้จะหมด เลยสงสัยว่าหากทางพระเพทราชาทรงทำการต่อสู้ขั้นแตกหักไปเลยนี้คิดว่าทหารไพร่ชาวสยามจะล้มตายเยอะ หรือมีแตกพ่ายเยอะไหม เพราะทัพฝรั่งเศสที่มาน่าจะเป็นทหารอาชีพนะ ส่วนทางไทยเป็นไพร่สังกัดมูลนาย หรือแบบเกณฑ์เอา ถูกผิดอย่างไรขออภัยอย่างสูงครับ

และหลังจากที่พระเพทราชาทรงขับไล่ฝรั่งเศสไปได้มีการติดต่อค้าขายกับชาติอื่นไหมอย่างเช่น จีน ชาวดัตช์ โปรตุเกส เป็นต้น
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
เรื่องการขับไล่ทหารฝรั่งเศสของพระเพทราชานั้นจริงๆ ละเอียดมาก ผมแนะนำให้ศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือที่เรียบเรียงจากหลักฐานของนายทหารฝรั่งเศสที่อยู่ในเหตุการณ์โดยตรงสองชิ้นคือ

- ชิงบัลลังก์พระนารายณ์ แปลมาจาก Relation des revolutions arrivées a Siam, dans l'année 1688 ของ นายพลเดส์ฟาร์ฌส์ (General Desfarges) ผู้บัญชาการกองทหารฝรั่งเศส

- หอกข้างแคร่ : บันทึกการปฏิวัติในสยาม และความหายนะของฟอลคอน แปลมาจาก Relation originale de la revolution de Siam et de la disgrace de Monsieur Constance Phaulkon ของ พันตรีโบชอง (Major Beauchamp)

และศึกษาจากหลักฐานฝั่งไทยคือ จดหมายของเจ้าพระยาศรีธรรมราช (ปาน) หรือโกษาปาน ส่งไปถึงพระอธิกรณ์ เดอ ลา แชส (François de la Chaise) พระไถ่บาป (confessor) ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ใน พ.ศ. 2236 ซึ่งได้ตีพิมพ์อยู่ในหนังสือเรื่อง "ประชุมจดหมายเหตุออกพระวิสุทสุนทร (โกษาปาน)" ครับ

นอกจากนี้ก็มี ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๘๑ จดหมายเหตุเรื่องการจลาจลเมื่อปลายแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อ่านได้ตามลิ้งค์ครับ
https://th.wikisource.org/wiki/ประชุมพงศาวดาร_ภาคที่_๘๑


สำหรับเรื่องการขับไล่กองทหารฝรั่งเศสนั้น จริงๆ แล้วทหารฝรั่งเศสที่อยู่ในสยามมีน้อยมาก เมื่อเริ่มต้นเดินทางออกจากฝรั่งเศสนั้นมี 636 นาย แต่ตายกลางทางเหลือเพียง 493 นาย ทหารที่รอดมาได้ก็ล้มป่วยจำนวนมากจากการเดินทางและหลายคนก็ไม่คุ้นกับสภาพอากาศในเมืองไทย ต่อมาก็ถูกแบ่งกำลัง 150 นายไปรักษาเมืองมะริด (ซึ่งกลุ่มนี้โดยไทยขับไล่ไปได้ก่อนจะสงบศึกที่บางกอกเสียอีก) และก็แบ่งอีก 50 นายให้ไปประจำที่เรือรบออกไปปราบโจรสลัดที่อ่าวไทย อีก 50 นายก็ถูกแบ่งไปทำหน้าที่เป็นทหารรักษาพระองค์ที่ลพบุรี นายพลเดส์ฟาร์ฌส์จึงมีทหารในบังคับบัญชาที่ป้อมเมืองธนบุรีจริงๆ ประมาณ 200 กว่านายเท่านั้น

ที่แย่ไปกว่านั้นคือหน่วยทหารปืนใหญ่ของฝรั่งเศส พร้อมอาวุธรุ่นใหม่จำนวนมากเช่นปืนครกปืนลูกแตก ที่ฝรั่งเศสไม่ได้ตั้งใจให้ประจำในสยาม แต่ตั้งใจใช้เป็นกำลังยึดป้อมบางกอกถ้าการเจรจาไม่เป็นผล  ก็ถูกดึงไปเป็นทหารของสมเด็จพระนารายณ์เพื่อให้สอนวิธียิงปืนใหญ่ให้สยาม จนทหารฝรั่งเศสเช่นพันตรีโบชองระแวงขึ้นว่าว่าสยามจะคิดทำร้ายในภายหลัง ซึ่งภายหลังอาวุธเหล่านี้ก็ถูกฝ่ายสยามนำกลับมาใช้โจมตีฝรั่งเศสเสียเอง


หลังพระเพทราชาก่อการยึดอำนาจ ในช่วงแรกก็ยังไม่ได้มีปัญหากับทหารฝรั่งเศส และยังมีการติดต่อกับนายพลเดส์ฟาร์ฌส์อยู่ แต่ฝ่ายไทยก็ไม่ได้วางใจทหารฝรั่งเศส จึงคิดจะลวงให้ทหารฝรั่งเศสขึ้นมาอยู่รวมกัน พระเพทราชาออกคำสั่งเรียกเดส์ฟาร์ฌส์ขึ้นมาลพบุรี บังคับให้เรียกกองทหารที่บางกอกและมะริดขึ้นมารวมกันที่ลพบุรีโดยอ้างว่าจะให้ไปช่วยรบกับลาว แต่เดส์ฟาร์ฌส์ไม่ไว้ใจฝ่ายไทยเกรงว่าคิดจะทำร้าย จึงอ้างว่าต้องลงไปสั่งการทหารที่บางกอกด้วยตนเอง ส่วนกองทหารที่มะริดเดส์ฟาร์ฌส์แกล้งเขียนจดหมายเรียกผิดๆ ถูกๆ ให้ทหารฝรั่งเศสสังเกตถึงความผิดปกติได้และไม่ยกขึ้นมาตามคำสั่ง พระเพทราชายอมให้เดส์ฟาร์ฌส์กลับไป แต่ให้บุตรชายเดส์ฟาร์ฌส์อยู่ลพบุรีเป็นตัวประกัน


6 มิถุนายน ค.ศ. 1688 (วันรุ่งขึ้นหลังจากฟอลคอนถูกประหาร) เดส์ฟาร์ฌส์กลับมาถึงบางกอก ได้ข่าวว่าชาวฝรั่งเศสถูกไทยทำร้ายจนตาย จึงปรึกษากับทหารฝรั่งเศสตัดสินใจยอมสู้ตายดีกว่าตกอยู่ใต้อำนาจของฝ่ายพระเพทราชา แต่เห็นว่ากำลังทหารของตนที่มีน้อยนิด (ประมาณ 300 เศษ) ไม่สามารถรักษาป้อมที่บางกอกทั้งสองฝั่งแม่น้ำได้ จึงทิ้งป้อมฝั่งตะวันตก ไปประจำอยู่ที่ป้อมฝั่งตะวันออกซึ่งในเวลานั้นก็ไม่ได้อยู่ในสภาพดีนัก กำแพงก็ยังสร้างไม่เสร็จด้านหนึ่งต้องปักไม้ระเนียดไว้แทน ฝั่งไทยก็มายึดป้อมฝั่งตะวันตกไปได้ และก็เปิดฉากการรบระหว่างไทยกับฝรั่งเศสซึ่งยืดเยื้อมาหลายเดือน

24 มิถุนายน กองทหารฝรั่งเศสที่เมืองมะริดพ่ายแพ้และถูกขับไล่ไป  หลักฐานฝรั่งเศสอ้างว่า เดอ บรูออง ซึ่งเป็นพระมะริดในตอนนั้นมีทหารเพียง 52 นาย นายทหารชั้นนายร้อยอีก 3 คน นายร้อยโท 3 คน กับคนธงอีก 3 คนเท่านั้น สามารถยันทหารไทยที่มีกำลังถึง 12,000 นายไว้ได้ถึง 17 วัน  แต่ก็เสียเปรียบอย่างหนักและขนาดเสบียง สุดท้ายจึงต้องทิ้งฐานที่มั่นและพาทหารทั้งหมดหนีขึ้นกำปั่นหลวงติดอาวุธที่ยึดมาได้ไป


ฝรั่งเศสที่บางกอกนั้นมีเพียงชัยภูมิที่เป็นต่อ (แต่ไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์) นอกจากนั้นเสียเปรียบอย่างหนักทั้งเรื่องกำลังพลและเสบียงอาหาร อาวุธทันสมัยก็ถูกยึดไป และต้องรับศึกในช่วงฤดูฝน จึงมีรายงานว่าทหารฝรั่งเศสบาดเจ็บล้มตายมาก เสบียงอาหารยิ่งนานวันก็ร่อยหรอ โบชองบันทึกไว้ว่าทหารฝรั่งเศสถึงขนาดต้องยิงอีกามาต้มทำน้ำซุปกิน ในขณะที่ฝ่ายไทยซึ่งปิดล้อมอยู่มีกำลังพลถึงหลักหมื่น (บางชิ้นอ้างว่ามีถึง 60,000 นาย) มีทหารอาสาต่างประเทศทั้งแขกเทศ แขกมลายู และจีนจำนวนมาก ตรึงกำลังไว้ไม่ให้ฝรั่งเศสออกมาจากป้อม จนสมเด็จพระนารายณ์สวรรคตในวันที่ 11 กรกฎาคม


เมื่อพระเพทราชาครองราชย์แล้วก็กลับจะคิดสงบศึกกับฝรั่งเศส เพราะเห็นว่าจะรบแตกหักเอาชนะได้ลำบาก เนื่องจากมีการวิเคราะห์ว่าเกรงจะกระทบทางพระราชไมตรีทำให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จะทรงล้างแค้นยกกำลังมายึดสยาม พอพระองค์ยึดอำนาจได้เบ็ดเสร็จและปราบปรามขั่วอำนาจของฝรั่งเศสได้แล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องรบแตกหักต่อไป  พระเพทราชาจึงส่งพระสังฆราชเมเตลโลโปลิสซึ่งถูกจับเป็นเชลยให้เป็นตัวแทนมาเจรจาสงบศึกในวันที่ 25 กรกฎาคม  ฝ่ายฝรั่งเศสที่อยู่ในสภาพจนกรอบเต็มที่ก็ยอมหยุดยิงชั่วคราว

ต้นเดือนสิงหาคม พระเพทราชาได้ทำพิธีราชาภิเษกที่กรุงศรีอยุทธยา


30 กันยายน ไทยกับฝรั่งเศสได้ทำสนธิสัญญาสงบศึกกัน มีเนื้อหา 3 ข้อคือ

1. ฝรั่งเศสยอมคืนป้อมที่บางกอกให้แก่ไทย
2. ไทยยอมให้ฝรั่งเศสทุกคนออกไปจากราชอาณาจักรได้
3. ไทยยอมคืนเรือกำปั่นซึ่งเป็นของบริษัทฝรั่งเศส 2 ลำ (ชื่อสยามกับละโว้) กับของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสชื่อลอร์ริฟลามอีก 1 ลำ ให้แก่ฝรั่งเศส และพระเจ้ากรุงศรีอยุธยายอมมอบเรือซึ่งมีปืน 74 กระบอกให้แก่เดส์ฟาร์ฌส์ เพื่อลำเลียงคนออกนอกราชอาณาจักรสยาม


ในช่วงที่มีการเจรจากันอยู่เกิดเหตุคือ มาดามคอนสตันซ์ ภรรยาของฟอลคอนกับบุตรชายหลบหนีมาขออาศัยนายพลเดส์ฟาร์ฌส์เพื่อหวังจะออกจากสยาม ฝ่ายไทยที่ทราบเรื่องยกเลิกการเจรจาทั้งหมดและออกคำสั่งให้ฝรั่งเศสส่งตัวนางคืน นายทหารฝรั่งเศสเกือบทุกคนไม่ยอมส่งตัวนางเพราะเห็นว่านางเป็นคนในความคุ้มครองของฝรั่งเศส แต่เดส์ฟาร์ฌส์ตัดสินใจส่งตัวนางตืนเพราะเห็นว่าฝรั่งเศสไม่อยู่ในสภาพจะรบได้อีก นอกจากนี้พระสังฆราชเมเตลโลโปลิสก็รับรองว่าทางไทยจะไม่ทำร้ายนางและให้อิสระ ฝ่ายมาดามคอนสตันซ์ก็ถูกกดดันสุดท้ายก็ต้องยอมกลับไป


2 พฤศจิกายน กองทหารฝรั่งเศสเดินทางออกจากสยาม ก่อนหน้านั้นมีการทำหนังสือสัญญากับฝ่ายไทยว่าด้วยการถอนทหารฉบับหนึ่ง โดยมีข้อตกลงว่าหากทางฝรั่งเศสละเมิดสัญญาจะจับนายประกันชาวฝรั่งเศสที่ลงนามในสัญญา (มีสังฆราชเมเตลโลโปลิส มองซิเออร์เวเรต์หัวหน้าบริษัทฝรั่งเศส และบาทหลวงฝรั่งเศสอีก 120 รูป) ทั้งหมดทำร้าย เนื้อหาตอนหนึ่งกล่าวถึงว่าในระหว่างที่ฝรั่งเศสล่องเรือออกจากสันดอนจะมีเรือไทยตามไปด้วย และบนเรือทั้งสองฝ่ายก็จะมีตัวประกันอยู่ พอเรือฝรั่งเศสข้ามสันดอนไปแล้วก็จะแลกตัวประกันกัน

แต่ว่าในช่วงที่ทหารฝรั่งเศสกำลังล่องเรือออกจากสันดอน หลักฐานฝรั่งเศสอ้างว่ามีเหตุไม่ชอบมาพากลด้วยฝั่งไทยทำทีเหมือนจะยึดเรือฝรั่งเศส มีการกล่าวว่าไทยไม่ยอมคืนเรือให้สามหรือสี่ลำซึ่งบันทุกปืนใหญ่และของของพวกฝรั่งเศส และไม่ยอมส่งตัวนายทหาร 3 คนกับ พลทหาร 15 คนซึ่งตกค้างอยู่ตามลำแม่น้ำ เดส์ฟาร์ฌส์จึงฉุดตัวประกันฝ่ายไทยคือออกพระพิไชยสงครามกับออกหลวงราชนิกุลนิตยภักดี (คือออกหลวงกัลยาราชไมตรีอุปทูตที่ไปฝรั่งเศส) ออกทะเลไปเลย ส่วนตัวประกันฝรั่งเศสรวมถึงเวเรต์ที่อยู่บนเรือไทยก็ขึ้นเรือฝรั่งเศสหนีไปพร้อมกัน ฝ่ายเดส์ฟาร์ฌส์นั้นเดินเรือไปเทียบท่าอยู่ที่เมืองถลาง (ภูเก็ต) โดยหวังจะยึดเป็นฐานที่มั่นของฝรั่งเศส


ฝ่ายไทยเห็นว่าเดส์ฟาร์ฌส์ "แลทหารฝรั่งเศสทำให้ผิดหนังสือสัญญานั้น ทำให้เสียจารีตแผ่นดินในพิภพนี้"  และด้วยเหตุที่ "ขนบธรรมเนียม ณ กรุงไทย ครั้นแลผู้ใดทำผิดสัญญาไซร้ย่อมลงโทษหนัก ถ้าแลมิได้ตัวผู้ทำหนังสือสัญญาไซร้ ย่อมเอาผู้ประกันนั้นลงโทษแทน" ทางไทยจึงเอาบรรดาบาทหลวงที่เป็นนายประกันในหนังสือสัญญามาลงโทษทำทารุณกรรมอย่างหนักและจำคุกเป็นเวลาประมาณ 2 ปี (มาดามคอนสตันซ์ก็ถูกจับทั้งที่ทางไทยเคยสัญญาว่าจะไม่ทำอะไร เข้าใจว่าคงมาจากเรื่องผิดสัญญานี้) จนกระทั่งมีการเจรจาให้ทางฝรั่งเศสยอมส่งตัวประกันชาวไทยคืนมาในปลาย พ.ศ. 2233 บาทหลวงจึงถูกปล่อยตัวในภายหลัง

หลังจากหมดเรื่อง เดส์ฟาร์สฌ์และกองทหารฝรั่งเศสก็เดินทางออกจากถลางไปที่พอนดอเชอร์รีในอินเดียแล้วเดินทางกลับไปฝรั่งเศส แต่เสียชีวิตระหว่างทางครับ


สำหรับการค้าขายกับต่างประเทศ ในสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวงไม่เคยมีการปิดประเทศจากชาติตะวันตกเลย ยังคงมีการค้าขายอยู่กับหลายๆชาติ เพียงแต่ขับไล่กองทหารฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ออกไป ในขณะฮอลันดาซึ่งเป็นศัตรูของฝรั่งเศสยังคงมีสัมพันธไมตรีอันดีกับไทย และปรากฏว่าชาวดัตช์หลายคนได้รับราชการมีบรรดาศักดิ์ ฝรั่งเศสเองก็มีความพยายามจะเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีในสมัยพระเพทราชา ซึ่งก็ปรากฏมีพิธีรับพระราชสาส์นอย่างครั้งสมเด็จพระนารายณ์ และยังปรากฏหลักฐานว่าในสมัยพระเจ้าเสือเองก็ทรงมีความต้องการที่จะฟื้นฟูพระราชไมตรีขึ้นมาอีกครั้ง

เพียงแต่ในสมัยหลังการค้ากับชาติตะวันตกโดยเฉพาะฝรั่งเศสซบเซาลง ส่วนหนึ่งเพราะเมืองพอนดิเชอร์รีซึ่งเป็นเมืองท่าของฝรั่งเศสถูกฮอลันดายึดใน พ.ศ.๒๒๓๗ และในยุโรปตอนนั้นมีสงครามใหญ่ติดต่อกันคือ 'สงครามมหาสัมพันธมิตร (War of the Grand Alliance) ' กับ 'สงครามสืบราชบัลลังก์สเปน (War of the Spanish Succession)'  บวกกับทางตะวันตกเองก็ทำกำไรในแถบนี้ได้ไม่ค่อยดีนัก ทำให้ในสมัยหลังจะเป็นพ่อค้าเอกชนรายย่อยที่เข้ามาทำการค้ามากกว่า ซึ่งก็ปรากฏว่ามีมาโดยตลอดโดยกรุงศรีอยุทธยาไม่เคยกีดกัน แต่ภายหลังตั้งแต่รัชกาลพระเจ้าท้ายสระเป็นต้นมาจะพบว่าการค้ากับจีนจะเข้มข้นมากกว่ายุโรปครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่