ถือเป็น Road Trip (ยาวๆ) ครั้งแรกของปี 2018 เดือนกรกฎาคมอุตส่าห์มีวันหยุดยาวทั้งที กับหน้าฝนชุ่มฉ่ำแบบนี้ จะให้นอนผึ่งพุงอยู่บ้านก็มีแต่จะเพิ่มความขี้เกียจกันไปใหญ่ เลยพาร่างกายออกไปยืดเส้นยืดสาย รับคลอโรฟีลด์กันหน่อย
แผนการเดินทางโดยย่อ
26 ก.ค. : ออกจาก กทม. หลังเลิกงาน แวะนอนระหว่างทางที่ ร.ร. บีริช จ.ตาก
27 ก.ค. : เดินทางต่อไปยังปางอุ๋ง จ.แม่ฮ่องสอน (ใช้ถนนเส้น 105 ที่มีแต่ป่า เขา และป้ายเตือนช้างป่าเป็นระยะๆ) ค้างที่ปางอุ๋ง 1 คืน @บ้านลุงปาละ โฮมสเตย์
28 ก.ค. : ชมธรรมชาติ @ปางอุ๋ง - จิบชา @บ้านรักไทย - ไปอธิษฐานขอพร @สะพานซูตองเป้ - แวะกินก๋วยเตี๋ยว @ก๋วยเตี๋ยวห้อยขาบ้านจ่าโบ่ - เดินเล่นถนนคนเดินปาย พักค้างคืนที่ปาย 1 คืน @บ้านปายริเวอร์ไซด์
29 ก.ค. : แวะถ่ายรูป @สะพานประวัติศาสตร์ปาย - สักการะพระธาตุดอยสุเทพ - เดินเล่นถนนคนเดินท่าแพ เชียงใหม่ - ค้างคืนในตัวเมืองเชียงใหม่ 1 คืน @เชียงใหม่อยู่ดี
30 ก.ค. : ซื้อของฝาก @ตลาดสุเทพ (ตลาดต้นพยอม) - แวะกินมื้อเที่ยง @ลำปาง - เดินทางกลับ กทม.
ค่าใช้จ่าย (ทริปนี้มีตัวหาร 3 คน)
ประมาณ 5,000 บาท/คน (ไม่รวมซื้อของฝากนะคะ)
- เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว ค่าน้ำมันประมาณ 6,000 บาท (2,000 บาท/คน)
- ค่าที่พัก 3 คืน รวม 2,540 บาท (บีริช จ.ตาก = 690 บาท, บ้านลุงปาละ @ปางอุ๋ง = 500 บาท/คืน, บ้านปายริเวอร์ไซด์ = 500 บาท/คืน, เชียงใหม่อยู่ดี = 850 บาท)
- ที่เหลือประมาณ 2,000 บาท/คน เป็นค่าอาหาร 3 วัน
การเดินทางไปยังแต่ละสถานที่พึ่งพา GPS จากกูเกิล... พร้อมแล้วไปกันเลย...
วันแรก เราออกเดินทางจาก กทม. ในตอนเย็นหลังเลิกงาน แล้วไปแวะนอนพักระหว่างทาง ที่โรงแรมบีริช จ.ตาก ไปถึงโรงแรมประมาณตีหนึ่ง (จองจาก Agoda คืนละ 690 บาท/ห้อง ราคารวมอาหารเช้า) ห้องกว้างขวาง สะอาด มีพนักงานต้อนรับที่หน้าเคาเตอร์ทั้งคืน อาหารเช้ามีทั้งข้าวต้ม ข้าวสวย กับข้าวประมาณ 4 อย่าง มีกาแฟ โอวัลติน แบบ 3in1 และขนมปังไว้ให้ บริการตัวเอง โดยรวมถือว่าผ่าน ถ้าต้องขึ้นเหนือ แล้วผ่านทางนี้อีก ก็จะแวะไปใช้บริการซ้ำ
***ไม่มีรูปให้ดูนะคะ ไปถึงดึกมาก ง่วงมาก แต่ของจริงไม่แตกต่างจากรูปใน Agoda ค่ะ
วันที่สอง ออกเดินทางจาก จ.ตาก ประมาณ 8 โมงเช้า ขับยิงยาวไปตามถนนสาย 105 ที่มีแต่ป่า เขา และป้ายเตือนช้างป่าเป็นระยะๆ ใครอยากชมธรรมชาติแนะนำเส้นทางนี้ ถนนสองเลนส์ขับสวนทางกัน สภาพถนนดี มี วัว ควาย แพะ และสัตว์อื่นๆ ให้ดูเป็นระยะๆ
(ถ้าโชคดีอาจเจอช้างป่าด้วยก็ได้ 555)
คำเตือน : สำหรับผู้ที่เมารถ หรือเวียนหัวง่าย แนะนำให้กินยาแก้เมารถ หรือเตรียมถุงอ้วกไว้ด้วยก็ดี เพราะเส้นทางนี้โค้งก็จะเยอะหน่อย
แวะพักกินข้าวเที่ยง ประเดิมด้วยอาหารพื้นเมือง ที่ร้านขายหมูทุบ ร้านนี้ไม่มีชื่อค่ะ รู้แต่ว่าอยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์แม่สะเรียง (ตั้งพิกัดพิพัณฑ์ฯ ในกูเกิล) ร้านหาไม่ยาก หน้าร้านมีมอเตอร์ไซด์ กับคนยืนกันเยอะๆ
รสชาติโดนใจมาก เมนูเด็ดของร้านนี้คือหมูทุบ เนื้อทุบ เราไม่กินเนื้อ สั่งหมูทุบมา เนื้อนุ่มมาก จิ้มกับน้ำจิ้มสุดแซ่บ (น้ำจิ้มนี่เด็ดเลย หารสชาติแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว) ส่วนเมนูอื่นๆ ก็อร่อยไม่แพ้กับ ลาบคั่วหอมสมุนไพร, ไส้อั่วหอมเครื่องเครามาเต็ม, แอ็บอ่องออ หรือหมกสมองหมู อย่างหลังนี่เราว่าแห้งไปหน่อย แต่ก็อร่อย (เราชอบแบบบ้านแม่เราที่เชียงรายมากกว่า) ***ร้านนี้ไม่มีข้าวเจ้าขายนะคะ มีแต่ข้าวเหนียว
เติมพลังจนล้นแล้ว ก็ยิงยาวขึ้นปางอุ๋งกันเลย... ไปถึงปางอุ๋งประมาณ 6 โมงเย็น อากาศเย็นสบาย ประมาณ 19 - 20 องศา
เราเลือกพักที่บ้านลุงปาละโฮมสเตย์ เป็นโฮมสเตย์ที่แรกก่อนเข้าปางอุ๋ง ที่เลือกที่นี่เพราะด้านหน้าเป็นร้านกาแฟ ที่หลายๆ รีวิวบอกว่าถ้ามาปางอุ๋งต้องแวะมาชิมกาแฟที่นี่ ส่วนด้านหลังเป็นซุ้มไผ่ยักษ์ มีบริเวณให้นั่งกินหมูกะทะ วิวสวยมาก ยิ่งไปตอนกรีนซีซั่นแบบนี้ราคายิ่งถูก คืนละ 500 บาม คุ้มมากๆ
หมูกะทะ สั่งกับที่พักได้เลย ชุดละ 300 กว่าบาท ส่วนเราหอบหิ้วปลาหมึกสด กุ้งสดไปจากบ้าน ย่างทีหอมไปทั้งปาง อิๆ
ที่พักเป็นห้องพัดลมนะคะ แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ อากาศเย็นมาก ขนาดเราเป็นคนขี้ร้อน (มาก) เราก็ไม่ได้เปิดเลยค่ะ
วันที่สาม
ที่วางแผนไว้คือจะไปล่องแพชมธรรมชาติในปางอุ๋ง แต่.... ฝนตกแต่เช้าเลยจ้า โปรแกรมล่องแพเลยงดไป ได้แค่แวะไปชมธรรมชาติบริเวณด้านหน้าปางอุ๋ง
สวนจนเกินคำบรรยาย
หลังจากนั้นก็เก็บข้าวของ ไปจิบชา ชมวิวสวยๆ ที่บ้านรักไทย กันต่อเลย
ชารสชาติธรรมดา แต่วิวต้องมาหาที่นี่ที่เดียว
ความเขียวยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เพราะสถานที่ต่อไป เราจะไปไหว้พระ และอธิษฐานขอพรกันที่สะพานซูตองเป้ "สะพานอธิษฐานสำเร็จ"
มื้อเที่ยงนี้ เราตั้งใจว่าจะไปฝากท้องกันที่ "ก๋วยเตี๋ยวห้อยขาบ้านจ่าโบ่"
เนื่องจากบริเวณที่ห้อยขา คนเยอะมาก เราเลยเลือกแบบโต๊ะที่นั่งกินในร้านแทน ฃ
ก๋วยเตี๋ยวรสชาติทั่วไป แต่ไว้ใจได้เรื่องความสวยของวิว วิวสวย ถึงระดับสวยสุดๆ
***ถ้าไปกินตรงวันหยุด หรือวันหยุดยาว แนะนำว่าไม่ควรไปตอนหิวจัด เพราะคิวยาว ถึงยาวมาก และอาจจะต้องรอต่อคิวที่นั่งด้วย
จากจุดนี้ ก็ขับรถผ่านโค้งไปโค้งมาอีกหลายร้อยโค้ง เพื่อไป "ปาย"
เราเลือกพักที่ "บ้านปายริเวอร์ไซด์" เลือกบ้านกระท่อมไม้ไผ่ แบบ ริเวอร์วิว (ด้านหน้าเป็นแม่น้ำ) บ้านพักน่ารัก บรรยากาศดี ที่สำคัญแค่ข้ามสะพานไม้ไผ่ ก็ดึงถนนคนเดินแล้ว ใกล้มากๆ (แต่ถ้าใครไม่อยากเดินไกล แนะนำให้เลือกบ้านปูน จะใกล้สะพานมากกว่า)
คืนละ 500 บาท ที่พักสะอาด บรรยากาศดี มีห้องน้ำในตัว สำหรับเราถือว่าคุ้มมาก
***แต่ทางเข้าค่อนข้างแคบ และเป็นถนนดิน ถ้าไปหน้าฝนก็จะลำบากหน่อย
หลังจากเก็บของเข้าที่พัก เราก็ไปเดินเล่นบริเวณที่จัดถนนคนเดินปาย แต่... ไปหน้าฝนอ่ะเนาะ ก็ต้องทำใจ เพราะอยู่ๆ ฝนก็ตกลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แถมยังตกแรง แล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ถนนคนเดินปายวันนี้ก็ต้องงดไป ได้แค่ไปหาร้านนั่งกินมื้อเย็นแทน
สำหรับเราในปายตอนนี้ อาหารฝรั่ง ประเภทพิซซ่า และอาหารไทยสำหรับนักท่องเที่ยว หากินง่ายกว่าอาหารท้องถิ่นแท้ๆ อย่าง ข้าวซอย ขนมจีนน้ำเงี๊ยว หายากมาก ที่หาได้ก็ไม่ใช่รสชาติดั้งเดิมอีกแล้ว


วันที่สี่
เช้านี้โชคดีไม่มีฝน เราออกจากที่พัก แล้ววนหามื้อเช้าในปาย ก็ไปเจอกับร้านโจ๊กรถเข็น ที่คนเยอะมาก ชื่อร้านจำไม่ได้ พิกัดที่แน่ชัดก็ไม่รู้อีก เพราะขับวนๆ บริเวณที่จัดถนนคนเดิน รู้แต่ว่าขายอยู่บริเวณแยกไฟแดง ฝั่งตรงข้ามกับร้านขายปาท่องโก๋ (ร้านขายปาท่องโก๋เป็นตึกแถว ส่วนร้านขายโจ๊กเป็นร้านรถเข็น) ถ้าใครอยากลองกินขับวนๆ ดูก็น่าจะเจอ
เราไปสั่งประมาณ 8 โมงเช้า เหลือแค่โจ๊กเห็ดหอมอย่างเดียว อย่างอื่นหมดแล้ว ด้วยความอยากลอง เหลือแค่นี้ก็เอา พอกินแล้ว เราว่าไม่ถูกปากเราอ่ะ
รสชาติโจ๊กมีกลิ่นเห็ดหอมซึ่งเราชอบมาก แต่รสสัมผัสคือหวานมาก คิดว่าน่าจะมาจากความหวานของเห็ดหอม เป็นครั้งแรกที่กินโจ๊กรสหวาน แล้วก็หวานติดลิ้นเลย ถ้าคนชอบกินหวาน เราว่าร้านนี้ถูกใจแน่นอน
ก่อนจะลาเมืองปาย เราแวะถ่ายรูปที่ "สะพานประวัติศาสตร์ปาย" ถือเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองปายแห่งหนึ่ง ถ้าใครได้ไปเมืองปาย
ก็แวะไปถ่ายรูป ชมวิวที่สะพานประวัติศาสตร์ปาย กันนะคะ
ความคดเคี้ยวของเส้นทางยังไม่หมดเท่านี้ เพราะเราจะยังวนๆ เวียนๆ อยู่กับป่าเขา ด้วยการขึ้นดอยไปสักการะ "พระธาตุดอยสุเทพ" กัน
ถือเป็นการทำบุญ และทดสอบพละกำลังขา และร่างกายไปพร้อมๆ กัน
***บริเวณทางขึ้นพระธาตุ มีร้านค้าให้บริการนักท่องเที่ยวหลายร้าน แต่ที่อยากแนะนำคือ ร้านขายน้ำผลไม้สดปั่น เราสั่งน้ำเสาวรสปั่น รสชาติแบบเสาวรสแท้ๆ แทบไม่มีน้ำเชื่อมเจือปน เดินมาเหนื่อยๆ ได้แก้วนี้สดชื่นมากๆ
ได้เวลาลงสู่พื้นราบ มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ เราพักที่ เชียงใหม่อยู่ดี ที่พักน่ารัก ราคาไม่แพง ใกล้แหล่งท่องเที่ยว แต่ที่จอดรถไม่ค่อยสะดวก คือต้องจอดข้างทางด้านหน้าที่พัก ไม่มีที่จอดรถเป็นสัดส่วน (ซึ่งเราคิดว่าที่พักในตัวเมืองเชียงใหม่หลายๆ ที่ก็เป็นแบบเดียวกัน) ดังนั้นเราจะไม่ถือเป็นข้อเสีย
เนื้อหาต่อจากนี้ ติดตามกันต่อในความคิดเห็นนะคะ
[CR] แม่ฮ่องสอน - เชียงใหม่ หน้าฝน ฟ้าหม่นๆ กับถนนเขียวๆ (กรกฎาคม 2561)
แผนการเดินทางโดยย่อ
26 ก.ค. : ออกจาก กทม. หลังเลิกงาน แวะนอนระหว่างทางที่ ร.ร. บีริช จ.ตาก
27 ก.ค. : เดินทางต่อไปยังปางอุ๋ง จ.แม่ฮ่องสอน (ใช้ถนนเส้น 105 ที่มีแต่ป่า เขา และป้ายเตือนช้างป่าเป็นระยะๆ) ค้างที่ปางอุ๋ง 1 คืน @บ้านลุงปาละ โฮมสเตย์
28 ก.ค. : ชมธรรมชาติ @ปางอุ๋ง - จิบชา @บ้านรักไทย - ไปอธิษฐานขอพร @สะพานซูตองเป้ - แวะกินก๋วยเตี๋ยว @ก๋วยเตี๋ยวห้อยขาบ้านจ่าโบ่ - เดินเล่นถนนคนเดินปาย พักค้างคืนที่ปาย 1 คืน @บ้านปายริเวอร์ไซด์
29 ก.ค. : แวะถ่ายรูป @สะพานประวัติศาสตร์ปาย - สักการะพระธาตุดอยสุเทพ - เดินเล่นถนนคนเดินท่าแพ เชียงใหม่ - ค้างคืนในตัวเมืองเชียงใหม่ 1 คืน @เชียงใหม่อยู่ดี
30 ก.ค. : ซื้อของฝาก @ตลาดสุเทพ (ตลาดต้นพยอม) - แวะกินมื้อเที่ยง @ลำปาง - เดินทางกลับ กทม.
ค่าใช้จ่าย (ทริปนี้มีตัวหาร 3 คน)
ประมาณ 5,000 บาท/คน (ไม่รวมซื้อของฝากนะคะ)
- เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว ค่าน้ำมันประมาณ 6,000 บาท (2,000 บาท/คน)
- ค่าที่พัก 3 คืน รวม 2,540 บาท (บีริช จ.ตาก = 690 บาท, บ้านลุงปาละ @ปางอุ๋ง = 500 บาท/คืน, บ้านปายริเวอร์ไซด์ = 500 บาท/คืน, เชียงใหม่อยู่ดี = 850 บาท)
- ที่เหลือประมาณ 2,000 บาท/คน เป็นค่าอาหาร 3 วัน
การเดินทางไปยังแต่ละสถานที่พึ่งพา GPS จากกูเกิล... พร้อมแล้วไปกันเลย...
วันแรก เราออกเดินทางจาก กทม. ในตอนเย็นหลังเลิกงาน แล้วไปแวะนอนพักระหว่างทาง ที่โรงแรมบีริช จ.ตาก ไปถึงโรงแรมประมาณตีหนึ่ง (จองจาก Agoda คืนละ 690 บาท/ห้อง ราคารวมอาหารเช้า) ห้องกว้างขวาง สะอาด มีพนักงานต้อนรับที่หน้าเคาเตอร์ทั้งคืน อาหารเช้ามีทั้งข้าวต้ม ข้าวสวย กับข้าวประมาณ 4 อย่าง มีกาแฟ โอวัลติน แบบ 3in1 และขนมปังไว้ให้ บริการตัวเอง โดยรวมถือว่าผ่าน ถ้าต้องขึ้นเหนือ แล้วผ่านทางนี้อีก ก็จะแวะไปใช้บริการซ้ำ
***ไม่มีรูปให้ดูนะคะ ไปถึงดึกมาก ง่วงมาก แต่ของจริงไม่แตกต่างจากรูปใน Agoda ค่ะ
วันที่สอง ออกเดินทางจาก จ.ตาก ประมาณ 8 โมงเช้า ขับยิงยาวไปตามถนนสาย 105 ที่มีแต่ป่า เขา และป้ายเตือนช้างป่าเป็นระยะๆ ใครอยากชมธรรมชาติแนะนำเส้นทางนี้ ถนนสองเลนส์ขับสวนทางกัน สภาพถนนดี มี วัว ควาย แพะ และสัตว์อื่นๆ ให้ดูเป็นระยะๆ
(ถ้าโชคดีอาจเจอช้างป่าด้วยก็ได้ 555)
คำเตือน : สำหรับผู้ที่เมารถ หรือเวียนหัวง่าย แนะนำให้กินยาแก้เมารถ หรือเตรียมถุงอ้วกไว้ด้วยก็ดี เพราะเส้นทางนี้โค้งก็จะเยอะหน่อย
แวะพักกินข้าวเที่ยง ประเดิมด้วยอาหารพื้นเมือง ที่ร้านขายหมูทุบ ร้านนี้ไม่มีชื่อค่ะ รู้แต่ว่าอยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์แม่สะเรียง (ตั้งพิกัดพิพัณฑ์ฯ ในกูเกิล) ร้านหาไม่ยาก หน้าร้านมีมอเตอร์ไซด์ กับคนยืนกันเยอะๆ
รสชาติโดนใจมาก เมนูเด็ดของร้านนี้คือหมูทุบ เนื้อทุบ เราไม่กินเนื้อ สั่งหมูทุบมา เนื้อนุ่มมาก จิ้มกับน้ำจิ้มสุดแซ่บ (น้ำจิ้มนี่เด็ดเลย หารสชาติแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว) ส่วนเมนูอื่นๆ ก็อร่อยไม่แพ้กับ ลาบคั่วหอมสมุนไพร, ไส้อั่วหอมเครื่องเครามาเต็ม, แอ็บอ่องออ หรือหมกสมองหมู อย่างหลังนี่เราว่าแห้งไปหน่อย แต่ก็อร่อย (เราชอบแบบบ้านแม่เราที่เชียงรายมากกว่า) ***ร้านนี้ไม่มีข้าวเจ้าขายนะคะ มีแต่ข้าวเหนียว
เติมพลังจนล้นแล้ว ก็ยิงยาวขึ้นปางอุ๋งกันเลย... ไปถึงปางอุ๋งประมาณ 6 โมงเย็น อากาศเย็นสบาย ประมาณ 19 - 20 องศา
เราเลือกพักที่บ้านลุงปาละโฮมสเตย์ เป็นโฮมสเตย์ที่แรกก่อนเข้าปางอุ๋ง ที่เลือกที่นี่เพราะด้านหน้าเป็นร้านกาแฟ ที่หลายๆ รีวิวบอกว่าถ้ามาปางอุ๋งต้องแวะมาชิมกาแฟที่นี่ ส่วนด้านหลังเป็นซุ้มไผ่ยักษ์ มีบริเวณให้นั่งกินหมูกะทะ วิวสวยมาก ยิ่งไปตอนกรีนซีซั่นแบบนี้ราคายิ่งถูก คืนละ 500 บาม คุ้มมากๆ
หมูกะทะ สั่งกับที่พักได้เลย ชุดละ 300 กว่าบาท ส่วนเราหอบหิ้วปลาหมึกสด กุ้งสดไปจากบ้าน ย่างทีหอมไปทั้งปาง อิๆ
ที่พักเป็นห้องพัดลมนะคะ แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ อากาศเย็นมาก ขนาดเราเป็นคนขี้ร้อน (มาก) เราก็ไม่ได้เปิดเลยค่ะ
วันที่สาม
ที่วางแผนไว้คือจะไปล่องแพชมธรรมชาติในปางอุ๋ง แต่.... ฝนตกแต่เช้าเลยจ้า โปรแกรมล่องแพเลยงดไป ได้แค่แวะไปชมธรรมชาติบริเวณด้านหน้าปางอุ๋ง
สวนจนเกินคำบรรยาย
หลังจากนั้นก็เก็บข้าวของ ไปจิบชา ชมวิวสวยๆ ที่บ้านรักไทย กันต่อเลย
ชารสชาติธรรมดา แต่วิวต้องมาหาที่นี่ที่เดียว
ความเขียวยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เพราะสถานที่ต่อไป เราจะไปไหว้พระ และอธิษฐานขอพรกันที่สะพานซูตองเป้ "สะพานอธิษฐานสำเร็จ"
มื้อเที่ยงนี้ เราตั้งใจว่าจะไปฝากท้องกันที่ "ก๋วยเตี๋ยวห้อยขาบ้านจ่าโบ่"
เนื่องจากบริเวณที่ห้อยขา คนเยอะมาก เราเลยเลือกแบบโต๊ะที่นั่งกินในร้านแทน ฃ
ก๋วยเตี๋ยวรสชาติทั่วไป แต่ไว้ใจได้เรื่องความสวยของวิว วิวสวย ถึงระดับสวยสุดๆ
***ถ้าไปกินตรงวันหยุด หรือวันหยุดยาว แนะนำว่าไม่ควรไปตอนหิวจัด เพราะคิวยาว ถึงยาวมาก และอาจจะต้องรอต่อคิวที่นั่งด้วย
จากจุดนี้ ก็ขับรถผ่านโค้งไปโค้งมาอีกหลายร้อยโค้ง เพื่อไป "ปาย"
เราเลือกพักที่ "บ้านปายริเวอร์ไซด์" เลือกบ้านกระท่อมไม้ไผ่ แบบ ริเวอร์วิว (ด้านหน้าเป็นแม่น้ำ) บ้านพักน่ารัก บรรยากาศดี ที่สำคัญแค่ข้ามสะพานไม้ไผ่ ก็ดึงถนนคนเดินแล้ว ใกล้มากๆ (แต่ถ้าใครไม่อยากเดินไกล แนะนำให้เลือกบ้านปูน จะใกล้สะพานมากกว่า)
คืนละ 500 บาท ที่พักสะอาด บรรยากาศดี มีห้องน้ำในตัว สำหรับเราถือว่าคุ้มมาก
***แต่ทางเข้าค่อนข้างแคบ และเป็นถนนดิน ถ้าไปหน้าฝนก็จะลำบากหน่อย
หลังจากเก็บของเข้าที่พัก เราก็ไปเดินเล่นบริเวณที่จัดถนนคนเดินปาย แต่... ไปหน้าฝนอ่ะเนาะ ก็ต้องทำใจ เพราะอยู่ๆ ฝนก็ตกลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แถมยังตกแรง แล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ถนนคนเดินปายวันนี้ก็ต้องงดไป ได้แค่ไปหาร้านนั่งกินมื้อเย็นแทน
สำหรับเราในปายตอนนี้ อาหารฝรั่ง ประเภทพิซซ่า และอาหารไทยสำหรับนักท่องเที่ยว หากินง่ายกว่าอาหารท้องถิ่นแท้ๆ อย่าง ข้าวซอย ขนมจีนน้ำเงี๊ยว หายากมาก ที่หาได้ก็ไม่ใช่รสชาติดั้งเดิมอีกแล้ว
วันที่สี่
เช้านี้โชคดีไม่มีฝน เราออกจากที่พัก แล้ววนหามื้อเช้าในปาย ก็ไปเจอกับร้านโจ๊กรถเข็น ที่คนเยอะมาก ชื่อร้านจำไม่ได้ พิกัดที่แน่ชัดก็ไม่รู้อีก เพราะขับวนๆ บริเวณที่จัดถนนคนเดิน รู้แต่ว่าขายอยู่บริเวณแยกไฟแดง ฝั่งตรงข้ามกับร้านขายปาท่องโก๋ (ร้านขายปาท่องโก๋เป็นตึกแถว ส่วนร้านขายโจ๊กเป็นร้านรถเข็น) ถ้าใครอยากลองกินขับวนๆ ดูก็น่าจะเจอ
เราไปสั่งประมาณ 8 โมงเช้า เหลือแค่โจ๊กเห็ดหอมอย่างเดียว อย่างอื่นหมดแล้ว ด้วยความอยากลอง เหลือแค่นี้ก็เอา พอกินแล้ว เราว่าไม่ถูกปากเราอ่ะ
รสชาติโจ๊กมีกลิ่นเห็ดหอมซึ่งเราชอบมาก แต่รสสัมผัสคือหวานมาก คิดว่าน่าจะมาจากความหวานของเห็ดหอม เป็นครั้งแรกที่กินโจ๊กรสหวาน แล้วก็หวานติดลิ้นเลย ถ้าคนชอบกินหวาน เราว่าร้านนี้ถูกใจแน่นอน
ก่อนจะลาเมืองปาย เราแวะถ่ายรูปที่ "สะพานประวัติศาสตร์ปาย" ถือเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองปายแห่งหนึ่ง ถ้าใครได้ไปเมืองปาย
ก็แวะไปถ่ายรูป ชมวิวที่สะพานประวัติศาสตร์ปาย กันนะคะ
ความคดเคี้ยวของเส้นทางยังไม่หมดเท่านี้ เพราะเราจะยังวนๆ เวียนๆ อยู่กับป่าเขา ด้วยการขึ้นดอยไปสักการะ "พระธาตุดอยสุเทพ" กัน
ถือเป็นการทำบุญ และทดสอบพละกำลังขา และร่างกายไปพร้อมๆ กัน
***บริเวณทางขึ้นพระธาตุ มีร้านค้าให้บริการนักท่องเที่ยวหลายร้าน แต่ที่อยากแนะนำคือ ร้านขายน้ำผลไม้สดปั่น เราสั่งน้ำเสาวรสปั่น รสชาติแบบเสาวรสแท้ๆ แทบไม่มีน้ำเชื่อมเจือปน เดินมาเหนื่อยๆ ได้แก้วนี้สดชื่นมากๆ
ได้เวลาลงสู่พื้นราบ มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ เราพักที่ เชียงใหม่อยู่ดี ที่พักน่ารัก ราคาไม่แพง ใกล้แหล่งท่องเที่ยว แต่ที่จอดรถไม่ค่อยสะดวก คือต้องจอดข้างทางด้านหน้าที่พัก ไม่มีที่จอดรถเป็นสัดส่วน (ซึ่งเราคิดว่าที่พักในตัวเมืองเชียงใหม่หลายๆ ที่ก็เป็นแบบเดียวกัน) ดังนั้นเราจะไม่ถือเป็นข้อเสีย
เนื้อหาต่อจากนี้ ติดตามกันต่อในความคิดเห็นนะคะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้