เนื่องใน #วันแม่แห่งชาติ ขออนุญาตมาเล่า (มาอวดมาอวย !) เรื่องของเรากับแม่กับเหตุผลว่าทำไมผู้หญิงทุกคนควรถามตัวเองว่า "คุณอยากมีลูกเพราะอะไร?"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ขอเล่าก่อนเลย คือแม่เป็นผู้หญิงที่แกร่งที่สุดเท่าที่เราเคยรู้จักมา เราแทบจะไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้ เพราะถ้าแม่ร้องไห้แปลว่าเรื่องนั้นมันหนักมากเท่าที่ผู้หญิงที่ข้ามน้ำข้ามทะเลจากบ้านเกิดคนหนึ่งจะทนได้
และครั้งหนึ่งในชีวิต...แม่ก็เคยร้องไห้เพราะเรื่องของเรา
พื้นฐานครอบครัวของเราเป็นคนหาเช้ากินค่ำ เราต้องตื่นตั้งแต่ตีสามมาช่วยแม่ขูดมะพร้าว ทำเผือกกวน ปลอกข้าวโพด จัดของขึ้นรถ ทำทุกอย่างเท่าที่เด็กประถมคนหนึ่งจะช่วยเหลือครอบครัวได้ (ตอนนั้นขายขนมไทย) กว่าจะเสร็จทุกอย่างก็ตีห้า อาบน้ำแต่งตัวไปรร.เจ็ดโมง
แม่ไม่เคยบอกให้เรียนเก่ง แม่แค่บอกว่า "อยากจะมีชีวิตแบบฉันไหมละ?" นั้นเป็นประโยคปลุกใจเท่าที่แม่จะนึกออก,เราคิดแบบนั้นนะ และเราก็ตั้งใจเรียนด้วยตัวเราจริงๆ สอบได้ทุนบ้าง ได้อุปกรณ์จากตั้งฮัวเสงบ้าง และแม่ไม่เคยสอนให้เราเชื่ออะไรเลย แม่จะสอนให้คิดเองตลอดว่าดีไม่ดี ชีวิตครอบครัวเราลุ่มๆดอนๆตามสภาพเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ ณ ตอนนั้นๆ นึกออกไหมว่าขายของที่เดิม ฝีมือเท่าเดิม แต่ยอดขายตกลง ทั้งๆที่ Standard เท่าเดิม นั้นแปลว่าเศรษฐกิจ ณ ตอนนั้นๆมันส่งผลกระทบต่อชีวิตครอบครัวของเรา (การเมืองมีผลต่อชีวิตคุณเสมอไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม : )
ครอบครัวเราช่วยเหลือกันมาตลอด จนกระทั้ง ปี 54 เราขึ้นม.4 เป็นปีที่หนักที่สุดแล้ว ของขายไม่ได้ หนี้สินท่วมหัว ถ้ายังอยู่ที่กทมต่อตายแน่ๆ พ่อเลยตัดสินใจจะย้ายไปอยู่ตจวเพื่อประครองรายจ่ายของครอบครัว พาพี่น้องเราไป ยกเว้นเรา
เราไม่ไปด้วยเหตุผลเดียวคือ ถ้าเราไปเราจะไม่ได้เรียนต่อแน่ๆ
เรากลัว เรากลัวมากๆ ถ้าไม่มีการศึกษาชีวิตเราจะไม่มีอะไรเลย เราจะกลายเป็นบุคลากรที่ไม่มีคุณค่าอะไรกับสังคมนี้ และโลกของความเป็นจริงคนที่ไม่มีผลประโยชน์กับคนอื่นนะ ไม่มีใครอยากได้หรอก เรารับไม่ไหว และเราก็คิดแบบพวกเด็กๆในละครว่า เห้ย แค่ส่งตัวเองเรียนต่อเอง มันจะยากสักเท่าไหร่กัน?
เราพึ่งมารู้จากปากแม่ที่หลังว่า ที่พ่อกับแม่ยอมให้เราอยู่กรุงเทพฯคนเดียว ทั้งๆที่เรามีเงินทุนติดตัวแค่สามพัน เพราะแม่คิดว่าไม่นานเราก็คงตามแม่ไป อยู่คนเดียวได้สักเดือนก็เก่งแล้ว...
แต่แม่คิดผิด !!!
เราบ้าจี้จนจบม.ปลายจริง ๆ และนั้นกินระยะเวลาถึงสามปีที่เราไม่ได้เจอครอบครัว ไม่เจอแบบไม่ได้เจอหน้ากันเลย คือเป็นช่วงเวลาที่หนักที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้จะนึกออก เราต้องไปทำงานโบกธงตามพวกคอนโดวันส-อ วันธรรมดาเลิกเรียนแล้วต้องรีบไปทำงานซุปเปอร์มาเกต ตกดึกไปทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในผับ ช่วงแรกๆต้องไปนอนกับพวกคนงานก่อสร้างเพราะค่าหอมันถูก หอรวม ห้องน้ำรวม นึกออกป่ะ?
วันที่แย่ที่สุดในชีวิตคือวันที่ไม่มีอะไรกินเลย ทำงานแล้วแต่เงินยังไม่ออก เขาตัดเงินเป็นวีคๆ เราต้องซื้อข้าวสวยมาบดกินกับเกลือ(น้ำปลายังไม่มีเงินซื้อ55555) กินไป ร้องไห้ไป ชีวิตคนเราต้องหนักหน่วงขนาดนี้จริงๆเหรอวะ? ใจอยากโดดตึกตายๆไป แต่กลัวไม่ตายแล้วเดือดร้อนพ่อแม่แบบในข่าว เราติดต่อใครไม่ได้แม้กระทั้งครอบครัว ไม่มีใครช่วยเหลือเรา ที่รร.ลือกันไปว่าเราหนีออกจากบ้าน พ่อแม่ที่ไหนจะกล้าทิ้งลูก (จริงๆเขาก็เข้าใจไม่ผิดนะ พ่อแม่เราไม่ได้ทิ้ง แต่เราเลือกจะออกมาเองต่างหาก) ช่วงนั้นเป็นช่วงที่โดนด่าว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอนแล้วไม่เจ็บอะไรเลย
ก็ไม่มีพ่อแม่มาสั่งสอนจริงๆ
เราเฉยชากับทุกคน แต่อีกด้านของความเฉยชาคือโคตรเหงามาก เรากลายเป็นคนพูดมากเพราะเวลากลับห้องไปเราไม่มีใครให้คุยด้วย จนหลังๆโดนด่ามากๆเราเลยกลายเป็นคนที่ชอบคุยกับตัวเอง ทำอะไรด้วยตัวเอง และเลิกเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น ยอมรับว่ามันแย่มาก แบบ เราอยากให้ทุกคนสนใจเราอ่ะ ทั้งโกหก ทั้งแต่งเรื่องสารพัดเพราะอยากได้รับการยอมรับ ตอนนั้นยอมรับมากๆว่าสภาพจิตใจไม่ได้คิดได้โตได้ขนาดนี้ อีกด้านหนึ่งของการอยู่คนเดียวมันคือการกัดกินและบั่นทอนจิตใจเด็กคนหนึ่งอย่างถึงที่สุด เราทำทุกอย่างจนโดนทุกคนที่รรเกลียด ซึ่งนั้นก็สมเหตุสมผลนะไม่ว่ากัน 555555555
แต่เรื่องหนึ่งที่เราไม่ทิ้งคือเรื่องการเรียนและความฝัน เราอ่ะ เป็นเด็กที่แบบ passion เราแรงมาก เรารู้ตัวมาตลอดว่า Talent ของเราคืออะไร รู้ว่าอะไรที่จะทำให้เราไปถึงโกลในชีวิตเรา นั้นคือการเป็นนักเขียนและการทำงานในสายนิเทศ ทั้งๆที่พ่อกับแม่เราอยากให้เราเป็นแค่มนุษย์เงินเดือนหรือข้าราชการ เรารู้จักตัวเองดีมากๆไง เรารู้ว่าเราไม่สามารถอยู่ได้กับระบบเช้าชามเย็นฉาม แล้วเราก็มั่นหน้ามากๆว่าเห้ย เราสามารถทำงานจนมีสวัสดิการที่ดีกว่าข้าราชการได้ด้วยซ้ำ การยืนหยัดด้วยเงินตัวเองทำให่คุณมีอำนาจในการตัดสินใจเส้นทางเดินของการศึกษาของตัวเอง และเราก็ยังคงเลือกนิเทศเสมอ
อีกคนที่ต้องขอบคุณเลยคือ P พี่ P เป็นแฟนเก่าเรา เป็นเด็กนอกและอยู่ในวัยที่เลี้ยงดูตัวเอง(คือทำงานแล้ว)ได้แล้ว เราเริ่มคบกับพี่ตั้งแต่ช่วงครอบครัวจากเราไปใหม่ๆ และก็เป็น P ที่กลายมาเป็นครอบครัวของเราแทน คืออาจจะบอกเราบ้าแฟนเราก็ได้นะ แต่คุณครับ คือทั้งชีวิตเรา ณ ตอนนั้นมีแค่เขาอ่ะ มีแค่เขาที่ดูแลเรา ทั้งเข้าใจทั้งส่งเสียให้เราไปเรียนพิเศษ มีข้าวกิน ลดภาระงานที่ต้องทำกลางคืนลง จนพอจะเรียกได้ว่าเป็นอีกช่วงชีวิตที่โอเค อาจจะไม่สบายมากแต่ก็สบายกว่าการต้องทำงานจนหัวหมุน แล้วแบบนี้จะไม่ให้เราคิดว่าเขาเป็นคนสำคัญในชีวิตเราได้จริงๆเหรอ? ทุกวันนี้เลิกกันยังคิดเสมอว่าเขาโคตรมีบุญคุณ
เรารู้สึก "เฉยๆ" กับครอบครัวที่ไม่ได้สนใจเราไปที่ละเล็กที่ละน้อย รู้สึกตัวอีกที่ เราก็คิดแค่ว่าชีวิตนี้เรามีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองและเพื่อ P เพราะเราอยากพิสูจน์ให้ P เห็นว่าเห้ย เขาเลือกช่วยเหลือไม่ผิดคนจริง ๆ เราอยากมีอนาคตที่ดีเพื่อจะได้ขึ้นไปเสมอ ขึ้นไปอยู่ข้างๆเขา มันเครซี่มาก และตอนนั้นเราสอบติดมนุษย์มชกับทุนม.เอกชนอีกที่ แล้วเราก็เลือกทุนมอเอกชนเพราะมันตรงสายนิเทศ แต่พอเข้าไปเรียนแล้วมันไม่เวิร์กอ่ะ เราคิดทบทวนไปมาก็ซิ่วออกมา และช่วงนั้นเองที่ P กลับมาอยู่ไทยแล้ว เราค่อยๆห่าง สุดท้ายก็เลิกกันไปโดยไม่มีคำร่ำลา
เหมือนทุกสิ่งในชีวิตหายไป คือเขาไม่ได้มีคุณค่ากับเราแค่เรื่องเงินทอง (เขาไม่ได้ให้เงินเราทุกเดือนนะ เขาให้แบบ เฉพาะเป็นก้อน เป็นเรื่องๆ เช่น ค่าเรียนพิเศษก็ซื้อคอร์สเรียนให้เลยเงี้ย นึกออกมะ?) แต่เขาแบบ เขาเหมือนจุดหมายอ่ะคุณ เหมือนจุดหมายที่คุณตั้งไว้มันหายไปอ่ะ เราเคว้งมาก และนั้นเป็นครั้งแรกในรอบสามปีหลังจากเราออกมาอยู่คนเดียวที่เราได้เจอแม่เรา แม่ยังเป็นผู้หญิงซื่อๆที่ยิ้มเก่ง แม่กอดเรา แม่ถามเราสบายดีไหม? แต่กลับเป็นเราที่อึ้งจนพูดไม่ออก แค่สามปีแม่เปลี่ยนไปมาก เรารู้สึกได้ว่าเราโตขึ้นในขณะที่แม่เราแก่ลง แม่เริ่มมีผมหงอก ริ้วรอยเห็นได้ชัดมากขึ้น
แม่บอกกับเราว่า แม่อยากให้เราตั้งใจเรียน อยากให้เราเป็น hero ของบ้าน แต่คำถามในใจที่เรารู้สึกคือ เห้ย เราไม่ได้อยากเป็น Hero ของใครเว้ย เราแค่อยากมีชิวิตที่ดีเพื่อตัวเราเอง เราแบบ นึกออกป่ะ มันเหมือนคนแปลกหน้าที่มาเจอกันอ่ะ เราแทบไม่รู้สึกอะไรกับแม่เราเลยนอกจากความรู้สึกตกใจอ่ะ มันเก็บสะสมแบบนั้นมาสักพัก จนเราเฮิร์ตเรื่อง P อีกครั้ง เราโทรหาแม่ เราเล่าให้แม่ฟังทุกอย่าง ทั้งคำถามที่อยู่ในใจ ทั้งเรื่อง P ทั้งเรื่องอนาคตของเรา และนั้นเป็นครั้งแรกที่เราตัดสินใจกลับไปตจว ไปหาแม่ ไปนั่งคุยกับแม่ ไปบอกแม่ว่าเรารู้สึกแย่ขนาดไหนกับความรู้สึกในใจที่เราต้องแบกรับ
"เราไม่อยากแบกรับความคาดหวังของใคร เราไม่ได้อยากเกิดมา เราเลือกไม่ได้ว่าจะเกิดหรือไม่เกิด แม่เข้าใจเราไหม เราเหนื่อย เราแค่อยากมีชีวิตที่เราสามารถทำตามใจตัวเองได้โดยไม่เดือดร้อนใคร เราไม่ได้อยากแข่งขัน เราไม่ได้อยากเข้าสังคม เราแค่อยากเป็นตัวเราแค่นั้นเอง" ทั้งหมดคือสิ่งที่เราระบาย
แม่ ผู้หญิงที่แทบไม่เคยร้องไห้ให้เราเห็นสักครั้ง กอดเรา และร้องไห้ ประโยคเดียวที่เขาพูดคือ "ขอโทษ" ขอโทษที่เขาไม่มีความเข้าใจมากพอว่าการให้กำเนิดใครสักคนมันต้องมีมากกว่าความรัก คือแม่เราไม่ได้ใช้ภาษาสวยหรูอ่ะ แต่เขาขอโทษเราจากใจจริงๆที่เขาไม่สามารถสนับสนุนอะไรเราได้เลย เหมือนความรู้สึกเรามันคอมพลีทอ่ะ คือบ่วงในใจเราทั้งหมดแม่รับรู้อ่ะ คนๆนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเราอีกแล้ว แต่เขาเป็นแม่ เขาเป็นแม่ที่เข้าใจเราแล้ว เขาเป็นแม่ที่เข้าใจความรู้สึกของเราทั้งหมดโดยไม่ด่าทอว่าเราเป็นลูกอกตัญญู เข้าใจว่าตัวเองทำผิดพลาดยังไง และเสียใจกับการกระทำของตัวเอง
เราร้องไห้ แม่ร้องไห้ คืนนั้นเรานอนร้องไห้ปลอบกันและกันไปมา สำหรับเรา นั้นคือกุญแจที่แม่ใช้ในการดึงเรากลับมาอีกครั้ง เรา "รู้สึก" อีกครั้งกับครอบครัวของเขา เรารักและรักมากขึ้นกับแม่เรา เหมือนพายุในหัวมันจางหายไปอ่ะ คือแม่พูดถึงขนาดว่าแม่รู้ว่าถ้าแม่มีทุนทรัพย์มากพอ แม่ผลักดันเรา เราจะไปได้ไกลกว่านี้มากๆ มากกว่าที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ด้วยซ้ำ และนั้นแหละที่แม่เสียใจมาตลอดที่ทำให้เราไม่ได้ คือเราอ่ะ ไม่ได้อยากให้เขาเสียใจ แต่เราอยากให้เขารับรู้ความรู้สึกทั้งหมดที่เราต้องแบกรับมาตลอดสามปีที่เราไม่ได้อยู่กับเขา พอตรงนั้นมันทัชกัน บ่วงทุกอย่างคือหายไปหมดเลยจริงๆ
นอกจากนั้นแม่เราก็มีมุมตลกมากๆ เช่น แม่ถามเราว่าเราอยากใส่กระโปรงไหม? เราอยากใส่ส้นสูงหรือต่อผมยาว แต่งหน้าทำผมรึเปล่า? เราก็แบบ แม่ ลูกแม่เป็นเกย์ ไม่ใช่ตุ๊ด เป็นรุกอีกต่างหาก คือเข้าใจไหมว่าสำหรับแม่เรา ถ้าไม่ใช่ผู้ชาย = ตุ๊ด มันเป็นภาพจำไง
แล้วแม่ก็จะมีความกลัวตลกๆอีก เช่น แม่กลัวเราเปย์ผู้ชาย อยากบอกแม่ว่าแม่ ผมเปย์ตัวเองยังไม่พอเลยแม่เอ๊ย จะเอาเงินไปให้ไปผู้ชาย (...มีแต่ผู้ชายสิต้องเอามาให้ลูกแม่ 55555555) นอกนั้นก็เฉยๆ เพราะปกติเราไม่สูบบุหรี่ เหล้าเราก็กินไม่ได้เพราะเราแพ้แอลฯ แม่เลยมีเรื่องกังวลใจกับเราไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง
สิ่งที่เราพราวด์มากที่สุดในชีวิต คือการทำให้คนที่ไม่เคยเจอพ่อกับแม่ชมเราไปถึงพ่อกับแม่เราได้จากการกระทำของตัวเราเอง โคตรพราวด์อ่ะ อารมณ์แบบเขาชมด้านบวกว่าอยากรู้พ่อแม่เราเลี้ยงมาแบบไหน ทำไมถึงคิดอะไรได้ขนาดนี้ เราตัวยืดมากกก เรารู้สึกว่าโคตรดีใจที่เขาชมพ่อกับแม่เราได้ นอกนั้นก็เรื่องหนังสือ แม่อ่ะ ชอบบอกเราฝันลมๆแล้งๆ จนกระทั้งนิยายที่เราเขียนตีพิมพ์เป็นเล่ม แม่อึ้ง แล้วแม่ก็บอกกับเราว่า "แกพูดมาตั้งแต่ป.3 ว่าแกอยากจะเขียนหนังสือขาย และแกก็ทำได้จริงๆ ...แม่ดีใจด้วยนะ" คือเป็นประโยคที่ไม่มีอะไรเลย แต่โคตรที่จะกินใจเรามากๆอ่ะ เราร้องไห้เลยนะ
ปีนี้เป็นอีกปีที่เราไม่ได้กลับบ้าน เรามีภาระมากเกินกว่าจะกลับไปไหว้แม่ด้วยตัวเราเอง ทำได้แค่โทรหาและบอกรักกัน แต่เราก็รับรู้เสมอ ว่าตอนนี้ เป้าหมายที่เราอยากจะไปให้ถึง คือเป้าหมายไหน และใครคือคนสำคัญในชีวิตที่เราไม่สามารถตัดเขาออกไปได้
แม่ ผู้หญิงที่ไม่มีวันเกิด ไม่แต่งตัว ไม่บ้าเครื่องสำอางค์ ทำงานได้ทุกอย่างบนโลกใบนี้ ไม่มีโทรศัพท์
และวิเศษที่สุด คือแม่ เป็นแม่ของผม ผู้ชายที่มั่นใจว่าจะมีอนาคตที่ดีและส่งมอบโอกาสนั้นให้แม่ได้สบาย
ไม่มีอะไรจะกล่าวไปกว่าคำว่าขอบคุณที่เราได้เกิดมาเป็นลูกแม่
รักแม่เสมอครับ
W
จากเรื่องทั้งหมดที่เราเล่ามา เราถึงพูดเสมอว่าก่อนจะมีลูกนะ อยากให้ถามก่อนว่าอยากมีลูกเพราะอะไร? การเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งมันต้องมีความพร้อมมากกว่าแค่ความรักที่มีให้กันนะ มันต้องมีการวางแผน มีแพลนเต็มไปหมด และที่สำคญคือต้องมี "ความพร้อม" ทั้งสภาวะในการเลี้ยงดูและเงินทองที่เป็นปัจจัยหลักของมนุษย์
เพราะเมื่อคนๆหนึ่งเกิดมาแล้ว เขาจะส่งผลกระทับทั้งตัวคุณ ทั้งสังคม ทั้งอื่นๆเต็มไปหมด
เด็กนะ เลือกเกิดไม่ได้ว่าจะเกิดกับใคร แต่พ่อแม่นะเลือกได้นะว่าอยากให้เขาเกิดหรือไม่เกิด
ดังนั้นแล้ว ถ้ายังไม่มีความพร้อม อย่าเพิ่งมีลูกเลยครับ เพราะผลเสียทั้งหมดที่ตามมาบางครั้งคุณอาจจะไม่เข้าใจมันไงว่ามันไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ตัวคุณเอง
แต่มันส่งผลต่อโลกทั้งใบของคนๆ หนึ่ง
ถ้าวันนั้น แม่ไม่ร้องไห้ ไม่กอดปลอบเรา
...แม่อาจจะเสียเราไปทั้งชีวิตของแม่เลยจริงๆก็ได้ ใครจะรู้
ขออนุญาตมาเล่าเรื่องของเรากับแม่ กับเหตุผลว่าทำไมผู้หญิงทุกคนควรถามตัวเองว่า "คุณอยากมีลูกเพราะอะไร?"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากเรื่องทั้งหมดที่เราเล่ามา เราถึงพูดเสมอว่าก่อนจะมีลูกนะ อยากให้ถามก่อนว่าอยากมีลูกเพราะอะไร? การเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งมันต้องมีความพร้อมมากกว่าแค่ความรักที่มีให้กันนะ มันต้องมีการวางแผน มีแพลนเต็มไปหมด และที่สำคญคือต้องมี "ความพร้อม" ทั้งสภาวะในการเลี้ยงดูและเงินทองที่เป็นปัจจัยหลักของมนุษย์
เพราะเมื่อคนๆหนึ่งเกิดมาแล้ว เขาจะส่งผลกระทับทั้งตัวคุณ ทั้งสังคม ทั้งอื่นๆเต็มไปหมด
เด็กนะ เลือกเกิดไม่ได้ว่าจะเกิดกับใคร แต่พ่อแม่นะเลือกได้นะว่าอยากให้เขาเกิดหรือไม่เกิด
ดังนั้นแล้ว ถ้ายังไม่มีความพร้อม อย่าเพิ่งมีลูกเลยครับ เพราะผลเสียทั้งหมดที่ตามมาบางครั้งคุณอาจจะไม่เข้าใจมันไงว่ามันไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ตัวคุณเอง
แต่มันส่งผลต่อโลกทั้งใบของคนๆ หนึ่ง
ถ้าวันนั้น แม่ไม่ร้องไห้ ไม่กอดปลอบเรา
...แม่อาจจะเสียเราไปทั้งชีวิตของแม่เลยจริงๆก็ได้ ใครจะรู้