Butterfly effect VS About time
หนังย้อนเวลายอดเยี่ยมในดวงใจของใครหลายคน
-เชื่อว่าใครหลายๆคนน่าจะเคยผ่านหูผ่านตามาบ้างสำหรับสองเรื่องนี้ พอดีว่าเมื่อคืนได้มีโอกาสดู butterfly effect หลังจากห่างหายมานานม้ากกก เลยอยากเอามาเขียนรีวิวเทียบกับหนังย้อนเวลาสุดโรแมนติกอย่าง about time ให้อ่านกัน
Butterfly : ชอบพล็อตมากๆๆๆ เรียกได้ว่าหนังมันทำให้เราลุ้น ระทึกไปกับการย้อนเวลาแก้ไขอดีตของพระเอกสุดๆ ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ชอบที่หนังไม่ได้บอกตรงๆ ว่าเออ พระเอกมันมีสกิลนี้นะ ซึ่งครั้งแรกที่ดูคือบอกเลยว่างงมากว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอหนังเริ่มดำเนินการเล่าต่อไปเรื่อยๆ เหมือนทุกอย่างมันเริ่มไขความสงสัยในตัวเอง สุดท้ายมันก็ทำให้เราเชื่อในทฤษฎี butterfly effect นี่จริงๆ ว่าการที่พระเอกเปลี่ยนการกระทำบางอย่างในอดีตเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น มันสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดในอนาคตได้จากหน้ามือเป็นหลังมือจนคนดูนี่ต้องอ้าปากค้างไปตามๆกัน
About time : อันนี้ก็มาสายรอมคอม หนังเล่าเรื่องได้มีเสน่ห์และน่ารักมากๆ พล็อตอาจจะไม่ได้มีความจริงจังเท่าเรื่องบน แต่ด้วยความเป็นหนังโรแมนติกอ่ะเนอะ ระหว่างดูนี่คืออมยิ้มตลอดเวลา ตั้งแต่ต้นจนจบเราไม่สามารถละสายตาไปจากหนังได้เลย สิ่งที่ทำให้ about time มันพิเศษกว่าหนังรักทั้วไปคือการย้อนเวลานี่แหละ ตอนดูครั้งแรกคือตื่นเต้นมาก ไม่คิดว่าหนังรักชื่อไทยหวานเลี่ยนแบบนี้จะมีปมการย้อนเวลาที่ลึกซึ้งแทรกอยู่ด้วย มันทำให้หนังเรื่องนี้มันครบเครื่องมากๆ
Butterfly : อารมณ์ระหว่างดูคือใจเต้นตลอดเวลา ช่วงแรกๆ คือสะดุ้งถี่มาก55555 ด้วยความที่ช่วงนั้นยังไม่รู้ว่าหนังเกี่ยวกับอะไรคือเราแบบใจเต้นไม่เป็นส่ำสุด ลุ้นไปอี๊กว่านี่มันหนังอะไรวะ จะเกิดอะไรขึ้น แต่พอเริ่มเข้าใจในเส้นเรื่องก็เริ่มเปลี่ยนอารมณ์ ลุ้นมันก็ลุ้น แต่เปลี่ยนเป็นลุ้นว่าการที่พระเอกทำแบบนี้มันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง แล้วพระเอกจะแก้สถานการณ์ยังไงให้ทุกอย่างอยู่ในจุดที่ลงตัว
About time : อันนี้ก็อย่างที่บอกว่าก็ยิ้มหวานวนไปสิฮะ มันอิ่มเอมมากจริงๆ ด้วยความที่มันหลายประเด็นมากเลยทำให้มันกลายเป็นหนังรักที่โรแมนติก อิ่มเอม แต่ก็น้ำตาซึมเป็นระยะๆ มันมีความอบอุ่นในเรื่องราว รวมถึงมันไม่ใช่แค่ในแง่ความรักของหนุ่มสาว คงไม่พูดไม่ได้ถึงความรักในครอบครัวของพ่อลูก เป็นซีนที่ทำให้ใครหลายๆ คนน้ำตาแตกออกมาได้ไม่ยาก
Butterfly : ซีนไคลแม็กซ์เราขอยกให้เป็นซีนจบ ด้วยความที่มันมีฉากจบหลายแบบมากๆ บอกแค่ว่ามันมีแบบ happy ending กับ sad ending ซึ่งเราขนลุกกับแบบหลังมากกว่า55555 เป็นความพีคที่เราไม่คิดว่าจะเล่นเอาแบบนี้เลย ดูจบนี่เก็บไปนั่งคิดทั้งวันทั้งคืน แต่ไม่ใช่ว่าจบแบบ happy มันไม่ดีนะ ทั้งสองแบบเป็นการสรุปเรื่องราวที่เราอินมากไม่ต่างกัน สามารถผูกปมให้จบพรึบได้อย่างสวยงาม
About time : ขอยกความไคลแม็กซ์ไปให้ซีนคุณพ่อคุณลูกเลยค่า555555 จำได้เลยว่าตอนดูนี่น้ำตาไหลพรากแบบพราก โอ้ยยยยว ไม่คิดว่าหนังรักย้อนเวลาที่ทำตัวเป็นรอมคอมมาทั้งเรื่องจะทำให้ร้องไห้ได้ขนาดนี้ แต่ในระหว่างที่ร้แงไห้เราก็ยังยิ้มได้ตลอด เป็นซีนที่เศร้าแต่อบอุ่นจริงๆ
Butterfly : เพลงแนะนำสำหรับคนที่ดูซับจบแบบ happy ending นะคะ ขอบอกเลยว่าการที่เรามาติ่ง oasis ทุกวันนี้ได้เกิดจากเรื่องนี้แหละจ้า เพลง Stop crying your heart out - Oasis มันยิ่งทำให้เราขนลุกซู่ไปใหญ่ ขึ้นมาได้ถูกจังหวะจริงๆ
About time : สำหรับ how long will I love you นี่คงไม่ต้องสาธยายความดีงามของเพลงมาก ซีนแต่งงานที่เป็นอีกซีนพีคของหนังคู่กับเพลงนี้มันแบบสุดๆแล้ว เชื่อมั้ยว่ามันไม่ได้เศร้าเลยนะซีนนี้ แต่ดิชั้นเองก็มีน้ำตาซึมอ่ะ อะไรมันจะดีขนาดนั้น❤️
Butterfly : หลังจากดูจบ มันทำให้เรารู้ว่าสุดท้ายแล้วเราก็ไม่สามารถสนองความต้องการของทุกคนบนโลกได้พร้อมกัน ต่อให้ย้อนกลับไปแก้ไขยังไง ไทม์ไลน์ที่จะเกิดขึ้นมันก็ไม่ทางที่จะเพอร์เฟคอย่างที่ใจเราต้องการ แอบรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วชีวิตก็ต้องแลกมาด้วยชีวิตยังไงอย่างงั้น
About time : ชอบประโยคนึงที่พระเอกบอกว่า ‘ต่อให้จะย้อนเวลาไปอีกกี่ครั้ง มันก็ไม่สามารถจะทำให้เธอรักผมได้’ หรืออะไรประมาณนี้ เอาจริงๆ ว่ามันก็ไม่ต่างจากเรื่องด้านบนซักเท่าไหร่ การย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ใช่ว่าจะทำให้ทุกอย่างลงตัวเสมอไป สิ่งที่เราทำได้คือการทำวันนี้ให้ดีที่สุด ทำมันให้ดีจนเรารู้สึกว่าไม่จำเป็นจะต้องใช้พลังในการย้อนกลับไปแก้ไขมันอีกแล้วเป็นครั้งที่สอง
สรุปว่า ควรตำทั้งสองเรื่องอ่ะพวกคุณ!! ในปมเดียวกันแต่เล่าเรื่องออกมาต่างแนวอย่างสุดขั้ว แต่สุดท้ายอารมณ์ที่เราได้รับจากหนังทั้งคู่มันก็ช่างคุ้มค่าซะเหลือเกิน
PS ทุกคนชอบเรื่องไหนมากกว่ากันเอ่ย?
แค่นักวิจารณ์หนังกากๆ คนหนึ่ง
------------------------------
ถ้าชอบการรีวิวครั้งนี้ สามารถเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องหนังๆ พร้อมกับดูรีวิวอื่นๆ ได้ที่นี่เลย
ช่องทางการติดตาม
Facebook:
https://www.facebook.com/justsointoeverything
YouTube:
https://www.youtube.com/c/JanYourDiary/featured
Blogger:
https://iknowyouhavegoodtaste.blogspot.com
Blockdit:
https://www.blockdit.com/iknowyouhavegoodtaste
TikTok:
https://www.tiktok.com/@iknowyouhavegoodtaste?lang=th-TH
Instagram:
https://www.instagram.com/iknowyouhavegoodtaste/
[CR] Butterfly effect VS About time : หนังย้อนเวลาในดวงใจของใครหลายๆ คน
หนังย้อนเวลายอดเยี่ยมในดวงใจของใครหลายคน
-เชื่อว่าใครหลายๆคนน่าจะเคยผ่านหูผ่านตามาบ้างสำหรับสองเรื่องนี้ พอดีว่าเมื่อคืนได้มีโอกาสดู butterfly effect หลังจากห่างหายมานานม้ากกก เลยอยากเอามาเขียนรีวิวเทียบกับหนังย้อนเวลาสุดโรแมนติกอย่าง about time ให้อ่านกัน
Butterfly : ชอบพล็อตมากๆๆๆ เรียกได้ว่าหนังมันทำให้เราลุ้น ระทึกไปกับการย้อนเวลาแก้ไขอดีตของพระเอกสุดๆ ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ชอบที่หนังไม่ได้บอกตรงๆ ว่าเออ พระเอกมันมีสกิลนี้นะ ซึ่งครั้งแรกที่ดูคือบอกเลยว่างงมากว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอหนังเริ่มดำเนินการเล่าต่อไปเรื่อยๆ เหมือนทุกอย่างมันเริ่มไขความสงสัยในตัวเอง สุดท้ายมันก็ทำให้เราเชื่อในทฤษฎี butterfly effect นี่จริงๆ ว่าการที่พระเอกเปลี่ยนการกระทำบางอย่างในอดีตเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น มันสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดในอนาคตได้จากหน้ามือเป็นหลังมือจนคนดูนี่ต้องอ้าปากค้างไปตามๆกัน
About time : อันนี้ก็มาสายรอมคอม หนังเล่าเรื่องได้มีเสน่ห์และน่ารักมากๆ พล็อตอาจจะไม่ได้มีความจริงจังเท่าเรื่องบน แต่ด้วยความเป็นหนังโรแมนติกอ่ะเนอะ ระหว่างดูนี่คืออมยิ้มตลอดเวลา ตั้งแต่ต้นจนจบเราไม่สามารถละสายตาไปจากหนังได้เลย สิ่งที่ทำให้ about time มันพิเศษกว่าหนังรักทั้วไปคือการย้อนเวลานี่แหละ ตอนดูครั้งแรกคือตื่นเต้นมาก ไม่คิดว่าหนังรักชื่อไทยหวานเลี่ยนแบบนี้จะมีปมการย้อนเวลาที่ลึกซึ้งแทรกอยู่ด้วย มันทำให้หนังเรื่องนี้มันครบเครื่องมากๆ
Butterfly : อารมณ์ระหว่างดูคือใจเต้นตลอดเวลา ช่วงแรกๆ คือสะดุ้งถี่มาก55555 ด้วยความที่ช่วงนั้นยังไม่รู้ว่าหนังเกี่ยวกับอะไรคือเราแบบใจเต้นไม่เป็นส่ำสุด ลุ้นไปอี๊กว่านี่มันหนังอะไรวะ จะเกิดอะไรขึ้น แต่พอเริ่มเข้าใจในเส้นเรื่องก็เริ่มเปลี่ยนอารมณ์ ลุ้นมันก็ลุ้น แต่เปลี่ยนเป็นลุ้นว่าการที่พระเอกทำแบบนี้มันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง แล้วพระเอกจะแก้สถานการณ์ยังไงให้ทุกอย่างอยู่ในจุดที่ลงตัว
About time : อันนี้ก็อย่างที่บอกว่าก็ยิ้มหวานวนไปสิฮะ มันอิ่มเอมมากจริงๆ ด้วยความที่มันหลายประเด็นมากเลยทำให้มันกลายเป็นหนังรักที่โรแมนติก อิ่มเอม แต่ก็น้ำตาซึมเป็นระยะๆ มันมีความอบอุ่นในเรื่องราว รวมถึงมันไม่ใช่แค่ในแง่ความรักของหนุ่มสาว คงไม่พูดไม่ได้ถึงความรักในครอบครัวของพ่อลูก เป็นซีนที่ทำให้ใครหลายๆ คนน้ำตาแตกออกมาได้ไม่ยาก
Butterfly : ซีนไคลแม็กซ์เราขอยกให้เป็นซีนจบ ด้วยความที่มันมีฉากจบหลายแบบมากๆ บอกแค่ว่ามันมีแบบ happy ending กับ sad ending ซึ่งเราขนลุกกับแบบหลังมากกว่า55555 เป็นความพีคที่เราไม่คิดว่าจะเล่นเอาแบบนี้เลย ดูจบนี่เก็บไปนั่งคิดทั้งวันทั้งคืน แต่ไม่ใช่ว่าจบแบบ happy มันไม่ดีนะ ทั้งสองแบบเป็นการสรุปเรื่องราวที่เราอินมากไม่ต่างกัน สามารถผูกปมให้จบพรึบได้อย่างสวยงาม
About time : ขอยกความไคลแม็กซ์ไปให้ซีนคุณพ่อคุณลูกเลยค่า555555 จำได้เลยว่าตอนดูนี่น้ำตาไหลพรากแบบพราก โอ้ยยยยว ไม่คิดว่าหนังรักย้อนเวลาที่ทำตัวเป็นรอมคอมมาทั้งเรื่องจะทำให้ร้องไห้ได้ขนาดนี้ แต่ในระหว่างที่ร้แงไห้เราก็ยังยิ้มได้ตลอด เป็นซีนที่เศร้าแต่อบอุ่นจริงๆ
Butterfly : เพลงแนะนำสำหรับคนที่ดูซับจบแบบ happy ending นะคะ ขอบอกเลยว่าการที่เรามาติ่ง oasis ทุกวันนี้ได้เกิดจากเรื่องนี้แหละจ้า เพลง Stop crying your heart out - Oasis มันยิ่งทำให้เราขนลุกซู่ไปใหญ่ ขึ้นมาได้ถูกจังหวะจริงๆ
About time : สำหรับ how long will I love you นี่คงไม่ต้องสาธยายความดีงามของเพลงมาก ซีนแต่งงานที่เป็นอีกซีนพีคของหนังคู่กับเพลงนี้มันแบบสุดๆแล้ว เชื่อมั้ยว่ามันไม่ได้เศร้าเลยนะซีนนี้ แต่ดิชั้นเองก็มีน้ำตาซึมอ่ะ อะไรมันจะดีขนาดนั้น❤️
Butterfly : หลังจากดูจบ มันทำให้เรารู้ว่าสุดท้ายแล้วเราก็ไม่สามารถสนองความต้องการของทุกคนบนโลกได้พร้อมกัน ต่อให้ย้อนกลับไปแก้ไขยังไง ไทม์ไลน์ที่จะเกิดขึ้นมันก็ไม่ทางที่จะเพอร์เฟคอย่างที่ใจเราต้องการ แอบรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วชีวิตก็ต้องแลกมาด้วยชีวิตยังไงอย่างงั้น
About time : ชอบประโยคนึงที่พระเอกบอกว่า ‘ต่อให้จะย้อนเวลาไปอีกกี่ครั้ง มันก็ไม่สามารถจะทำให้เธอรักผมได้’ หรืออะไรประมาณนี้ เอาจริงๆ ว่ามันก็ไม่ต่างจากเรื่องด้านบนซักเท่าไหร่ การย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ใช่ว่าจะทำให้ทุกอย่างลงตัวเสมอไป สิ่งที่เราทำได้คือการทำวันนี้ให้ดีที่สุด ทำมันให้ดีจนเรารู้สึกว่าไม่จำเป็นจะต้องใช้พลังในการย้อนกลับไปแก้ไขมันอีกแล้วเป็นครั้งที่สอง
สรุปว่า ควรตำทั้งสองเรื่องอ่ะพวกคุณ!! ในปมเดียวกันแต่เล่าเรื่องออกมาต่างแนวอย่างสุดขั้ว แต่สุดท้ายอารมณ์ที่เราได้รับจากหนังทั้งคู่มันก็ช่างคุ้มค่าซะเหลือเกิน
PS ทุกคนชอบเรื่องไหนมากกว่ากันเอ่ย?
แค่นักวิจารณ์หนังกากๆ คนหนึ่ง
------------------------------
ถ้าชอบการรีวิวครั้งนี้ สามารถเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องหนังๆ พร้อมกับดูรีวิวอื่นๆ ได้ที่นี่เลย
ช่องทางการติดตาม
Facebook: https://www.facebook.com/justsointoeverything
YouTube: https://www.youtube.com/c/JanYourDiary/featured
Blogger: https://iknowyouhavegoodtaste.blogspot.com
Blockdit: https://www.blockdit.com/iknowyouhavegoodtaste
TikTok: https://www.tiktok.com/@iknowyouhavegoodtaste?lang=th-TH
Instagram: https://www.instagram.com/iknowyouhavegoodtaste/
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้