อ่อนแอไม่ได้ ยิ่งคนที่สำคัญ อย่าหวังจะได้เห็นน้ำตา

เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้กับความรู้สึกของเรา เราจะต้องเป็นคนที่เข้มแข็งเสมอ เมื่อมีสิ่งใดมาทำร้าย เมื่อมีใครร้องไห้ เราจะเป็นคนที่ทำเหมือน "ฉันไม่เป็นอะไร" อยู่เสมอ และให้กำลังใจคนที่อ่อนแออยู่เสมอ เราต้องเก็บความรู้สึกมากมายจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า เกรงใจทุๆคนที่อยู่รอบข้าง ปกปิดทุกความชอกช้ำที่อยู่ในจิตใจ เหงา เปล่าเปลี่ยว พยายามทำให้คนรอบข้างหัวเราะตลอดเวลา ไม่ชอบให้ใครมีปัญหากัน

อย่างที่บอกไปเมื่อกี๊ เราป่วยเป็นโรคซึมเศร้า หรือโรคเรียกร้องความสนใจ ก่อนหน้าที่เราจะรู้ว่าเป็นโรคนี้ เราเรียกมันว่า "โรคเรียกร้องความสนใจ" มีหลายครั้งที่เรามองว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของเรา แล้วเราก็ต่อยกำแพงอย่างแรงเพื่อความสะใจ สมน้ำหน้าตัวเอง ยืนกอดตัวเองและลูปไหล่ตัวเองเบาๆ แล้วพยายามยิ้ม มันยิ้มไม่ออก แต่น้ำตาดันออกมาแทน ช่วงนั้นเราไม่บอกพ่อนะ เรากลัวว่าพ่อจะด่าเรา เรากลัวว่าพ่อจะเป็นห่วง เรากลัวว่าเราจะมีผลกระทบต่อชีวิตของพ่อ ส่วนแม่รับรู้ว่าเราเป็นอะไร แต่แม่ไม่เข้าใจว่าโรคซึมเศร้ามันคืออะไร เราก็ต้องทำความเข้าใจตรงนั้น และเราก็รักแม่มากๆ

ไม่นานเราก็บอกพ่อ ตอนที่เราบอกพ่อกินข้าวไม่ลง แล้วเดินหนีไป ในตอนที่เราบอก เราจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา เรากลั้นน้ำตาไว้ถึงขีดสุด จนพ่อไปเราก็ยังทำตัวปกติเหมือนไม่ได้เป็นอะไร วันต่อมาพ่อเดินเข้ามากอดเรา แล้วพูดว่า "เดี๋ยวก็หายลูก ไม่ต้องไปเครียด" คราวนี้ล่ะ น้ำตาไหลพร่างพรูราวกับน้ำตก เราก็กลับมาใช้ชีวิตได้คล้ายๆปกติ มีแรงขับเคลื่อนจากพ่อแม่ แค่ถามว่า "ทำไรอยู่ลูก?" รู้มั้ยว่ามันมีพลังมหาศาลในการอยู่ต่อขนาดไหน โลกมันน่าอยู่อีกครั้ง เราอยากทำอะไรมากมายเต็มไปหมด

คราวนี้เราเลยทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย เพื่อที่อยากจะทำให้พ่อแม่ไม่คิดมาก ไม่ลำบาก อยากเลี้ยงแม่เหมือนแต่ก่อน (ก่อนหน้านี้เราหาเงินเลี้ยงแม่ได้) แต่เริ่มทำไปได้ไม่นาน เหมือนจะดี แต่มันก็ไม่ดี เราโดนบริษัทๆนึงปลดเราออกจากการเป็น Producer ภาพยนตร์ เพราะเหตุผลง่ายๆ เราเลิกกับเขา เราออกมาใช้ชีวิตของเรา เขาง้อเราก็ไม่กลับไป มักง่ายเน้อะ แต่เรายินดี เพราะเขาก็เป็นอีก 1 สาเหตุหลักที่ทำให้เรากลายเป็นโรคซึมเศร้า

เราอ่อนแอมากในช่วงหลังๆมานี้ เราเริ่มกลับเข้าไปสู่วงโคจรเดิม เริ่มไร้จุดหมาย เริ่มเปลี่ยนไปจากร่าเริง กลายเป็นคนเงียบ อะไรก็ได้ อยู่คนเดียว และที่สำคัญเราไม่กล้าที่จะร้องไห้ให้พ่อเห็น ไม่กล้าร้องไห้ให้แม่ได้ยิน ในหัวมันสั่งให้ทำแบบนั้น เพื่อนก็ไม่ได้เห็นหรอกน้ำตา เห็นแต่ความก้าวร้าวในบางครั้งที่โรคมันกำเริบขึ้นมา แต่เราโชคดีที่มีเพื่อนเข้าใจและอยู่ต่อให้เราได้ขอโทษ เพราะมันบ้ามากกับการเอาอารมณ์บ้าๆไปใส่คนอื่น

วันดีคืนดีก็วิ่งเข้าตู้เสื้อผ้า อยู่ในตู้นานๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นคนบ้าในสายตาคนอื่น แต่การทำแบบนั้นคือเป็นคนบ้าไหม ไม่รู้เหมือนกัน มันดีกว่าเราเดินไป เดินมาฟุ้งซ่าน จิกหัวตัวเอง จิกแขนตัวเอง เธอเราไม่อยากให้ใครเห็นเราแบบนั้น แรกๆเพื่อนก็จะงงหน่อยๆ ว่าเดินเข้าตู้เสื้อผ้าทำไม แต่หลังๆมาเพื่อนเข้าใจและปล่อยให้เราอยู่ในตู้นั้น

เราร้องไห้ไม่ได้เลยว่ะ ต่อหน้าใครก็ไม่ได้ ไม่รู้จะเก็บความอ่อนแอไว้ทำไม ไม่รู้ว่าจะต้องแสดงว่าแข็งแกร่งอีกนานแค่ไหน เราไม่อาจรู้ได้เลย รู้เพียงแต่ว่า เราจะต้องไม่ตายด้วยเรื่องบ้าๆนี่แน่นอน เราเรียนรู้ที่จะโทษตัวเองได้ เราก็เรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเองได้เช่นกัน ตอนนี้หมดไฟ เดี๋ยวอีกซักพักเราคงได้ทำอะไรอีกมากมายแหละ

- Astronaut นักบินอวกาศที่ไม่ได้แต่แม้แต่ความไร้แรงโน้มถ่วง -
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่