สวัสดีทุกคนค่ะ จะรบกวนสอบถามผู้รู้กฎหมายค่ะ อาจจะยาวนิดนึงนะคะ
วันที่ 18 มกราคม 2561 เราได้ไปดูคอนโดย่านคลองหลวง ปทุมธานี นิติบุคคลแจ้งราคาตอนนั้น 550,000 บาท
หลังจากนั้นเราพยายามติดต่อเจ้าของคอนโดเพื่อต่อรองราคา แต่ไม่สามารถติดต่อได้ ทางนิติแนะนำให้เราโทรไปที่รพ.นวนคร เนื่องจากเจ้าของคอนโดเราเป็นหมอเด็ก อยู่ที่นั่น ด้วยความที่อยากได้ห้องมากเราก็โทรไป แต่ก็ผิดหวังเพราะเจ้าหน้าที่แจ้งว่าไม่มีชื่อคุณหมอตามที่เราสอบถามไป
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561 ทางนิติไลน์มาแจ้งว่าเจ้าของห้องเข้ามา และให้เบอร์เรามา
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 พี่สาวเราได้โทรต่อรองราคากับเจ้าของห้อง เนื่องจากทางเราไม่ต้องการเฟอร์นิเจอร์และขอลดเนื่องจากฝ้าห้องน้ำพัง และมีที่ต้องซ่อมอีกหลายจุด ทางเจ้าใจดีของลดราคาให้เรา 450,000 บาท พี่สาวเราก็ขอต่ออีกด้วยเหตุผลที่ว่าต้องซ่อมฝ้าห้องน้ำ สรุปราคาที่ซื้อขายที่ 420,000 บาท โดยที่ทางหมอให้เราออกค่าโอนทั้งหมด (ซึ่งปกติคอนโดมือสองจะออกกันคนละครึ่ง)
หลังจากตกลงราคาได้แล้ว เราก็ขอเอกสารกับทางคุณหมอเจ้าของห้องเพื่อไปยื่นแบงค์ โดยทุกครั้งหมอจะเป็นฝ่ายนัดเราไปรับเอกสารที่รพ.ศิริราช เอง (คุณหมอย้ายมาอยู่ศิริราชแล้วค่ะ)
เนื่องจากเราทราบมาว่าธนาคารปล่อยแค่ 70-80%ของยอดที่เรายื่นกู้ เราเลยแจ้งคุณหมอว่าเราขอยื่นยอดสูงกว่ายอดจริงในสัญญาระบุยอดที่ใช้ยื่นขอกู้กับธนาคารคือ790,000 บาท ทางหมอทวงเราว่า ถ้ากู้ยอดเยอะ ตอนยื่นภาษีหมอก็เสียเยอะนะซิ
ซึ่งตรงนี้เราพลาดมาก ที่ไม่ได้ทำเอกสารสัญญาราคาซื้อขายจริง420,000 บาทไว้ด้วย
วันที่ 16 กรกฎาคม 2561 ทางเจ้าหน้าที่ธนาคารโทรมาแจ้งยอด ยอดที่ธนาคารอนุมัติได้ 605,000 บาท เราแจ้งธนาคารไปว่าซื้อขายจริง420,000 บาท แต่ธนาคารไม่สามารถออกเช็คเป็น2ใบได้
วันที่ 17 กรกฎาคม 2561 เราไปเซ็นสัญญาที่ธนาคาร ทางธนาคารขอเอกสารใบรับรองการหมดหนี้จากธนาคารเดิมของคุณหมอ ซึ่งทางหมอส่งให้เราช่วงเย็นวันนั้น
และเราสอบถามเรื่องเอกสารที่ต้องเตรียมไปวันโอนและเรื่องเช็ค เค้าแจ้งว่าออกเป็นชื่อเรา ด้วยความที่เกรงใจทางคุณหมอเจ้าของห้อง เราเลยส่งอีเมลล์ไปบอกทางหมอเรื่องเอกสารและแจ้งว่าเช็คออกเป็นชื่อเรานะ และจะสามารถถอนเงินได้หลังจากเอาเช็คไปขึ้นประมาณ 1 วัน
ซึ่งทางคุณหมอไม่ยอม วันที่ 18 กรกฎาคม 2561 จึงได้โทรหาเราเพื่อคุยรายละเอียด และได้ขอเบอร์ติดต่อทางธนาคารเพื่อให้ออกเช็คเป็นชื่อของคุณหมอ สุดท้ายทางธนาคารยอมเปลี่ยนเช็คเป็นชื่อคุณหมอเจ้าของห้อง
วันที่ 24 กรกฎาคม 2561ไปกรมที่ดิน เพื่อนัดโอนห้อง ซึ่งที่เราจ่ายเงิน ณ กรมที่ดิน จะมีทั้งหมด 3 ยอดคือ
ยอดแรก จำนวน 120 บาท (ค่าคำขอ 20 กับค่าธรรมเนียม100 บาท)
ยอดที่สอง จำนวน 34,419 บาท (ค่าคำขอ 20 บาท+ค่าธรรมเนียมอปท. 13,758 บาท +ภาษีเงินได้ 17,196 บาท+อากรแสตมป์ 3,445
ยอดที่สาม จำนวน 6,120 บาท (ค่าคำขอ 20 บาท+ค่ามอบอำนาจ 50 +ค่าธรรมเนียมอปท. 6,050 บาท +ภาษีเงินได้ 17,196 บาท+อากรแสตมป์ 3,445
รวมทั้งสามยอดเป็นเงิน 40,779 บาท เราเลยยืมคุณหมอเจ้าของห้อง จำนวน 10,000 บาท
หลังจากทำเรื่องโอนที่กรมที่ดินเสร็จแล้ว หมอก็ให้เราถ่ายหน้าเช็คไว้และแยกย้ายกันกลับ เนื่องจากทางคุณหมอจะไปขึ้นเช็คเอง ช่วง 13.09 น.คุณหมอเจ้าของห้องส่งรูปถ่ายว่าส่งเคลียร์เช็คแล้ว ถ้าเงินเข้าจะแจ้งเราอีกที
วันที่ 26 กรกฎาคม 2561 คุณหมอเจ้าของห้องส่งข้อความมาบอกว่าเงินเข้าแล้ว ให้เราส่งเลขที่บัญชีไป
พร้อมแจ้งยอดส่วนต่างที่ต้องคืนเราคือ 601,139.57 บาท และหักเงินที่เรายืมวันโอนอีก 10,000 บาท เหลือสุทธิ 171,139.57 บาท
เราเลยส่งข้อความทักท้วงเรื่องภาษีเงินได้ยอด ภาษีเงินได้ 17,196 บาท นึกว่าคุณหมอจะออกเอง เนื่องจากใบเสร็จทางคุณหมอได้ขอเราไปตั้งแต่วันโอนที่กรมที่ดิน บอกจะเอาไปคำนวณภาษี (ทำให้เราเข้าใจไปเองว่าคุณหมอจะเอาใบเสร็จเพื่อไปขอคืนภาษีย้อนหลัง)
ทางหมอส่งมาอีกว่า “หมอไม่เคยขอคืนภาษีเลยตั้งแต่ทำงานมา ภาษีเป็นแสนยังไม่ขอคืน และราคา420000บาท เป็นราคาที่หมอต้องได้เน็ตๆ จะไม่เสียอะไรเพิ่มอีก เพราะอุส่าห์ลดให้ตั้งแยอะ และราคาก็ต่ำกว่าประเมินเยอะมาก ส่วนต่างที่ได้ไป ไม่มีที่ไหนยอดขายให้ได้ นอกจากหมอ เพราะหมอเชื่อว่า ถ้าเอาไปขายต่อต้องอยากได้ราคาสูงกว่านี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นภาษีที่หักไป ต้องเป็นภาระของผู้ซื้อ เพราะผู้ขายไม่คิดจะขอคืนอยู่แล้ว เข้าใจตรงกันนะครับ”
เราเลยส่งกลับไปว่า เอาที่คุณหมอสะดวกและรบกวนขอใบเสร็จคืน หากคุณหมอไม่ยื่นภาษี
ทางหมอยืนยันไม่คืนใบเสร็จ และแจ้งยืนยันยอดตามเดิม
ตอน 19.10 นิติบุคคลไลน์มาบอกเราว่าคุณหมอมาขนของและถอดแอร์ไป โดยไม่แจ้งเราเลย แต่กลับบอกกับทางนิติว่าเราไม่เอาแอร์
ซึ่งเรากับทางหมอไม่เคยคุยเรื่องนี้เลย เพิ่งรู้เรื่องเหมือนกัน แต่ก็เอาเถอะแอร์เก่ามากแล้ว เราก็คิดจะถอดทิ้งเหมือนกัน
วันที่ 29 กรกฎาคม 2561 เราส่งข้อความไปถามว่าขนของเสร็จหรือยัง ถ้าขนเสร็จให้ฝากกุญแจไว้ที่นิติ เพื่อเราจะได้เข้าไปซ่อมห้อง (คุณหมอยังล็อคห้องไว้ตลอดตั้งแต่วันที่ไปโอนห้อง) และแจ้งให้โอนเงินในวันพรุง่นี้ เนื่องจากทางคุณหมออ่านข้อความและเงียบไปตั้งแต่วันที่ 24 กค และเหมือนจะส่งข้อความไม่ได้
วันที่ 30 กรกฎาคม 2561 คุณหมอส่งข้อความกลับมาว่า “ขนยังไม่เสร็จ คนและรถอยู่ ตจว. ยังไม่กลับ ถ้าขนเสร็จจะแจ้ง และกรุณาไม่ต้องส่งข้อความใดๆมาอีก เพราะหมอทราบว่าต้องทำอะไร ยังไง เมื่อไหร่ เสร็จแล้วเดี๋ยวโทรไปแจ้ง”
วันที่ 31 กรกฎาคม 2561 ทางนิติไลน์มาบอกเราว่าหมอไม่ได้ล็อคประตูแล้ว แต่ไม่รู้ว่าขนของหมดหรือยัง โดยที่เงินก็ยังไม่โอนมาให้ ทางนิติบุคคลแนะนำให้แจ้งความไว้ก่อน และให้ทวงเรื่อยๆ
จนวันนี้วันที่ 9 สิงหาคม 2561 ทางคุณหมอก็ยังเงียบ โดยที่เราไม่ทราบเลยว่าขนของเสร็จหรือยัง และที่สำคัญเงินส่วนต่างก็ยังไม่โอนเงินมาคืนเราเลย
ปรึกษาหลายคนก็บอกให้ทวงจนกว่าจะได้ บางคนบอกให้ประจานเลย แต่เราคิดว่ามันไม่คุ้มหรอก
ส่วนตัวคิดว่าเค้าเป็นถึงหมอ วุฒิภาวะน่าจะพอมี เงินเดือนก็หลายแสน ไม่น่าจะมีนิสัยโกงเด็กนะคะ
อยากทราบว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง แจ้งความ หรือฟ้องได้ไหม หรือต้องรอแบบนี้ต่อไปค่ะ
สอบถามคนรู้กฎหมาย ซื้อคอนโดมือสอง แต่เจ้าของเดิมไม่โอนเงินส่วนต่างให้
วันที่ 18 มกราคม 2561 เราได้ไปดูคอนโดย่านคลองหลวง ปทุมธานี นิติบุคคลแจ้งราคาตอนนั้น 550,000 บาท
หลังจากนั้นเราพยายามติดต่อเจ้าของคอนโดเพื่อต่อรองราคา แต่ไม่สามารถติดต่อได้ ทางนิติแนะนำให้เราโทรไปที่รพ.นวนคร เนื่องจากเจ้าของคอนโดเราเป็นหมอเด็ก อยู่ที่นั่น ด้วยความที่อยากได้ห้องมากเราก็โทรไป แต่ก็ผิดหวังเพราะเจ้าหน้าที่แจ้งว่าไม่มีชื่อคุณหมอตามที่เราสอบถามไป
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561 ทางนิติไลน์มาแจ้งว่าเจ้าของห้องเข้ามา และให้เบอร์เรามา
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 พี่สาวเราได้โทรต่อรองราคากับเจ้าของห้อง เนื่องจากทางเราไม่ต้องการเฟอร์นิเจอร์และขอลดเนื่องจากฝ้าห้องน้ำพัง และมีที่ต้องซ่อมอีกหลายจุด ทางเจ้าใจดีของลดราคาให้เรา 450,000 บาท พี่สาวเราก็ขอต่ออีกด้วยเหตุผลที่ว่าต้องซ่อมฝ้าห้องน้ำ สรุปราคาที่ซื้อขายที่ 420,000 บาท โดยที่ทางหมอให้เราออกค่าโอนทั้งหมด (ซึ่งปกติคอนโดมือสองจะออกกันคนละครึ่ง)
หลังจากตกลงราคาได้แล้ว เราก็ขอเอกสารกับทางคุณหมอเจ้าของห้องเพื่อไปยื่นแบงค์ โดยทุกครั้งหมอจะเป็นฝ่ายนัดเราไปรับเอกสารที่รพ.ศิริราช เอง (คุณหมอย้ายมาอยู่ศิริราชแล้วค่ะ)
เนื่องจากเราทราบมาว่าธนาคารปล่อยแค่ 70-80%ของยอดที่เรายื่นกู้ เราเลยแจ้งคุณหมอว่าเราขอยื่นยอดสูงกว่ายอดจริงในสัญญาระบุยอดที่ใช้ยื่นขอกู้กับธนาคารคือ790,000 บาท ทางหมอทวงเราว่า ถ้ากู้ยอดเยอะ ตอนยื่นภาษีหมอก็เสียเยอะนะซิ
ซึ่งตรงนี้เราพลาดมาก ที่ไม่ได้ทำเอกสารสัญญาราคาซื้อขายจริง420,000 บาทไว้ด้วย
วันที่ 16 กรกฎาคม 2561 ทางเจ้าหน้าที่ธนาคารโทรมาแจ้งยอด ยอดที่ธนาคารอนุมัติได้ 605,000 บาท เราแจ้งธนาคารไปว่าซื้อขายจริง420,000 บาท แต่ธนาคารไม่สามารถออกเช็คเป็น2ใบได้
วันที่ 17 กรกฎาคม 2561 เราไปเซ็นสัญญาที่ธนาคาร ทางธนาคารขอเอกสารใบรับรองการหมดหนี้จากธนาคารเดิมของคุณหมอ ซึ่งทางหมอส่งให้เราช่วงเย็นวันนั้น
และเราสอบถามเรื่องเอกสารที่ต้องเตรียมไปวันโอนและเรื่องเช็ค เค้าแจ้งว่าออกเป็นชื่อเรา ด้วยความที่เกรงใจทางคุณหมอเจ้าของห้อง เราเลยส่งอีเมลล์ไปบอกทางหมอเรื่องเอกสารและแจ้งว่าเช็คออกเป็นชื่อเรานะ และจะสามารถถอนเงินได้หลังจากเอาเช็คไปขึ้นประมาณ 1 วัน
ซึ่งทางคุณหมอไม่ยอม วันที่ 18 กรกฎาคม 2561 จึงได้โทรหาเราเพื่อคุยรายละเอียด และได้ขอเบอร์ติดต่อทางธนาคารเพื่อให้ออกเช็คเป็นชื่อของคุณหมอ สุดท้ายทางธนาคารยอมเปลี่ยนเช็คเป็นชื่อคุณหมอเจ้าของห้อง
วันที่ 24 กรกฎาคม 2561ไปกรมที่ดิน เพื่อนัดโอนห้อง ซึ่งที่เราจ่ายเงิน ณ กรมที่ดิน จะมีทั้งหมด 3 ยอดคือ
ยอดแรก จำนวน 120 บาท (ค่าคำขอ 20 กับค่าธรรมเนียม100 บาท)
ยอดที่สอง จำนวน 34,419 บาท (ค่าคำขอ 20 บาท+ค่าธรรมเนียมอปท. 13,758 บาท +ภาษีเงินได้ 17,196 บาท+อากรแสตมป์ 3,445
ยอดที่สาม จำนวน 6,120 บาท (ค่าคำขอ 20 บาท+ค่ามอบอำนาจ 50 +ค่าธรรมเนียมอปท. 6,050 บาท +ภาษีเงินได้ 17,196 บาท+อากรแสตมป์ 3,445
รวมทั้งสามยอดเป็นเงิน 40,779 บาท เราเลยยืมคุณหมอเจ้าของห้อง จำนวน 10,000 บาท
หลังจากทำเรื่องโอนที่กรมที่ดินเสร็จแล้ว หมอก็ให้เราถ่ายหน้าเช็คไว้และแยกย้ายกันกลับ เนื่องจากทางคุณหมอจะไปขึ้นเช็คเอง ช่วง 13.09 น.คุณหมอเจ้าของห้องส่งรูปถ่ายว่าส่งเคลียร์เช็คแล้ว ถ้าเงินเข้าจะแจ้งเราอีกที
วันที่ 26 กรกฎาคม 2561 คุณหมอเจ้าของห้องส่งข้อความมาบอกว่าเงินเข้าแล้ว ให้เราส่งเลขที่บัญชีไป
พร้อมแจ้งยอดส่วนต่างที่ต้องคืนเราคือ 601,139.57 บาท และหักเงินที่เรายืมวันโอนอีก 10,000 บาท เหลือสุทธิ 171,139.57 บาท
เราเลยส่งข้อความทักท้วงเรื่องภาษีเงินได้ยอด ภาษีเงินได้ 17,196 บาท นึกว่าคุณหมอจะออกเอง เนื่องจากใบเสร็จทางคุณหมอได้ขอเราไปตั้งแต่วันโอนที่กรมที่ดิน บอกจะเอาไปคำนวณภาษี (ทำให้เราเข้าใจไปเองว่าคุณหมอจะเอาใบเสร็จเพื่อไปขอคืนภาษีย้อนหลัง)
ทางหมอส่งมาอีกว่า “หมอไม่เคยขอคืนภาษีเลยตั้งแต่ทำงานมา ภาษีเป็นแสนยังไม่ขอคืน และราคา420000บาท เป็นราคาที่หมอต้องได้เน็ตๆ จะไม่เสียอะไรเพิ่มอีก เพราะอุส่าห์ลดให้ตั้งแยอะ และราคาก็ต่ำกว่าประเมินเยอะมาก ส่วนต่างที่ได้ไป ไม่มีที่ไหนยอดขายให้ได้ นอกจากหมอ เพราะหมอเชื่อว่า ถ้าเอาไปขายต่อต้องอยากได้ราคาสูงกว่านี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นภาษีที่หักไป ต้องเป็นภาระของผู้ซื้อ เพราะผู้ขายไม่คิดจะขอคืนอยู่แล้ว เข้าใจตรงกันนะครับ”
เราเลยส่งกลับไปว่า เอาที่คุณหมอสะดวกและรบกวนขอใบเสร็จคืน หากคุณหมอไม่ยื่นภาษี
ทางหมอยืนยันไม่คืนใบเสร็จ และแจ้งยืนยันยอดตามเดิม
ตอน 19.10 นิติบุคคลไลน์มาบอกเราว่าคุณหมอมาขนของและถอดแอร์ไป โดยไม่แจ้งเราเลย แต่กลับบอกกับทางนิติว่าเราไม่เอาแอร์
ซึ่งเรากับทางหมอไม่เคยคุยเรื่องนี้เลย เพิ่งรู้เรื่องเหมือนกัน แต่ก็เอาเถอะแอร์เก่ามากแล้ว เราก็คิดจะถอดทิ้งเหมือนกัน
วันที่ 29 กรกฎาคม 2561 เราส่งข้อความไปถามว่าขนของเสร็จหรือยัง ถ้าขนเสร็จให้ฝากกุญแจไว้ที่นิติ เพื่อเราจะได้เข้าไปซ่อมห้อง (คุณหมอยังล็อคห้องไว้ตลอดตั้งแต่วันที่ไปโอนห้อง) และแจ้งให้โอนเงินในวันพรุง่นี้ เนื่องจากทางคุณหมออ่านข้อความและเงียบไปตั้งแต่วันที่ 24 กค และเหมือนจะส่งข้อความไม่ได้
วันที่ 30 กรกฎาคม 2561 คุณหมอส่งข้อความกลับมาว่า “ขนยังไม่เสร็จ คนและรถอยู่ ตจว. ยังไม่กลับ ถ้าขนเสร็จจะแจ้ง และกรุณาไม่ต้องส่งข้อความใดๆมาอีก เพราะหมอทราบว่าต้องทำอะไร ยังไง เมื่อไหร่ เสร็จแล้วเดี๋ยวโทรไปแจ้ง”
วันที่ 31 กรกฎาคม 2561 ทางนิติไลน์มาบอกเราว่าหมอไม่ได้ล็อคประตูแล้ว แต่ไม่รู้ว่าขนของหมดหรือยัง โดยที่เงินก็ยังไม่โอนมาให้ ทางนิติบุคคลแนะนำให้แจ้งความไว้ก่อน และให้ทวงเรื่อยๆ
จนวันนี้วันที่ 9 สิงหาคม 2561 ทางคุณหมอก็ยังเงียบ โดยที่เราไม่ทราบเลยว่าขนของเสร็จหรือยัง และที่สำคัญเงินส่วนต่างก็ยังไม่โอนเงินมาคืนเราเลย
ปรึกษาหลายคนก็บอกให้ทวงจนกว่าจะได้ บางคนบอกให้ประจานเลย แต่เราคิดว่ามันไม่คุ้มหรอก
ส่วนตัวคิดว่าเค้าเป็นถึงหมอ วุฒิภาวะน่าจะพอมี เงินเดือนก็หลายแสน ไม่น่าจะมีนิสัยโกงเด็กนะคะ
อยากทราบว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง แจ้งความ หรือฟ้องได้ไหม หรือต้องรอแบบนี้ต่อไปค่ะ