ย้อนรอยโครงการจำนำข้าว: สะเทือนสถานะผู้นำตลาดโลกของไทย

ผลการตัดสินคดีจำนำข้าวที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีถูกสั่งจำคุก 5 ปีโดยไม่รอลงอาญา สะท้อนให้เห็นด้วยว่าเรื่องข้าวของไทยไม่เพียงแต่เป็นสินค้าเศรษฐกิจที่สำคัญ ยังสามารถกำหนดความเป็นความตายของนักการเมืองผู้ดำเนินนโยบายนี้ได้อีกด้วย

นโยบายเรื่องข้าวถูกใช้มาทุกยุคทุกสมัยทั้งในด้านหาการเสียงสนับสนุนสำหรับผู้เป็นรัฐบาล และเป็นเครื่องมือโค่นฝ่ายตรงข้ามให้หมดหนทางการเมืองไปก็หลายครั้ง นอกจากนี้ก็ยังมีความจริงอีกด้านหนึ่งก็คือ ในฐานะผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก นโยบายข้าวของรัฐบาลไทยไม่ได้ส่งผลสะเทือนแค่ทางเศรษฐกิจการเมืองในประเทศ หากแต่ส่งผลต่อตลาดข้าวโลกอย่างลึกซึ้งด้วย

เริ่มโครงการจำนำข้าวเจ้าปัญหา

วันที่ 23 สิงหาคม 2554 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายรัฐมนตรีขณะนั้นแถลงต่อสภาว่านโยบายจำนำข้าวเป็นหนึ่งใน 16 นโยบายเร่งด่วนที่พรรคเพื่อไทยให้สัญญาไว้กับประชาชนเมื่อตอนหาเสียงเลือกตั้ง และโครงการจำนำข้าวก็ได้เริ่มนับหนึ่งและเริ่มซ้ำใหม่ในช่วงฤดูขายข้าวของทุกปีในขณะที่เธอเป็นรัฐบาล

แม้โครงการรับจำนำข้าว หรือประกันราคาข้าว เป็นกลไกลการเมืองที่รัฐไทยใช้มากว่า 30 ปี แต่นโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์แตกต่างออกไป เพราะ "รับจำนำข้าวทุกเมล็ด - ไม่มีโควต้า" ยังการันตี "ตันละ 15,000 บาท" ซึ่งสูงกว่าราคาตลาดถึง 50%

เมื่อทำโครงการครั้งสุดท้ายในปี 2557 รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ก็ใช้เงินไปราว 8.84 แสนล้านบาท ก่อทั้งเสียงชื่นชมจากชาวนาผู้ที่ได้รับประโยชน์ ที่ทำให้พวกเขาได้เม็ดเงินเต็มเม็ดเต็มหน่วยจากที่ไม่เคยมีมาก่อน และเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ที่ต่อต้านว่าโครงการนี้ก่อให้เกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างโจ๋งครึ่ม รวมทั้งทำให้การขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลถ่างกว้างออกไปด้วย

ไทยตกจากผู้ส่งข้าวออกข้าวอันดับหนึ่งของโลก

รอยเตอร์รายงานว่าผลของโครงการนี้ทำให้ราคาข้าวของไทยสูงกว่าคู่แข่งในตลาดโลกมาก ส่งผลให้ครึ่งแรกของปี 2555 ไทยส่งข้าวออกไปได้เพียง 3.45 ล้านตันลดลงจากเมื่อก่อนหน้าเกือบครึ่งหนึ่ง และในปีนั้นไทยก็เสียอันดับผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลก โดยมีคู่แข่งคืออินเดียและเวียดนามแซงหน้าไป

ในอีกด้านหนึ่งนโยบายนี้ก็ยังประโยชน์ให้กับเวียดนาม, อินเดีย และประเทศอื่นๆ ที่เป็นผู้ขายข้าวด้วย เพราะพวกเขาสามารถเสนอขายข้าวในราคาที่สูงขึ้น แต่รักษาระดับไว้ให้ถูกกว่าราคาของไทย ผลก็คือดึงให้ราคาข้าวในตลาดโลกสูงขึ้นอยู่ระยะหนึ่ง

ขณะเดียวกันนโยบายนี้ก็กระตุ้นให้ชาวนาในประเทศปลูกข้าวเพิ่มมากขึ้น นักวิเคราะห์จากสมาคมผู้ส่งออกข้าวของไทยกล่าวว่า การเสนอราคาสูงเช่นนี้ส่งผลทำให้เกิดอุปสงค์เทียมขึ้นในประเทศ เพราะการซื้อของรัฐบาลก็คือการดึงเอาปริมาณข้าวส่วนหนึ่งออกจากตลาด ทำให้คนที่ต้องการก็ต้องเสนอซื้อราคาสูงขึ้น ผลก็คือกระตุ้นให้คนหันมาปลูกข้าวเพิ่มขึ้นอย่างมากเกินกว่าความต้องการบริโภคและความสามารถการส่งออก

ราคาข้าวในตลาดโลกเริ่มตกลง

เป้าหมายนโยบายของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ก็คือ ซื้อข้าวเข้าไปเก็บไว้ตอนฤดูเก็บเกี่ยว หลังจากนั้นก็จะระบายข้าวออกมา แต่สถานการณ์ทำให้ไม่สามารถระบายข้าวออกมาได้ ทำให้จำนวนข้าวในสต็อกของรัฐบาลก็เริ่มสะสมมากขึ้นจนกลายเป็นสูงถึง 18 ล้านตันเมื่อสิ้นโครงการของปี 2557

"ทั่วโลกก็รู้ว่าไทยมีข้าวเก็บไว้เท่ากับจำนวนที่ปกติไทยส่งออกถึงสองปี ดังนั้นทุกประเทศที่มีความต้องการซื้อข้าวเข้าประเทศก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเร่งรีบนำข้าวเข้าประเทศ เพราะรู้ว่าไม่นานราคาข้าวก็จะต้องถูกกว่านี้เพราะรัฐบาลไทยต้องระบายข้าวออกมาแน่นอน" นักวิเคราะห์จากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยกล่าว

ผลพวงจากข้าวจำนวนมหาศาลที่รอการระบายของไทย ทำให้ทั่วโลกมองเห็นว่ามีอุปทานรอผู้ซื้ออยู่ อีกทั้งอินเดียก็เริ่มการเพาะปลูกได้ดีขึ้น กลายเป็นแรงกดดันต่อราคาข้าว ผู้ซื้อสามารถต่อรองราคาได้มากกว่าเดิม ก็ยิ่งกดให้ราคาข้าวในตลาดโลกตกต่ำลง

จากการเก็บข้อมูลของสมาคมผู้ส่งออกข้าว ราคาข้าวขาว 5% ซึ่งใช้เป็นราคามาตรฐาน ในปี 2554 ราคาขายเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 549.40 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน แต่เมื่อผ่านไปราคาก็เริ่มตกลง เมื่อถึงปี 2557 อันเป็นปีสุดท้ายของการจำนำข้าว ราคาเฉลี่ยทั้งปีลงมาอยู่ที่ 422.83 และเมื่อข้าวในสต็อกรัฐบาลสูงกว่า 18 ล้านตันในปี 2558 ราคาลงมาอยู่ที่ 385.91 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และปี 2559 นั้นอยู่ที่ 394.81 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน

อ่านเพิ่มที่ https://www.bbc.com/thai/thailand-41410157

เห็นแล้วเจ็บใจแทนคนไทยที่ปล่อยให้สูญเสียเงินชาติไปมหาศาลแต่ตัวต้นเหตุยังยิ้มแป้นอยู่ได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่