สวัสดีค่ะ เราอายุปีนี้ก็ 22 ปี เรียนอยู่ระดับมหาวิทยาลัย
เราเกิดที่ภาคอีสานเพราะแม่เป็นคนที่นั้น แต่ต้องอยู่กับยาย พ่อแม่ทำงานในกรุงเทพ เรียนอยู่ที่นั้นได้แค่ 4 ขวบ ก็ต้องย้ายมาอยู่บ้านย่าที่ภาคกลาง
.ในขณะที่เรียนอยู่อนุบาลเราโดนเพื่อนแกล้งทุกวัน เพื่อนในห้องเรียนไม่มีใครชอบเราเลย (เราเป็นเด็กขี้โรคค่ะ ต้องไปฉีดยาทุกอาทิตย์) แม้แต่ครูก็ยังไม่ชอบเรา เราเรียกครูครูไม่เคยสนใจเราเลย อายุ 4 ขวบ จำได้แต่เรื่องที่ไม่มีความสุข
..พอย้ายมาอยู่บ้านย่า ก็ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ได้อยู่กับญาติฝ่ายพ่อ ซึ่งเราไม่สนิท อยู่บ้านย่า ถึงอายุ 12 ไม่รู้สึกว่าสนิทกับใครเลย อยู่บ้านย่าก็โดนลูกของน้าลูกของป้าแกล้ง เราทำอะไรเค้าไม่ได้เลย เพราะถ้าเราทำกลับสิ่งที่ได้รับคือสองเท่าที่เราทำ แถมพ่อแม่เขาก็จะมาด่าเราว่าเราทำลูกเขา อยู่มา 7 ปี ไม่เคยมีความสุขเลย พ่อแม่มาหาก็ 2 อาทิตย์ครั้ง เรื่องที่เกิดกับเราไม่สามารถเล่าให้พ่อแม่ฟังได้ ในเวลา 7 ปีที่อยู่สิ่งเลวร้ายที่สุดของชีวิต คือถูกลวนลามจากลูกชายของป้า ครั้งแรกเราค่อยข้างตกใจ แต่เราก็ปัดป้องเลี่ยงสถานการที่ต้องอยู่ด้วยกันสองคน เขาค่อยจ้องมองเราตลอดเวลา ทำให้เราไม่กล้าที่จะอยู่คนเดียว นั่งร้องไห้ก็ต้องแอบ บอกใครก็ไม่ได้ พ่อแม่ก็บอกไม่ได้ เรามีน้องคำพูดของญาติทำให้เราเกลียดน้องเราได้ เพราะป้าเป็นคนเลี้ยงน้องเรา น้องเราเลยสนิทกับคนที่นั้น เวลาน้องร้องไห้เราจะร้องตาม น้องโดนแกล้งนั่งร้องไห้กันสองคนพี่น้อง เราเหมือนไม่มีที่พึ่ง ที่บ้านยังขนาดนี้ที่โรงเรียนก็เช่นกัน เราเป็นฝ่ายโดนแกล้งเสมอ เป็นคนที่ไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไหร่ เรียนไม่เก่ง ไม่ค่อยมีบทบาทในห้องเรียนความสุขที่จดจำได้คือบนรถรับส่งนักเรียน เราสนิทกับคนบนรถรับส่งเป็นเด็กโรงเรียนอื่นเล่นกันทุกวัน ตีกันบ้าง เราอยู่หมู่บ้านเดียวกันตอนเย็นเลยไปเบ่นด้วยกันทุกเย็น นั่นแหล่ะคือความสุขของเราที่อยู่บ้านย่า พอจบป.6ก็ขอร้องพ่อแม่ว่าขอไปอยู่ด้วยพ่อบอกมันแคบเราตอบทันทีคือไม่เป็นอะไร ขอแค่ไม่อยู่ที่บ้านนั้นก็พอ รึไม่ก็ส่งเรากลับไปภาคอีสานเลย ตอนนั้นคือถ้าพ่อแม่ให้เรียนต่อที่นั่นคือจบแล้วชีวิต แต่ในความสิ้นหวังก็มีความหวังเสมอ เมื่ออาทิตย์ถัดมาพ่อบอกให้เก็นเสื้อผ้าทั้งหมด ไม่พูดพล่ามทำเพ รีบวิ่งเข้าห้องตัวเองเก็บทุกอย่างแบบเร็วที่สุด ไม่ถึงชั่วโมงเราเก็บผ้าเสร็จเรียบร้อย ออกจากบ้านหลังนั้นอยู่มานานก็จริงแต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาซักนิด มีต้องรอยยิ้มปนน้ำแห่งความรู้สึกโล้งใจ พอย้ายมาอยู่ก็คือเราไม่สนิทกับพ่อแม่เลยนี้คือความจริง เราไม่เคยแม้แต่นอนด้วยกัน ยิ่งกินข้าวด้วยกันทุกวันยิ่งไม่ชิน เห็นแม่ในมุมที่ไม่เคยเห็นเห็นพ่อในมุมที่ไม่เคยเห็น อายุ 13 พึ่งมาอยู่กับพ่อแม่เลยไม่ชิน เราชินกับการเก็บตัวอยู่ในห้อง แม่ก็เป็นห่วงพี่ที่เป็นลูกของป้าฝ่ายแม่โทรมา คุยกับเค้าเราร้องไห้ตลอด มาอยู่กับพ่อแม่ ทะเลาะกับแม่แทบทุกวัน แต่เราไม่คิดที่อยากจะกลับไป บ้างครั้งจุกมาก บางคำที่แม่พูด เราอยากจะตะโกนไปว่ารู้ไหม 7 ปีที่ผ่านมาเราเจอกับอะไรบ้าง เราเจอสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเจอ สิ่งที่พ่อแม่ไม่รู้คือที่เลวร้ายที่สุด
...พอมาอยู่กรุงเทพ สังคมเราก็เปลี่ยนไป สังคมคนเมือง เพื่อนก็เปลี่ยน สังคมก็ใหม่หมด เราต้องปรับตัว เงินคือสิ่งสำคัญ ปัจจัยใหญ่คือเงิน เพื่อนก็เงินหนาเพราะเราเรียนเอกชนอวดรวยเป็นเรื่องธรรมดา เราก็ไม่ได้อวดอะไรมากมาย แค่มีก็บอกมีไม่มีก็บอกไม่มี เราเคยคิดลบกับโรงเรียนมาตลอด เพราะเราพบเจอแต่แบบนั้นช่วงม.ต้นสนุกในระดับนึง แต่พออยู่ม.ปลายมันความสุขจริงๆสนุกมากแบบสนิทกับเพื่อนทั้งห้อง แล้วความสุขก็ผ่านไปเร็วเสมอ เข้ามหาลัย สังคมผู้ใหญ่มากขึ้น ช่วงปี1-2 เราเฮฮาปาตี้กินเหล้ามีความสุขมากพอเข้าปี3เราก็เริ่มเบื่อ เจอเพื่อนด่าแซะถากถาง จนอยากจะหันไปด่ามันแต่ก็ได้แต่คิด เราเก็บเอาคำพวกนั้นมาคิด ทุกคำ ที่ได้ยินมาเราก็เก็บมาคิด เริ่มปลีกวิเวก เริ่มไม่อยากไปไหนมาไหน เหล้าที่ชอบก็ไม่อยาก อาหารที่เคยชอบก็ไม่ค่อยกินวันวันกินข้าววันละมื้อ ชอบดูหนังในโรงเพื่อนชวนก็ไม่อยากไป พอเริ่มออกห่างจากสิ่งเหล่านั่น ทำให้เราไม่ไว้ใจใคร เชื่อใจใครไม่ได้ การเข้าสังคมของเราคือติดลบ เสียใจแต่ร้องไห้ไม่ออก อยากตะโกนออกไปดังๆแต่ทำไม่ได้ อยากกรี๊ดให้สุดเสียงแต่รอบข้างไม่อำนวย เราดูเป็นคนไร้ค่าในสายตาคนอื่น ดูเป็นคนที่ทำอะไรไม่เป็นทั้งที่เราทำได้ พอเราไม่เที่ยวเพื่อนเที่ยวเราก็หายไป เหลือเราแค่ตัวคนเดียว
สิ่งที่เรียกว่าบ้าน ไม่ใช่ มีเสามีหลังคา แต่คือมีพ่อหรือมีแม่ ที่นั่นแหล่ะเรียกว่าบ้าน
ที่เอามาเล่าให้ฟังคือ การที่พ่อแม่ว่าดี อยู่บ้านนี้ล่ะดีบ้านที่ไม่มีพ่อแม่อยู่ด้วย คุณจะไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับลูกคุณบ้าง ต้นเหตุของพฤติกรรมนี้มาจากอะไร คำว่าสันดาน คุณต้องย้อนไปดูว่าเกิดอะไรกับเขามาบ้าง
ฝากถึง พ่อแม่ที่กำลังจะมีน้อง ถ้าคุณยังไม่มีเวลาดูแลเค้าอย่าพึ่งมี ยังไม่มีแม้แต่วันหยุดในเสาร์หรืออาทิตย์ คุณควรหยุดคิดว่าจะมีลูก
บางอย่างมันพูดไม่ได้
เราไม่ใช่แม่คน แต่เรามาพูดในด้านของลูกที่ไม่ได้สนิทกับพ่อแม่ เราเติบโตมาด้วยคนรอบข้างแย่ๆ แต่เราก็โตมาได้ คิดได้ว่าดีหรือแย่ พึ่งตัวเองได้
สิ่งรอบข้างที่เลวร้าย
เราเกิดที่ภาคอีสานเพราะแม่เป็นคนที่นั้น แต่ต้องอยู่กับยาย พ่อแม่ทำงานในกรุงเทพ เรียนอยู่ที่นั้นได้แค่ 4 ขวบ ก็ต้องย้ายมาอยู่บ้านย่าที่ภาคกลาง
.ในขณะที่เรียนอยู่อนุบาลเราโดนเพื่อนแกล้งทุกวัน เพื่อนในห้องเรียนไม่มีใครชอบเราเลย (เราเป็นเด็กขี้โรคค่ะ ต้องไปฉีดยาทุกอาทิตย์) แม้แต่ครูก็ยังไม่ชอบเรา เราเรียกครูครูไม่เคยสนใจเราเลย อายุ 4 ขวบ จำได้แต่เรื่องที่ไม่มีความสุข
..พอย้ายมาอยู่บ้านย่า ก็ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ได้อยู่กับญาติฝ่ายพ่อ ซึ่งเราไม่สนิท อยู่บ้านย่า ถึงอายุ 12 ไม่รู้สึกว่าสนิทกับใครเลย อยู่บ้านย่าก็โดนลูกของน้าลูกของป้าแกล้ง เราทำอะไรเค้าไม่ได้เลย เพราะถ้าเราทำกลับสิ่งที่ได้รับคือสองเท่าที่เราทำ แถมพ่อแม่เขาก็จะมาด่าเราว่าเราทำลูกเขา อยู่มา 7 ปี ไม่เคยมีความสุขเลย พ่อแม่มาหาก็ 2 อาทิตย์ครั้ง เรื่องที่เกิดกับเราไม่สามารถเล่าให้พ่อแม่ฟังได้ ในเวลา 7 ปีที่อยู่สิ่งเลวร้ายที่สุดของชีวิต คือถูกลวนลามจากลูกชายของป้า ครั้งแรกเราค่อยข้างตกใจ แต่เราก็ปัดป้องเลี่ยงสถานการที่ต้องอยู่ด้วยกันสองคน เขาค่อยจ้องมองเราตลอดเวลา ทำให้เราไม่กล้าที่จะอยู่คนเดียว นั่งร้องไห้ก็ต้องแอบ บอกใครก็ไม่ได้ พ่อแม่ก็บอกไม่ได้ เรามีน้องคำพูดของญาติทำให้เราเกลียดน้องเราได้ เพราะป้าเป็นคนเลี้ยงน้องเรา น้องเราเลยสนิทกับคนที่นั้น เวลาน้องร้องไห้เราจะร้องตาม น้องโดนแกล้งนั่งร้องไห้กันสองคนพี่น้อง เราเหมือนไม่มีที่พึ่ง ที่บ้านยังขนาดนี้ที่โรงเรียนก็เช่นกัน เราเป็นฝ่ายโดนแกล้งเสมอ เป็นคนที่ไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไหร่ เรียนไม่เก่ง ไม่ค่อยมีบทบาทในห้องเรียนความสุขที่จดจำได้คือบนรถรับส่งนักเรียน เราสนิทกับคนบนรถรับส่งเป็นเด็กโรงเรียนอื่นเล่นกันทุกวัน ตีกันบ้าง เราอยู่หมู่บ้านเดียวกันตอนเย็นเลยไปเบ่นด้วยกันทุกเย็น นั่นแหล่ะคือความสุขของเราที่อยู่บ้านย่า พอจบป.6ก็ขอร้องพ่อแม่ว่าขอไปอยู่ด้วยพ่อบอกมันแคบเราตอบทันทีคือไม่เป็นอะไร ขอแค่ไม่อยู่ที่บ้านนั้นก็พอ รึไม่ก็ส่งเรากลับไปภาคอีสานเลย ตอนนั้นคือถ้าพ่อแม่ให้เรียนต่อที่นั่นคือจบแล้วชีวิต แต่ในความสิ้นหวังก็มีความหวังเสมอ เมื่ออาทิตย์ถัดมาพ่อบอกให้เก็นเสื้อผ้าทั้งหมด ไม่พูดพล่ามทำเพ รีบวิ่งเข้าห้องตัวเองเก็บทุกอย่างแบบเร็วที่สุด ไม่ถึงชั่วโมงเราเก็บผ้าเสร็จเรียบร้อย ออกจากบ้านหลังนั้นอยู่มานานก็จริงแต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาซักนิด มีต้องรอยยิ้มปนน้ำแห่งความรู้สึกโล้งใจ พอย้ายมาอยู่ก็คือเราไม่สนิทกับพ่อแม่เลยนี้คือความจริง เราไม่เคยแม้แต่นอนด้วยกัน ยิ่งกินข้าวด้วยกันทุกวันยิ่งไม่ชิน เห็นแม่ในมุมที่ไม่เคยเห็นเห็นพ่อในมุมที่ไม่เคยเห็น อายุ 13 พึ่งมาอยู่กับพ่อแม่เลยไม่ชิน เราชินกับการเก็บตัวอยู่ในห้อง แม่ก็เป็นห่วงพี่ที่เป็นลูกของป้าฝ่ายแม่โทรมา คุยกับเค้าเราร้องไห้ตลอด มาอยู่กับพ่อแม่ ทะเลาะกับแม่แทบทุกวัน แต่เราไม่คิดที่อยากจะกลับไป บ้างครั้งจุกมาก บางคำที่แม่พูด เราอยากจะตะโกนไปว่ารู้ไหม 7 ปีที่ผ่านมาเราเจอกับอะไรบ้าง เราเจอสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเจอ สิ่งที่พ่อแม่ไม่รู้คือที่เลวร้ายที่สุด
...พอมาอยู่กรุงเทพ สังคมเราก็เปลี่ยนไป สังคมคนเมือง เพื่อนก็เปลี่ยน สังคมก็ใหม่หมด เราต้องปรับตัว เงินคือสิ่งสำคัญ ปัจจัยใหญ่คือเงิน เพื่อนก็เงินหนาเพราะเราเรียนเอกชนอวดรวยเป็นเรื่องธรรมดา เราก็ไม่ได้อวดอะไรมากมาย แค่มีก็บอกมีไม่มีก็บอกไม่มี เราเคยคิดลบกับโรงเรียนมาตลอด เพราะเราพบเจอแต่แบบนั้นช่วงม.ต้นสนุกในระดับนึง แต่พออยู่ม.ปลายมันความสุขจริงๆสนุกมากแบบสนิทกับเพื่อนทั้งห้อง แล้วความสุขก็ผ่านไปเร็วเสมอ เข้ามหาลัย สังคมผู้ใหญ่มากขึ้น ช่วงปี1-2 เราเฮฮาปาตี้กินเหล้ามีความสุขมากพอเข้าปี3เราก็เริ่มเบื่อ เจอเพื่อนด่าแซะถากถาง จนอยากจะหันไปด่ามันแต่ก็ได้แต่คิด เราเก็บเอาคำพวกนั้นมาคิด ทุกคำ ที่ได้ยินมาเราก็เก็บมาคิด เริ่มปลีกวิเวก เริ่มไม่อยากไปไหนมาไหน เหล้าที่ชอบก็ไม่อยาก อาหารที่เคยชอบก็ไม่ค่อยกินวันวันกินข้าววันละมื้อ ชอบดูหนังในโรงเพื่อนชวนก็ไม่อยากไป พอเริ่มออกห่างจากสิ่งเหล่านั่น ทำให้เราไม่ไว้ใจใคร เชื่อใจใครไม่ได้ การเข้าสังคมของเราคือติดลบ เสียใจแต่ร้องไห้ไม่ออก อยากตะโกนออกไปดังๆแต่ทำไม่ได้ อยากกรี๊ดให้สุดเสียงแต่รอบข้างไม่อำนวย เราดูเป็นคนไร้ค่าในสายตาคนอื่น ดูเป็นคนที่ทำอะไรไม่เป็นทั้งที่เราทำได้ พอเราไม่เที่ยวเพื่อนเที่ยวเราก็หายไป เหลือเราแค่ตัวคนเดียว
สิ่งที่เรียกว่าบ้าน ไม่ใช่ มีเสามีหลังคา แต่คือมีพ่อหรือมีแม่ ที่นั่นแหล่ะเรียกว่าบ้าน
ที่เอามาเล่าให้ฟังคือ การที่พ่อแม่ว่าดี อยู่บ้านนี้ล่ะดีบ้านที่ไม่มีพ่อแม่อยู่ด้วย คุณจะไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับลูกคุณบ้าง ต้นเหตุของพฤติกรรมนี้มาจากอะไร คำว่าสันดาน คุณต้องย้อนไปดูว่าเกิดอะไรกับเขามาบ้าง
ฝากถึง พ่อแม่ที่กำลังจะมีน้อง ถ้าคุณยังไม่มีเวลาดูแลเค้าอย่าพึ่งมี ยังไม่มีแม้แต่วันหยุดในเสาร์หรืออาทิตย์ คุณควรหยุดคิดว่าจะมีลูก
บางอย่างมันพูดไม่ได้
เราไม่ใช่แม่คน แต่เรามาพูดในด้านของลูกที่ไม่ได้สนิทกับพ่อแม่ เราเติบโตมาด้วยคนรอบข้างแย่ๆ แต่เราก็โตมาได้ คิดได้ว่าดีหรือแย่ พึ่งตัวเองได้