สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ผมว่าแบรนด์เริ่มช่ำมากแล้ว เกิดจากการตลาดที่แย่อย่างเห็นได้ชัด จากแต่ก่อนมีmindset แบบที่ว่า "ของมันต้องมี" มีจำกัดมีความยากในการได้มาในระดับนึงทำให้มันดูมีมูลค่าออกของมาแต่ละทีตื่นเต้นกันหมด ตอนนี้ออกรั่วๆอัดมาในเดือนเดียวเพราะติดภาพอดีตที่ว่าออกอะไรมาคนซื้อหมดอยู่ดีตอนนี้สังเกตได้เลยคนเลือกเก็บแต่ที่ชอบเพราะของมันเยอะเกินไป ยิ่งรวมที่เป็นพรีเซอนเตอร์ด้วยทำให้มันของล้นตลาดมาก
mindset คนเลยเปลี่ยนเป็น "เก็บเฉพาะอย่างละกัน" เพราะมันเยอะเกินเดี๋ยวๆก็ออกอีก ซึ่งมันก็ยังขายได้อยู่หละ แต่ยอดต่อหัวต่อคนมันน้อยลงจากสั่งคนละเยอะๆกลายเป็นลดลง รอของใหม่ยิ่งเดือนนี้อัดออกของมาเยอะมากเกินไปจริงๆ
ส่วนตัวคิดว่า สินค้าต่างๆของbnk48 มูลค่ามันเริ่มลดลงไปมากความ exclusive หายไปอย่างเห็นได้ชัด ถามว่าจุดนี้สำคัญยังไงมันสำคัญมากนะครับแบรนด์บางแบรนด์เลือกที่จะผลิตอย่างจำกัดถึงออกมาจะขายได้ก็ตามเพราะต้องการรักษามูลค่าตัวเองบางแบรนด์ถึงกับทำลายสินค้าค้างสต็อกแทนที่จะนำมาลดราคาขาย เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ทั่วไปในการปกป้องมูลค่าของแบรนด์ตัวเอง
แก้ไขเพิ่มเติม ผ่านไปแปบเดี๋ยวดูคอมเม้นข้างล่างจะเห็นตัวอย่างได้ชัดเลยมีหลายเม้นและคงมีต่อว่า "เก็บเฉพาะอย่างก็ได้ " เป็นอย่างที่เขียนจริงๆ สำหรับหลายๆคนที่อาจจะคิดว่าก็ตอนนี้มันดังขายอะไรได้ขายหมด น้ำชึ้นให้รีบตัก ผมแนะนำเป็นความรู้นะครับว่าคุณต้องไปศึกษาหลายๆเคสบนโลกที่เช่น เคส airwalke มันมีเยอะครับที่ช่วงมีกระแสคนคิดกันแบบง่ายๆคิดว่าออกมาเยอะๆขายเยอะสิดี อันนี้ง่ายไปครับไม่งั้นไม่ต้องมีการเรียนเรื่อง business markting หรอกครับมันซับซ้อนกว่านั้นเยอะ
ต่อมาคนก็คงบอกว่า อฟชรู้อยู่แล้วละน่า ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา ผมบอกได้เลย ceo หรือ บริษัท ไม่ได้รู้ทุกอย่างหรอกครับเขาต้องการ feedback ลูกค้า ต้องการคนออกความเห็นตัวอย่าง ห้องชิไฮนิน อันนี้ดีมาก ทำให้ บ. รู้ว่าลูกค้าต้องการอะไรเราจะแก้ไขยังไงดีให้ลูกค้าช่วยออกความเห็น ไปพัฒนาให้ดีขึ้น
อยากเพิ่มเรื่องพ่อค้าคนกลางด้วย แฟนๆอยากกำจัดตรงนี้ออกแต่เอาจริงๆแล้วธุรกิจแนวนี้มันต้องมีคนกลุ่มนี้ด้วยถึงจะดีมันเป็นพื้นที่สีเทาๆที่ก็ถือว่าช่วยมูลค่าของแบรนด์และทำยอดขายในระดับหนึ่งและสร้างกระแสได้ดีด้วย ส่วนตัวผมว่าไปตัดเขาออกเลยไม่ค่อยดีเท่าไรแต่เราจำกัดควบคุมในส่วนนี้ได้หลายๆวิธีด้วยกัน
mindset คนเลยเปลี่ยนเป็น "เก็บเฉพาะอย่างละกัน" เพราะมันเยอะเกินเดี๋ยวๆก็ออกอีก ซึ่งมันก็ยังขายได้อยู่หละ แต่ยอดต่อหัวต่อคนมันน้อยลงจากสั่งคนละเยอะๆกลายเป็นลดลง รอของใหม่ยิ่งเดือนนี้อัดออกของมาเยอะมากเกินไปจริงๆ
ส่วนตัวคิดว่า สินค้าต่างๆของbnk48 มูลค่ามันเริ่มลดลงไปมากความ exclusive หายไปอย่างเห็นได้ชัด ถามว่าจุดนี้สำคัญยังไงมันสำคัญมากนะครับแบรนด์บางแบรนด์เลือกที่จะผลิตอย่างจำกัดถึงออกมาจะขายได้ก็ตามเพราะต้องการรักษามูลค่าตัวเองบางแบรนด์ถึงกับทำลายสินค้าค้างสต็อกแทนที่จะนำมาลดราคาขาย เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ทั่วไปในการปกป้องมูลค่าของแบรนด์ตัวเอง
แก้ไขเพิ่มเติม ผ่านไปแปบเดี๋ยวดูคอมเม้นข้างล่างจะเห็นตัวอย่างได้ชัดเลยมีหลายเม้นและคงมีต่อว่า "เก็บเฉพาะอย่างก็ได้ " เป็นอย่างที่เขียนจริงๆ สำหรับหลายๆคนที่อาจจะคิดว่าก็ตอนนี้มันดังขายอะไรได้ขายหมด น้ำชึ้นให้รีบตัก ผมแนะนำเป็นความรู้นะครับว่าคุณต้องไปศึกษาหลายๆเคสบนโลกที่เช่น เคส airwalke มันมีเยอะครับที่ช่วงมีกระแสคนคิดกันแบบง่ายๆคิดว่าออกมาเยอะๆขายเยอะสิดี อันนี้ง่ายไปครับไม่งั้นไม่ต้องมีการเรียนเรื่อง business markting หรอกครับมันซับซ้อนกว่านั้นเยอะ
ต่อมาคนก็คงบอกว่า อฟชรู้อยู่แล้วละน่า ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา ผมบอกได้เลย ceo หรือ บริษัท ไม่ได้รู้ทุกอย่างหรอกครับเขาต้องการ feedback ลูกค้า ต้องการคนออกความเห็นตัวอย่าง ห้องชิไฮนิน อันนี้ดีมาก ทำให้ บ. รู้ว่าลูกค้าต้องการอะไรเราจะแก้ไขยังไงดีให้ลูกค้าช่วยออกความเห็น ไปพัฒนาให้ดีขึ้น
อยากเพิ่มเรื่องพ่อค้าคนกลางด้วย แฟนๆอยากกำจัดตรงนี้ออกแต่เอาจริงๆแล้วธุรกิจแนวนี้มันต้องมีคนกลุ่มนี้ด้วยถึงจะดีมันเป็นพื้นที่สีเทาๆที่ก็ถือว่าช่วยมูลค่าของแบรนด์และทำยอดขายในระดับหนึ่งและสร้างกระแสได้ดีด้วย ส่วนตัวผมว่าไปตัดเขาออกเลยไม่ค่อยดีเท่าไรแต่เราจำกัดควบคุมในส่วนนี้ได้หลายๆวิธีด้วยกัน
ความคิดเห็นที่ 43
ค่อยๆอ่านแล้วคิดตามนะครับ สมัยก่อน ของออกมาน้อย กำลังซื้อโอตะยังมี มันทำให้สินค้า ถูกเพิ่มมูลค่าอย่างรวดเร็ว
หลักการ demand supply ง่ายๆ
วันนี้ ทุกคนออกมาโวยวายกันว่า หนูไม่มีเงินแล้ว ขายของแบบนี้ คิดดีแล้วเหรอ
มุมมองผม ผมมองว่า โมเดล ธุรกิจแบบนี้ ฝั่งญี่ปุ่นเจอมานานแล้ว แทนที่จะให้กำลังซื้อของ โอตะถูกนำไปใช้กับสิ้นค้าชิ้นเดิมๆ ที่เปลี่ยนมือบ่อยๆแล้วผลประโยชน์ไปอยู่กับพ่อค้าคนกลาง ที่ ลงทุน สตอคของไว้ แล้วเอามา+ กำไรหลายๆเท่า
บริษัท ปล่อยเองเลยไม่ดีกว่าหรือ
อย่าลืมว่า goods ส่วนใหญ่ของ BNK เป็น preorder นั่นหมายถึงว่า บริษัทแบกรับความเสียงเรื่องการลงทุนน้อยมาก
อีกทั้งการเพิ่มระยะเวลา การpre ออกไปก็ยิ่งเป็นผลดีกับบริษัทออกไปอีก
ที่บอกว่า mindset ถูกเปลี่ยน อันนี้เห็นด้วย แต่แล้วยังไง ของมันต้องมี แต่เม็ดเงินวิ่งเข้าพ่อค้าคนกลาง
กับ มีเท่าที่ชอบ แต่เม็ดเงินวิ่งเข้า บริษัทตรงๆ
มูลค่าของตัวสินค้าที่ตกไป มันไม่ได้มีผลอะไร ก็เม็ดเงินที่วิ่งเข้า บริษัทเท่าไหร่เลย
สรุปก็คือ ทุกวันนี้ โอตะจ่ายเงิน เท่าเดิม หรืออาจจะมากกว่าเดิม ได้ของมากขึ้น หลายชิ้นขึ้น เพราะ มูลค่าของต่ำลง เม็ดเงินวิ่งเข้า บริษัทตรงๆมากขึ้น
ที่ตายคือ พ่อค้าคนกลาง
หลักการ demand supply ง่ายๆ
วันนี้ ทุกคนออกมาโวยวายกันว่า หนูไม่มีเงินแล้ว ขายของแบบนี้ คิดดีแล้วเหรอ
มุมมองผม ผมมองว่า โมเดล ธุรกิจแบบนี้ ฝั่งญี่ปุ่นเจอมานานแล้ว แทนที่จะให้กำลังซื้อของ โอตะถูกนำไปใช้กับสิ้นค้าชิ้นเดิมๆ ที่เปลี่ยนมือบ่อยๆแล้วผลประโยชน์ไปอยู่กับพ่อค้าคนกลาง ที่ ลงทุน สตอคของไว้ แล้วเอามา+ กำไรหลายๆเท่า
บริษัท ปล่อยเองเลยไม่ดีกว่าหรือ
อย่าลืมว่า goods ส่วนใหญ่ของ BNK เป็น preorder นั่นหมายถึงว่า บริษัทแบกรับความเสียงเรื่องการลงทุนน้อยมาก
อีกทั้งการเพิ่มระยะเวลา การpre ออกไปก็ยิ่งเป็นผลดีกับบริษัทออกไปอีก
ที่บอกว่า mindset ถูกเปลี่ยน อันนี้เห็นด้วย แต่แล้วยังไง ของมันต้องมี แต่เม็ดเงินวิ่งเข้าพ่อค้าคนกลาง
กับ มีเท่าที่ชอบ แต่เม็ดเงินวิ่งเข้า บริษัทตรงๆ
มูลค่าของตัวสินค้าที่ตกไป มันไม่ได้มีผลอะไร ก็เม็ดเงินที่วิ่งเข้า บริษัทเท่าไหร่เลย
สรุปก็คือ ทุกวันนี้ โอตะจ่ายเงิน เท่าเดิม หรืออาจจะมากกว่าเดิม ได้ของมากขึ้น หลายชิ้นขึ้น เพราะ มูลค่าของต่ำลง เม็ดเงินวิ่งเข้า บริษัทตรงๆมากขึ้น
ที่ตายคือ พ่อค้าคนกลาง
แสดงความคิดเห็น
บริษัทBNK48 official วางแผนการตลาดดีจริงๆแล้วหรอ?