แบ่งปัน 6 ตัวช่วยฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองที่ใช้อยู่ ทั้งด้านการฟัง พูด อ่าน เขียน ,, ของดีที่ฟรีและไม่เสียเงิน ;D

ขอเกริ่นนิดนึงนะคะ ว่าปีที่แล้วมีโอกาสได้มาเรียน ปริญญาโท ที่อังกฤษ​ คือตอนนั้นค่อนข้าง Suffer กับภาษาค่อนข้างมาก เพราะเพื่อนๆในห้องเก่งๆกันหมด ก็จะพยายามหาวิธีที่ทำให้ตัวเองเก่งภาษาขึ้นให้ได้เร็วที่สุด ทั้งถามเพื่อน หรือดูเคล็ดลับ หรือวิธีที่เพื่อนเอเชียเก่งๆใช้ ซึ่งก็มีเพื่อนสนิท อินโดนีเซีย ฮ่องกง ที่เรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็ก แนะนำวิธีฝึกภาษาดีๆ อยู่หลายอย่างค่ะ พอลองใช้ คือเห็นผลดีมากกก เพื่อนไม่ต้องคอยแก้ grammar หรือแก้ภาษาให้เท่าช่วงแรกๆ บอกเลยว่าเรียนจบมาได้ Merit เพราะตัวช่วยพวกนี้ด้วยค่ะ ไม่ได้จ้าง proof read เลย  ขนาดตอนนี้เรียนจบมาแล้ว ก็ยังใช้อยู่ เวลาเขียนงานหรือเขียน essay ค่ะ

บางวิธี ก็จะเป็นวิธีส่วนตัว จากบางอย่างที่เค้าเอามาปรับใช้เอาเอง แล้วเราเห็นว่าเป็นประโยชน์มาก ก็เลยมักจะแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ หรือคนรอบข้างตลอด ล่าสุดมีโพส status ลงนิดๆหน่อยๆ แล้วมีคนดูสนใจ ถามกันเข้ามาเยอะ ว่าอยากให้ทำเป็นกราฟฟิคอธิบายจริงจังลงเพจที่ทำอยู่ ก็เลยถือโอกาสทำเป็นคอนเท้น ลงเพจที่ทำอยู่ (ฺwww.facebook.com/BEARYOUGO) แล้วก็ขอเอามาแชร์เพื่อนๆในพันทิพย์ จะได้เป็นการแบ่งเคล็ดลับนี้ให้หลายๆคน ไปด้วยเลยทีเดียวค่ะ แล้วก็จะได้อธิบายได้ละเอียดด้วย ;D ส่วนถ้าใครมีอะไรเพิ่มเติมอีก แนะนำได้เลยนะคะ จะได้ช่วยกันพัฒนาภาษาอังกฤษไปด้วยกันค่ะ



ทั้งหมด 6 วิธี ก็จะมีทั้งเป็น application, website หรือแม้กระทั่ง Function เสริมของ Macbook ค่ะ จะมีอะไรกันบ้าง เราไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ ;D

อ้ออ เนื่องจากว่า รายละเอียดค่อนข้างเยอะ โพสทีเดียวรวดแล้ว ตัวอักษรจะเกิน เลยอาจจะต้องขอแยกเป็นหลายอันนิดนึงนะคะ ถ้าใครอยากอ่านทีเดียวรวด เข้าไปอ่านที่ FACEBOOK FANPAGE ที่ลงหัวข้อนี้ไว้ได้ค่ะ  https://www.facebook.com/bearyougo/posts/1821300741287732




#1.Grammarly
หลายๆคนน่าจะเคยได้ยินหรือรู้จักแอพนี้ดีอยู่แล้ว แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักและยังไม่เคยใช้ บอกเลยว่าควรลอง!

ข้อดีและประโยชน์ของ Grammarly

- ตรวจสอบ Grammar
Grammarly จะช่วยดูสิ่งที่เราเขียนนั้น ว่าถูกหลัก Grammar รึเปล่า ถ้าถูกก็จะขึ้นเป็นสีเขียว แต่ถ้าผิด ทาง Grammarly ก็จะขึ้นตัวแดง พร้อมบอกจำนวนจุดที่เราผิด ว่ามีทั้งหมดกี่จุด พร้อมบอกเหตุผลและแนะนำสิ่งที่ถูกต้องให้กับเราด้วย ดังนั้นเราก็จะสามารถค่อยๆเรียนรู้ได้ ว่าเราผิดตรงไหน เพราะอะไร แล้วควรจะแก้เป็นอะไรแทน

- แนะนำ Vocabulary & Synonyms
Grammarly จะดูคำที่เราใช้ซ้ำบ่อยๆ และจะแนะนำคำศัพท์ใหม่ๆให้ ทำให้เราไม่เขียนบทความที่มีคำซ้ำกันเยอะแยะ และยังมีคำอธิบายบอกด้วย ในกรณีที่คำศัพท์นั้นๆมีคำแปลได้หลายแบบ เพื่อให้เราเลือกคำ Synonyms ได้ถูกความหมาย หรือในกรณีที่เราไม่ได้ใช้คำซ้ำ แต่อยากหาคำ Synonyms เราสามารถก็สามารถดับเบิ้ลคลิกที่คำศัพท์ที่เราเขียน เพื่อให้โปรแกรมแนะนำได้

- เช็ค Plagiarism
อย่างที่รู้ๆกันว่า Plagiarism เป็นสิ่งต้องห้ามในการเขียน Essay หรือ Dissertation เจ้า Grammarly ก็สามารถที่จะเช็ค Plagiarism ให้เราได้ด้วย ถ้าเรามีบทความที่ซ้ำ Grammarly จะขึ้นมาให้ด้วย ว่าซ้ำกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วซ้ำกับบทความที่ไหน มีลิ๊งและชื่อบทความให้พร้อม

- เลือกประเภทของงานเขียน
เราสามารถเลือก Insight ได้ ว่าสิ่งที่เราจะเขียนนั้น เป็นงานประเภทไหน ผู้อ่านจะเป็นใคร เราอยากจะสื่ออะไร ซึ่งโปรแกรมก็จะแนะนำการแก้ไขอ้างอิงจากสิ่งที่เรากำหนด (เลือกว่าเป็นการเขียนแบบ American หรือ British ด้วยก้ได้นะเอออ) ซึ่งนี่ก็จะทำให้เรา สามารถเลือกใช้คำได้ถูกต้องตามหลักและประเภทของบทความ

- Plug-in / Extension สำหรับ Browser
เราสามารถเปิดโปรแกรมใช้เดี่ยวๆ หรือจะ Plug in เข้ากับ browser ต่างๆก็ได้ โดยการกดเพิ่ม Extension เพื่อให้ grammarly detect การเขียนหรือการโต้ตอบภาษาอังกฤษของเราได้ทุกครั้งเวลาเราเล่นอินเตอร์เนต หรือแม้กระทั่งการโพสเฟสบุ้คเองก็ตาม เราก็จะมั่นใจได้มากขึ้น ว่าเราจะไม่ได้โพสอะไรที่มันผิด grammar ขั้นรุนแรง ;D หรือเราสามารถตั้งให้ Grammarly โชว์คำแปลและคำ synonyms เวลาเรา double click ที่คำนั้นๆในหน้าต่าง Browser ได้ด้วยนะ

ทั้งนี้ทั้งนั้น grammarly จะยังคงไม่เป้ะ 100% และมี error อยู่บ้าง เช่น Passive voice ที่โปรแกรมมักจะขึ้นเป็นแดงๆ ให้แก้เป็น Active voice อยู่เสมอๆ ก็อาจจะต้องตรวจเช็คดูให้ดีๆ แต่สำหรับเรา เราว่ามันดีนะที่มี error บ้าง มันทำให้เราคิดมากขึ้น หรือพยายามหาคำตอบมายืนยันกับตัวเอง ว่าสิ่งที่เราเขียนมันถูกต้องแล้ว และถือว่าภาพรวมของแอพ ทำมาได้ดีมากแล้ว

ราคา
- สามารถใช้ฟรีได้ แต่ Function จะค่อนข้างจำกัด แค่การบอกจุดที่ Grammar ผิดเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
- ราคาเต็มอยู่ที่ 450-1000 บาทต่อเดือน แล้วแต่ แพคเกจที่เลือก
** นักเรียนจะมีส่วนลด เหลือเดือนละ ประมาณ 281 บาท
** อันนี้แอบบอกก คือแบ่งกันใช้กับเพื่อนก็ได้นะ จะได้หารเงินกันถูกลงไปอีก เพราะว่าเค้าไม่ได้ล็อคแอคเค้าไว้ เพียงแต่อาจจะต้องตั้งชื่อไฟล์กันดีๆ อย่าเผลอลบงานของเพื่อน




#2. System voice ของ MAC BOOK

จริงๆ ฟังก์ชั่นนี้ เป็นฟังก์ชั่นที่ apple ทำมาสำหรับผู้ที่มีปัญหาในเรื่องของการมองเห็น แต่เราเอามาใช้เป็นตัวช่วยในการฝึกเรื่องของการฟังและการเขียน

การใช้งานและประโยชน์ในการใช้ Function Voice

- ฝึกการอ่านออกเสียง
ทุกคนก็แค่ Highlight ข้อความที่ละช่วง แล้วให้ Kate (voice ที่เราเลือก) อ่านออกเสียงให้เราฟัง เราสามารถอ่านตามไปด้วยก็ได้ เพื่อที่จะได้เรียนรู้ในเรื่องของการออกเสียงที่ถูกต้อง รวมถึงการเว้นวรรค จังหวะการพูดรวมไปถึงโทนในการพูดและเน้นเสียงต่างๆ

- ฟัง Voice อ่านบทความต่างๆ
เนื่องจากว่าเราเป็นคนที่ไม่ได้ชอบอ่านหนังสือเท่าไหร่ สนุกกับการฟังคนอื่นเล่าหรือพูดคุยกับคนอื่นมากกว่า แต่เรารู้ว่าการอ่านบทความต่างๆเป็นเรื่องที่ดีและได้ความรู้ การใช้ฟังก์ชั่นนี้เลยช่วยเราได้มาก ในหลายๆที เราจะกดให้ Kate อ่านให้เราฟัง บางทีที่เจอบทความยาวๆ เราก็จะไม่ได้ท้อมากในการอ่าน เพราะอาศัยเพิ่ง Kate เอาา ซึ่งในหลายๆที เราก็จะให้ Kate อ่านแล้วกินขนมไปด้วย หรือล้างจาน ทำอย่างอื่นไปด้วย ;D

- ใช้เพื่อฝึกการเขียน ** อันนี้เราแนะนำเพราะมันเวิร์คมากก !
หลายๆคนคงจะงง และสงสัยว่า ฟังก์ชั่นนี้จะช่วยในเรื่องของการเขียนได้ยังไง มันช่วยได้เยอะเลยแหละ หลักการก็คือ
-- เวลาเราเขียน Essay หรือบทความอะไรก็แล้วแต่ให้เรากดให้ voice อ่านสิ่งที่เราเขียนให้ฟัง โดยที่เราจะต้องตั้งใจฟังนะ
-- ถ้าเราฟังที่เค้าอ่านรู้เรื่อง แสดงว่าสิ่งที่เราเขียนนั้นโอเคแล้ว แต่ถ้าเราฟังไม่รู้เรื่องแสดงว่าเราต้องแก้ไข ปรับรูปประโยคหรือเขียนใหม่

-- เหตุผลก็คือ ...โดยทั่วไป ถ้าเราเขียนแล้วอ่านทวนเอง เรามักจะอ่านตามจังหวะที่เราคิดไว้ หรือตามความเข้าใจของเรา ซึ่งในหลายๆทีเราจะคิดเอาเองว่า เอออ มันเข้าใจแล้วมันดีแล้ว แต่ถ้าเราให้ Voice อ่านให้ฟัง มันเหมือนเป็นการจำลองการอ่านสากลที่คนอื่นอ่านงานของเรา ถ้าเราฟัง Voice ไม่เข้าใจ แสดงว่าคนอื่นก็จะอ่านงานเราไม่เข้าใจเช่นกัน
-- ตัวอย่างเช่น ถ้า Voice อ่านสิ่งที่เราเขียนยาวแบบไม่ได้พักหายใจ นั่นเท่ากับว่า เราควรจะเขียนใหม่ ให้มันสั้นลง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว เราจะเจอปัญหานี้ค่อนข้างบ่อย วิธีแก้ก็คือการเขียนและปรับระโยคใหม่ อาจจะเป็นการแบ่งประโยคเพิ่ม ให้สั้นลง หรือไม่ก็พยายามหาช่วงใส่เครื่องหมาย , ให้ Voice อ่านให้ได้ตรงตามจังหวะและสิ่งที่เราอยากจะสื่อ

การติดตั้ง
System preferences > Accessibility > Speech
> System Voice เพื่อเลือกสำเนียงคนที่ชอบ
> Speaking Rating ปรับระดับเลือกความช้าเร็ว
> ติ๊กถูกที่ช่อง speak selected text when key is pressed แล้วก็เลือกคำสั่งตามใจชอบ แล้วแต่ถนัด
เราใช้คำสั่ง Command+R เพื่อให้จำง่ายๆ เหมือนเป็นการกดคำสั่งให้ Read

คำแนะนำในการเลือกสำเนียง
เนื่องจากเราชินกับสำเนียงอเมริกันอยู่แล้ว แต่เราอยากฝึกฟังสำเนียงอังกฤษมากกว่า เราเลยเลือกคนที่เป็นสำเนียงบริทิชสลับไปมาระหว่าง Kate กับ Daniel แล้วแต่อารมณ์ ที่สลับกันเพราะเรารู้สึกว่า เสียงผู้หญิงกับผู้ชายจะให้ความรู้สึกต่างกัน แต่เราอยากฟังให้ชินไว้ทั้งสองแบบ คือถ้าบางทีอยากฟังเสียงที่เพราะๆลื่นหูหน่อย ก็จะเลือก Kate ;D

สำหรับคนที่อยากฟังสำเนียงที่คุ้นชิน และฟังลื่นหู เราขอแนะนำสำเนียงอเมริกัน ของผู้หญิงมีอยู่ 4 คนที่ฟังค่อนข้างง่ายคือ Allison Samantha Ava Susan แต่ Allison และ Samantha ที่จะเป็นสำเนียงอเมริกันจ๋าา แต่ถ้าใครอยากลดระดับความอเมริกันลงมา Ava Susan ส่วนผู้ชายที่ฟังง่ายหน่อยก็เป็น Tom กับ Alex

* ต้องขอบคุณเพื่อนสนิทชาวอินโดนีเซียที่เรียนโทด้วยกันมาสำหรับการแนะนำสิ่งๆนี้ และทำให้เราได้รู้จักกัน Kate ;) สาเหตุเนื่องมาจาก.. ช่วงแรกที่เรามาเรียน เราไม่ถนัดการเขียนเลยยย แล้วมักจะเขียนเยิ่นเย้อบ้าง อ่านไม่รู้เรื่องบ้าง หรือเขียนติดกันเป็นพรืดยาวเหยียดจนเพื่อนต้องมาคอยนั่งแก้ให้ แต่หลังจากใช้ฟังก์ชั่นนี้ ปัญหาการเขียนก็ดีขึ้นมาเรื่อยๆ ก็ลองเอาไปใช้กันนะ หัวเราะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่