ความสัมพันธ์ทางสังคม กับปัญหาเด็กบ้านแตก

หลายคนพูดว่าคนเรามีความสัมพันธ์กันเช่นพ่อแม่ลูกปู่ย่าตายายเครือญาติ อันนี้ถ้าพิจารณาดูเขาเรียกว่าสายโลหิต แต่ถ้าพิจารณาดูอีกทีนึงก็เป็นไปได้ว่ามีกรรมที่สอดรับกันมีความคล้ายคลึงกันจึงเป็นเผ่าพันธุ์กัน
แต่ถ้าพิจารณาอีกมุมหนึ่งก็คือว่า ถ้าพ่อแม่ลูกมีความแตกต่างกันในเรื่องอุปนิสัยใจคอ ปู่ย่าตายายก็มีอุปนิสัยใจคอที่แตกต่างกันออกไป หลายครอบครัวมีความแตกแยกกัน หากพิจารณาดูในมุมนี้คงเห็นว่า สายโลหิต หรือที่เรียกกันว่าความสัมพันธ์กันในครอบครัว หรือเรียกสั้นๆว่าครอบครัว ในความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งสมมุติขึ้น หากพิจารณาในมุมนี้ที่ว่าสมมุติขึ้น คือสมมุติว่ามีชายกับหญิงมีเพศสัมพันกันมีกามอารมณ์ที่ไม่สามารถหักห้ามใจต่อกันได้แล้วบังเกิดมีสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆเกิดขึ้นเกิดจากอสุจิที่ไปปฏิสนธิในรังไข่จึงทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้น เราสมมติสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นนั้นว่า ลูก  หรือ  บุตร แต่ในความเป็นจริงหากพิจารณาในมุมของอสุจิดังนี้

อสุจิเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆที่เกิดจากการระดมกามารมณ์ของฝ่ายชายหรือสัตว์เพศผู้นั้นเอง เมื่อสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เรียกว่าอสุจิเกิดการหลั่งจากการอารมณ์ของฝ่ายชายหรือสัตว์เพศผู้เข้าไปปฏิสนธิในรังไข่ของสัตว์เพศเมียที่มีอาการอารมณ์ร่วมกันหรืออาจจะถูกข่มขืนและมีการขัดขืนแต่ภายในร่างกายก็มีการคัดหลั่งและมีการตอบรับจึงทำให้อสุจินั้นเข้าไปผสมในไข่และฝังตัวอยู่ในรังไข่ของสัตว์เพศเมียได้ในที่สุด

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์กันที่เรียกกันว่าครอบครัวนั้น เกิดจากการสมมุติขึ้นว่าถ้ามีสัตว์เพศผู้กับเพศเมียมีการร่วมประเวณีกันและก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นใหม่ เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาของสังคมเราจึงเรียกสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นใหม่นั้นว่า ลูกของคนทั้งสอง ส่วนคนทั้งสองที่ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตนั้น เราสมมุติว่าเป็นพ่อและแม่

ดังนั้นในความเป็นจริงแล้วสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นเราหยิบโยงสายสัมพันธ์โดยสมมุติว่า สายโลหิตคือตัวบ่งชี้ถึงคุณลักษณะของความสัมพันธ์กัน และสมมติคุณลักษณะของความสัมพันธ์กันนั้นว่า ครอบครัว และสมมติครอบครัวนั้นให้มีความผูกพันธ์หรือผูกมัดทางสังคมขึ้น

ดังนั้นหากในทางปฏิบัติแล้วเราเสพสุขกันมีกามารมณ์ต่อกันแล้วเกิดมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นเราไม่จำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบก็ได้ เพราะสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงอสุจิตัวเล็กๆที่ถูกคัดหลั่งจากกามอารมณ์หรือความใคร่นั้นเอง

หากพิจารณาในมุมมองนี้อสุจิตัวเล็กๆที่ถูกคัดหลั่งจากกามอารมณ์หรือความใคร่นั้นเป็นสิ่งที่สัตว์เพศผู้มิได้ต้องการเก็บไว้แต่เป็นการสลัดทิ้งไปโดยปราศจากความมุ่งหวังจะเก็บไว้ ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้าหากเราทำลายกำแพงสายโลหิต ความสัมพันธ์กันในครอบครัว ความผูกพันกันระหว่างพ่อแม่และลูก โดยอาศัยเหตุผลแห่งความเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วเป็นสิ่งสมมุติขึ้นทั้งสิ้น เราก็จะได้นิยามของการมีชีวิตขึ้นมาใหม่ดังนี้

ทุกคนล้วนแล้วเป็นสัตว์และสัตว์ทุกตัวล้วนแล้วย่อมต้องได้รับการดูแลปฏิบัติอย่างดีไม่มีการเป็นเจ้าเข้าเจ้าของกัน ไม่มีการที่จะต้องเลี้ยงลูกเพื่อให้ลูกได้ทดแทนพระคุณ แต่เป็นความรับผิดชอบเมื่อสัตว์ตัวเล็กๆที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่สัตว์เพศผู้กระทำต่อสัตว์เพศเมียและทำให้เกิดสัตว์ตัวเล็กๆเข้าไปสิงสู่อยู่ในรังไข่ของสัตว์เพศเมียจนคลอดออกมาเป็นสัตว์ตัวเล็กๆในที่สุด ดังนั้นหากพิจารณาในมุมนี้แล้วนิยามความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจากเหตุและผลจึงเป็นสิ่งที่ยากจะอธิบายได้และยากต่อการกระทำเพื่อรักษาสมดุลทางสังคมไว้

หากจะพิจารณาว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วสมมุติขึ้นก็เป็นการสมมติให้เหมาะสมกับสภาวะความเป็นจริงเสียมากกว่า มิใช่การสมมติขึ้นเพื่อใช้เหตุผลหักล้างถางพงดังที่กล่าวมาข้างต้น

ดังนั้น หากความสัมพันธ์ในครอบครัวมีความยุ่งเหยิง มีความซับซ้อนยากเกินจะถักทอให้มีความสัมพันธ์อันดีได้เราก็ต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงว่ากรรมเป็นเผ่าพันธุ์ถ้าเกิดวันใดวันหนึ่งอุปนิสัยใจคอของคนในครอบครัวมีความแตกต่างกันออกไปอยู่กันไม่ได้นั่นหมายความว่าไม่ได้เป็นคนในเผ่าพันธุ์เดียวกันเพียงอาศัยกันมาเกิดเพียงนี้สายโลหิตที่เป็นสายโลหิตเดียวกันแต่ไม่ได้มีสายโยงทางจิตใจเดียวกัน

การพิจารณาแบบนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญว่าคำว่าลูกคำว่าพ่อคำว่าแม่นั้นก็เปรียบเสมือนสถานะทางธรรมชาติหรืออาศัยสายโลหิตมาเกี่ยวข้องแต่ไม่ได้หมายความว่าจะดำรงอยู่อย่างสงบสุขได้แม้เราจะมีพ่อที่ดีแม่ที่ดีหรือเราอาจจะมีลูกที่ดีแต่ถ้าเกิดคนใดคนหนึ่งไม่ดีหรือเกิดว่าทั้งหมดทั้งมวลไม่ดีความวุ่นวายในครอบครัวย่อมเกิดขึ้นเสมอเปรียบเสมือนฝันร้ายที่ทำให้คนในครอบครัวไม่ต้องการลืมตามามองความเป็นจริงหรือยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นหรือแม้จะยอมรับความเป็นจริงได้ก็เกิดความสับสนอลหม่านท้ายที่สุดแล้วครอบครัวนั้นก็ล่มสลายหาได้มีความเจริญไม่

และนั่นคือสิ่งสำคัญที่สุดไม่ว่าเราจะสมมติให้สัตว์เพศผู้กับสัตว์เพศเมียที่มีการร่วมประเวณีกันและก่อให้เกิดการปฏิสนธิเกิดขึ้น ว่าสัตว์เพศผู้กับสัตว์เพศเมียนั้นเป็นพ่อเป็นแม่และการปฏิสนธิที่เกิดขึ้นจนนำไปสู่การกำเนิดของสัตว์ตัวเล็กๆนั้นว่า ลูก จะมีความหมายทางสังคมและกระบวนการทางรัฐศาสตร์รวมถึงกระบวนการทางการเมืองการปกครองซึ่งเกี่ยวพันกับกระบวนการทางรัฐศาสตร์ทั้งทางตรงและทางอ้อมก็ตามตลอดจนกระบวนการทางนิติศาสตร์ที่มีความสัมพันธ์กันกับมนุษย์ทางสังคมโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งคำว่าทายาทโดยธรรมได้อย่างไรก็ดีจะเห็นข้อหนึ่งที่เกิดขึ้นทางหลักนิติศาสตร์ว่า บุตรบุญธรรมพ่อแม่บุญธรรม นั่นหมายความว่าเราสมมุติว่าเราเจอบุตรหรือเจอเด็กคนหนึ่งที่ถูกชะตาเด็กคนนั้นเห็นเราก็ถูกชะตาเราก็พอดูแลเลี้ยงดูเขาได้เขาก็รู้สึกมีความห่วงใยอาลัยอาวรณ์ในตัวเราอยากจะปฏิบัติดูแลเรารับภาระต่างๆเพื่อที่จะเป็นการแบ่งเบาภาระให้เราเปรียบเสมือนเขาเป็นลูกเปรียบเสมือนเราเป็นพ่อเป็นแม่เช่นนั้นจึงเกิดบุตรบุญธรรมพ่อแม่บุญธรรมขึ้น ถ้าจะเรียกว่าเป็นการสมมติขึ้นก็เป็นการสมมติขึ้นโดยธรรมคือสมมติให้เหมาะสมกับสภาวะกรรมหรือเผ่าพันธุ์ที่เกิดจากกรรมนั่นก็คือมีความผูกพันด้วยกรรมกันแต่มิได้ผูกพันกันด้วยสายโลหิต เหตุและปัจจัยเหล่านี้จึงถือได้ว่าเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่งถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธองค์ตรัสว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วเป็นของสมมุติขึ้นทั้งสิ้นตัวเราก็ถูกสมมุติขึ้นเราไปยึดมั่นถือมั่นก็เป็นทุกข์เช่นนี้เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ยังต้องดำรงอยู่การสมมติสิ่งใดก็ต้องสมมุติให้สอดคล้องกับธรรมเช่นเราสมมุติว่าเราเป็นพ่อเขาเป็นแม่อีหนูนั่นเป็นลูก แต่ถ้าเราสมมุติแล้วไม่สอดคล้องกับกรรมหมายความว่าสัตว์เพศผู้กับสัตว์เพศเมียคู่นั้นมีการร่วมประเวนีกันและเกิดการปฏิสนธิเกิดขึ้นจนกลายเป็นการถือกำเนิดสัตว์ตัวเล็กๆขึ้นในโลกเราจะถือว่าเรียกว่าพ่อแม่ลูกซะทีเดียวก็ไม่ได้เพราะคำว่าพ่อแม่ลูกนั้นหมายถึงคนหรือหมายถึงสัตว์ที่มีความรับผิดชอบในสถานะครอบครัวเห็นอกเห็นใจกันและมีการยึดโยงความหมายของความกตัญญูกตเวทีมาเกี่ยวข้องมาสร้างความผูกพันกันขึ้น เหตุและปัจจัยนี้เองเราจึงห้ามถือว่าตัวเราเป็นพ่อตัวเขาเป็นแม่อีกนั่นเป็นลูกเพราะว่าสถานะทางสังคมนั้นเป็นสถานะทางกฎหมายเป็นสถานะของรัฐศาสตร์มีหน้าที่เป็นสถานะทางธรรมเพราะสถานะทางธรรมนั้นต้องประกอบขึ้นด้วยการกระทำอันประกอบไปด้วยเจตนาเรียกได้ว่าการกระทำที่มีเจตนาอันบริสุทธิ์ย่อมนำมาซึ่งสถานะอันเป็นจริงมิได้เป็นสถานการณ์สมมติขึ้นถ้าเราสมมุติว่าเราเป็นพ่อแต่เราปราศจากการกระทำใดที่เป็นพ่อเช่นทิ้งๆขว้างๆลูกไม่สนใจใยดีมีแค่ตาตั้งทางกฎหมายว่าเราเป็นพ่อหรือมีตราตั้งทางกฎหมายให้เห็นว่าเราเป็นลูกแต่เราก็ไม่ได้ให้การเคารพผู้เป็นพ่อหรือห่วงใยผู้เป็นพ่อสิ่งเหล่านั้นย่อมหมายถึงการขาดจากกันโดยสิ้นเชิงมีเพียงสิ่งเดียวที่สัมพันธ์กันคือสายโลหิตสายโยงทางสายโลหิตซึ่งมีผลผูกพันทางกฎหมาย ดังนั้นรัฐจึงกำหนดการสมมติขึ้นให้เหมาะสมต่อสภาวะธรรมในเรื่องดังกล่าวดังนี้
เมื่อกฎหมายกำหนดให้สายโลหิตเป็นตัวกำหนดถึงทายาทโดยธรรมหมายถึงผู้ที่สามารถรับมรดกต่อจากพ่อหรือแม่ปู่ย่าตายายเครือญาติได้ได้ในกรณีผู้ที่มีอำนาจมีทรัพย์สินเงินทองหรือเรียกกันว่าเป็นเจ้าของทรัพย์เขาสามารถที่จะเขียนพินัยกรรมกำหนดทิศทางในการมอบมรดกทั้งหลายให้กับผู้ใดผู้หนึ่งได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงสายโลหิตหรือทายาทโดยธรรมตามกฎหมายดังนั้นจะเห็นได้ว่านี่ก็คือข้อสมมติขึ้นหรือการสมมติขึ้นเช่นกัน นั่นก็คือสมมุติว่าฉันไม่พอใจคนในสายเลือดฉันเมื่อสายโลหิตของฉันมันไม่ดี ฉันก็ขอตัดขาดจากสายโลหิตที่ไม่ดีนั้นและก็ขอมอบทรัพย์สินทั้งหลายมอบให้กับผู้อื่นที่ไม่ได้ร่วมสายโลหิตหรือถ้าจะร่วมสายโลหิตก็ไม่ใช่สายโลหิตทางตรงหรือถ้าไม่ใช่สาเหตุทางตรงก็เป็นทางอ้อม เพราะฉะนั้นอยู่ที่ดุลยพินิจของบุคคลนั้นจะเห็นว่าสายโลหิตดีหรือสายโลหิตไม่ดีจะเห็นว่าผู้อื่นดีหรือเห็นว่าผู้อื่นไม่ดี ซึ่งยังต้องพิจารณาต่อไปให้ลึกดังนี้ว่า

ในกรณีที่สายโลหิตไม่ดีหรือดีก็ตามแต่ถ้าเกิดมีสายสมรสเกิดขึ้นคู่สมรสย่อมได้รับผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งตามกฎหมายสมมติขึ้นว่าคู่สมรสนั้นเป็นบุคคลที่ตายแทนกันได้ย่อมควรจะได้รับทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของอีกฝ่ายหนึ่งเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตนี่คือการสมมติขึ้นหรือถ้าเรียกกันก็คือเจตนารมณ์ของกฎหมาย

หากพิจารณาในมุมมองนี้การสมมติขึ้นดังกล่าวก็เป็นการสมมติตามหลักธรรมคือให้สอดคล้องกับลักษณะทำตามลักษณะของคนไทยชาวสยามที่พูดถึงในเรื่องของพระพุทธศาสนาว่าคู่แท้คู่บุญคู่บารมีเพราะฉะนั้นการเลือกคู่ครองจึงเป็นเรื่องสำคัญหากหากเราใช้มุมมองทางกฎหมายที่สะท้อนถึงหลักคิดของชาวพุทธอย่างนี้เราก็จะได้เห็นถึงข้อเท็จจริงอีกมุมหนึ่งว่าเราควรปราณีต่อการเลือกคู่ครองเป็นอย่างดีและอาศัยกามารมณ์เป็นตัวตั้งและอาศัยความรับผิดชอบเป็นตัวรอง หมายความว่าเมื่อเราสำเร็จกิจทางกามารมณ์แล้วเกิดมีการปฏิสนธิกันขึ้นเกิดมีเด็กขึ้นเราเองก็ต้องรับผิดชอบและเกิดความสมัครรักใคร่และท้ายที่สุดแล้วเมื่อความสมัครรักใคร่นั้นเป็นพิษคือเกิดการอาร์คกตัญญูกตเวทิตาต่อบุพการีขึ้น สิ่งต่างๆเหล่านั้นย่อมไม่เป็นคุณต่อสายสัมพันธ์ที่เรียกว่าสายโลหิตหรือครอบครัวและยังเป็นความด่างพร้อยทางสังคมอีกด้วย

ที่พูดว่าเป็นความดังเพราะทางสังคมนั้นก็คือเรามีกฎหมายกำหนดทิศทางเป็นการสมมติขึ้นเพื่อให้สอดรับหรือสอดคล้องกับสภาวะธรรมแต่เมื่อสภาวะธรรมในสังคมนั้นเสื่อมถอยกฎหมายก็ต้องเสื่อมตามการพิจารณากฎหมายต่างๆจึงผิดเพี้ยนไม่มีแบบแผนและจัดตั้งไว้ในกฎหมายก็ตามแต่ก็ไม่ได้มีความหมาย เพราะการพิจารณาคดีในเรื่องเด็กเยาวชนครอบครัวต่างๆเหล่านั้นไม่สามารถใช้กฎหมายในการพิจารณาได้แต่ใช้ความพึงพอใจกันทั้งสองฝ่ายนั่นก็คือฝ่ายเจ้าหน้าที่กับฝ่ายไม่ใช่เจ้าหน้าที่ก็คือผู้ที่เดือดร้อนเข้าไปพึ่งศาลนั่นเอง

หากพิจารณาในมุมนี้ก็จะเข้าใจว่าไม่ว่าจะมีสารสกัดสารก็พิจารณาปัญหาเด็กเยาวชนครอบครัวไม่ได้ไม่ว่าปัญหาเยาวชนครอบครัวหรือเด็กเยาวชนก็ล้วนแล้วไม่มีหลักเกณฑ์ใดๆที่จะพิจารณามีเพียงการโยนหินถามทางถามไปทางนั้นที่ถามไปทางนี้ทีไม่มีองค์คณะไม่มีสหวิชาชีพไม่มีอะไรหรอกครับมีเพียงคำว่าสิทธิที่ถูกสมมุติขึ้นและก็มีความพึงพอใจที่ถูกสมมุติขึ้นว่าอันนี้แหละคือหลักเกณฑ์ในการพิจารณาแต่ไม่ควรคำนึงถึงปัญหาระยะยาวที่จะเกิดขึ้นตามมาระหว่างเด็กเยาวชนและครอบครัวซึ่งท้ายที่สุดแล้วปัญหาต่างๆก็จะกลายเป็นปัญหาสังคมกองเอาไว้ให้กับนักสังคมสงเคราะห์ได้แก้ไขหรือไม่ก็ได้เพียงแค่เป็นกรณีศึกษาเท่านั้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่