เรื่อง 3Rs เป็นเรื่องเก่าแก่ แต่ก็ยังใช้กันไม่ตรงตามเจตนารมณ์อยู่ดี เวลาเรากล่าวถึง 3Rs เราก็มักจะกล่าวเรียงกันเป็นสูตรสำเร็จว่า Reduce Reuse Recycle สาเหตุที่เรียงกันแบบนี้เพราะว่าเป็นการเรียงตามลำดับความสำคัญ คือ
1. Reduce ลด เลี่ยง เลิก
2. Reuse ใช้ซ้ำ ซ่อม
3. Recycle แปรรูปวัสดุ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่
หากยกตัวอย่างเรื่องที่ใกล้ตัวคนทั่วไป เช่นขยะขวดน้ำดื่มที่เรียกว่าขวด PET ถ้าเราปฏิบัติตามลำดับความสำคัญ เราจะต้อง ลดหรือเลี่ยงก่อนเพื่อไม่ให้เกิดเป็นขยะขวดตั้งแต่แรก เรื่องนี้ทำได้โดยง่าย คือพกแก้วน้ำหรือขวดน้ำไปเอง (เลี่ยงการเกิดขยะ) แต่ถ้าหาตู้กดน้ำดื่มสะอาดยากก็อาจจะเลือกซื้อขวดใหญ่แทนขวดเล็ก (ลดปริมาณขยะต่อหน่วยสินค้าที่ถูกบริโภค) หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็พยายามดื่มโดยไม่ให้ปากสัมผัสกับปากขวดเพื่อสุขอนามัยทำให้ใช้ขวดเดิมมาเติมน้ำซ้ำได้อีกสัก 3-4 รอบ ก่อนแยกทิ้งเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ซึ่งโดยทั่วไปหมายถึงการบดย่อย หลอม และขึ้นรูปวัสดุเพื่อใช้ผลิตเป็นสินค้าใหม่ แต่ถ้ายังทำไม่ได้สัก R เลย ทางเลือกถัดมาคืออย่างน้อยควรเปลี่ยนขยะเป็นพลังงานด้วยความร้อน (Energy recovery) หรือทางเลือกสุดท้ายกำจัดด้วยการฝังกลบ (Landfill disposal) ซึ่งก็ถือว่ายังดีกว่าทิ้งข้างถนนหรือลงไปอุดตันท่อระบายน้ำแบบทุกวันนี้
ของไทยเรามักจะรณรงค์แต่การรีไซเคิล แต่มันไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นทาง เพราะถ้ามีการรีไซเคิลแสดงว่ามีขยะเกิดขึ้นแล้วนั่นหมายความว่ามีการถลุงทรัพยากร มีการใช้น้ำ ใช้พลังงาน เพื่อผลิต ขนส่ง และการวางจำหน่ายสินค้า ที่สุดท้ายก็กลายเป็นขยะ เกิดความสิ้นเปลืองทุกขั้นตอน
การรีไซเคิลอาจแบ่งได้เป็นการรีไซเคิลแบบปิดวงจร (closed loop recycling) ซึ่งหมายถึงการหมุนเวียนวัสดุของซากผลิตภัณฑ์หนึ่งกลับมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เดิมได้ทั้งหมด เช่นกรณีของกระป๋องเครื่องดื่มที่ทำจากอลูมิเนียม กับการรีไซเคิลแบบเปิด (Open loop) ซึ่งหมายถึงวัสดุที่นำมารีไซเคิลไม่สามารถนำกลับมาผลิตผลิตภัณฑ์เดิมได้ทั้งหมด เช่นกรณีของขวด PET แทบจะทั้งหมดถูกแปรรูปไปเป็นเส้นใยพลาสติกผลิตเป็นสิ่งทอ แต่ไม่สามารถนำมาผลิตเป็นขวดเครื่องดื่มได้อีก แสดงว่ายิ่งซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดมากเท่าใด เชื้อเพลิงฟอสซิลก็ยิ่งถูกผลิตขึ้นมามากเท่านั้นเพื่อแปรรูปมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตขวด PET อีกตัวอย่างหนึ่งของ open loop คือการนำขวดพลาสติกไปผลิตเป็นสินค้าหัตถกรรม แล้ววางจำหน่ายตามงาน OTOP หรืองานตลาดนัดสิ่งแวดล้อม ทำให้วัสดุพลาสติกเหล่านี้เสียโอกาสในการถูกนำไปแปรรูปเป็นสิ่งทอเสื้อผ้าที่มีคนใช้ (demand) แต่กลับกลายมาเป็นงานฝีมือที่มีคนชื่นชมแต่ไม่มีคนซื้อ
ช่วงนี้มีกระแสรณรงค์ลดการใช้ถุงพลาสติก ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าเพลิดเพลินไปกับถุงผ้าหรือถุงพลาสติกแบบทนทานลายสวยๆ ที่มีอยู่เต็มบ้านแล้วมักจะไม่ได้หยิบไปจ่ายตลาดด้วย เพราะการผลิตถุงพวกนี้ก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าถุงหูหิ้วบางๆ หลายเท่าตัว (แบบที่ชอบเจอในท้องเต่าทะเลและโลมา) ถ้าจะให้ได้ผลต้องใช้ถุงผ้าใบเดิมซ้ำๆ หลายๆ รอบถึงจะชดเชยกันได้ จะช่วยกันลดขยะทั้งที ก็ต้องช่วยกันคิดให้มากขึ้น อย่ามัวแต่ภูมิใจกับการแยกขยะไปรีไซเคิล แต่จงภูมิใจกับการป้องกันไม่ให้มีขยะเกิดขึ้นตั้งแต่แรกดีกว่า
รู้ที่มาที่ไปคือหัวใจของการพัฒนาที่ยั่งยืน
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านกระทู้แรกในชีวิตของผมใน pantip จนจบ
8 สิงหาคม 2561
3Rs มีอารายบ้างกันแน่
1. Reduce ลด เลี่ยง เลิก
2. Reuse ใช้ซ้ำ ซ่อม
3. Recycle แปรรูปวัสดุ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่
หากยกตัวอย่างเรื่องที่ใกล้ตัวคนทั่วไป เช่นขยะขวดน้ำดื่มที่เรียกว่าขวด PET ถ้าเราปฏิบัติตามลำดับความสำคัญ เราจะต้อง ลดหรือเลี่ยงก่อนเพื่อไม่ให้เกิดเป็นขยะขวดตั้งแต่แรก เรื่องนี้ทำได้โดยง่าย คือพกแก้วน้ำหรือขวดน้ำไปเอง (เลี่ยงการเกิดขยะ) แต่ถ้าหาตู้กดน้ำดื่มสะอาดยากก็อาจจะเลือกซื้อขวดใหญ่แทนขวดเล็ก (ลดปริมาณขยะต่อหน่วยสินค้าที่ถูกบริโภค) หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็พยายามดื่มโดยไม่ให้ปากสัมผัสกับปากขวดเพื่อสุขอนามัยทำให้ใช้ขวดเดิมมาเติมน้ำซ้ำได้อีกสัก 3-4 รอบ ก่อนแยกทิ้งเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ซึ่งโดยทั่วไปหมายถึงการบดย่อย หลอม และขึ้นรูปวัสดุเพื่อใช้ผลิตเป็นสินค้าใหม่ แต่ถ้ายังทำไม่ได้สัก R เลย ทางเลือกถัดมาคืออย่างน้อยควรเปลี่ยนขยะเป็นพลังงานด้วยความร้อน (Energy recovery) หรือทางเลือกสุดท้ายกำจัดด้วยการฝังกลบ (Landfill disposal) ซึ่งก็ถือว่ายังดีกว่าทิ้งข้างถนนหรือลงไปอุดตันท่อระบายน้ำแบบทุกวันนี้
ของไทยเรามักจะรณรงค์แต่การรีไซเคิล แต่มันไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นทาง เพราะถ้ามีการรีไซเคิลแสดงว่ามีขยะเกิดขึ้นแล้วนั่นหมายความว่ามีการถลุงทรัพยากร มีการใช้น้ำ ใช้พลังงาน เพื่อผลิต ขนส่ง และการวางจำหน่ายสินค้า ที่สุดท้ายก็กลายเป็นขยะ เกิดความสิ้นเปลืองทุกขั้นตอน
การรีไซเคิลอาจแบ่งได้เป็นการรีไซเคิลแบบปิดวงจร (closed loop recycling) ซึ่งหมายถึงการหมุนเวียนวัสดุของซากผลิตภัณฑ์หนึ่งกลับมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เดิมได้ทั้งหมด เช่นกรณีของกระป๋องเครื่องดื่มที่ทำจากอลูมิเนียม กับการรีไซเคิลแบบเปิด (Open loop) ซึ่งหมายถึงวัสดุที่นำมารีไซเคิลไม่สามารถนำกลับมาผลิตผลิตภัณฑ์เดิมได้ทั้งหมด เช่นกรณีของขวด PET แทบจะทั้งหมดถูกแปรรูปไปเป็นเส้นใยพลาสติกผลิตเป็นสิ่งทอ แต่ไม่สามารถนำมาผลิตเป็นขวดเครื่องดื่มได้อีก แสดงว่ายิ่งซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดมากเท่าใด เชื้อเพลิงฟอสซิลก็ยิ่งถูกผลิตขึ้นมามากเท่านั้นเพื่อแปรรูปมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตขวด PET อีกตัวอย่างหนึ่งของ open loop คือการนำขวดพลาสติกไปผลิตเป็นสินค้าหัตถกรรม แล้ววางจำหน่ายตามงาน OTOP หรืองานตลาดนัดสิ่งแวดล้อม ทำให้วัสดุพลาสติกเหล่านี้เสียโอกาสในการถูกนำไปแปรรูปเป็นสิ่งทอเสื้อผ้าที่มีคนใช้ (demand) แต่กลับกลายมาเป็นงานฝีมือที่มีคนชื่นชมแต่ไม่มีคนซื้อ
ช่วงนี้มีกระแสรณรงค์ลดการใช้ถุงพลาสติก ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าเพลิดเพลินไปกับถุงผ้าหรือถุงพลาสติกแบบทนทานลายสวยๆ ที่มีอยู่เต็มบ้านแล้วมักจะไม่ได้หยิบไปจ่ายตลาดด้วย เพราะการผลิตถุงพวกนี้ก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าถุงหูหิ้วบางๆ หลายเท่าตัว (แบบที่ชอบเจอในท้องเต่าทะเลและโลมา) ถ้าจะให้ได้ผลต้องใช้ถุงผ้าใบเดิมซ้ำๆ หลายๆ รอบถึงจะชดเชยกันได้ จะช่วยกันลดขยะทั้งที ก็ต้องช่วยกันคิดให้มากขึ้น อย่ามัวแต่ภูมิใจกับการแยกขยะไปรีไซเคิล แต่จงภูมิใจกับการป้องกันไม่ให้มีขยะเกิดขึ้นตั้งแต่แรกดีกว่า
รู้ที่มาที่ไปคือหัวใจของการพัฒนาที่ยั่งยืน
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านกระทู้แรกในชีวิตของผมใน pantip จนจบ
8 สิงหาคม 2561