สวัสดีค่ะ ขอแนะนำตัวก่อนเลย เราชื่อหงษ์จ้าาา รีวิวนี้เป็นรีวิวแรกซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดจะเขียน แต่อยู่ๆก็อยากบอกเล่าความประทับใจและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนอื่นๆ เพราะที่เราได้มาเที่ยวที่นี่ก็เพราะไปอ่านกระทู้รีวิวแบบนี้มาเหมือนกัน หาไปหามาก็ตกลงว่า เอาล่ะ เป็นที่นี่แหละ! พอได้ไปสัมผัสบรรยากาศจริงๆก็ไม่ผิดหวังที่เลือกมาที่นี่เลย...
ทริปนี้เป็นแนวแบกเป้ ไม่มีรถ ไม่มีแผน(แต่ก็อ่านรีวิวมาบ้าง) ไม่ได้จองห้องพัก ไปตายเอาดาบหน้าสุดๆ 5555 ไปกัน 2 คน ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม - 5 สิงหาคม 2561 ( 3วัน 2 คืน ) รายละเอียดเรื่องค่าใช้จ่ายจะสรุปรวมให้ทีหลังน้าาา
วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561
5.30 น. เรามาถึงสายใต้ใหม่ ก็รีบไปขึ้นรถตู้กรุงเทพฯ-กาญจนบุรีด้วยความตื่นเต้น กลัวจะไปไม่ทัน(เพราะรถสองแถวที่ขึ้นอุทยานจะหมดตอน 11.30 น.) รถตู้ที่เราขึ้นออกจากท่าประมาณ 5.50 น. ใช้เวลาเดือนทางประมาณ 2 ชม. ค่าโดยสารคนละ 100 บาท
มาถึงบขส.กาญจนบุรีประมาณ 8 โมง ก็ไปขึ้นรถตู้เพื่อไปทองผาภูมิ ซึ่งท่ารถจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับบขส. (ไม่ใช่ท่ารถตู้ที่อยู่ติดบขส.นะ อันนั้นไปต่างจังหวัด ตอนแรกเราไปผิดทาง 5555) ค่ารถตู้คนละ 115 บาท พอขึ้นรถตู้ก็หลับปุ๋ยตามประสาคนนอนไป 2 ชม. Zzzz
10.30 น. เรามาถึงทองผาภูมิแล้วจ้าาา แดดกำลังดี ไม่ร้อนจนเกินไป เหมาะแก่การเดินไปท่ารถ หรือถ้าใครขี้เกียจก็นั่งวินไปก็ได้ ไม่ไกลมาก พวกเราไปแวะกินข้าวที่เซเว่น กับทำธุระที่ปั๊มน้ำมันระหว่างทางที่จะไปท่ารถสองแถว และในที่สุดเราก็ไปถึงตลาดซึ่งมีร้านอาหาร เราจึงคิดได้ว่าทำไมชั้นไม่มากินที่นี่ -*-
เมื่อเดินมาถึงตลาดจะมีท่ารถสองแถวสีเหลืองเขียนว่า ทองผาภูมิ-อุทยานแห่งชาติ-บ้านอีต่อง ( ขึ้นรถคันที่เขียนแบบนี้นะ เพราะรถสีเหลืองมันวิ่งไปหลายเส้นทาง เดี๋ยวจะขึ้นผิด )

พี่คนขับรถ (ซึ่งมารู้ทีหลังว่าขื่อพี่ท็อป) อัธยาศัยดีมาก พี่เค้าแนะนำให้ไปเที่ยวที่หมู่บ้านอีต่องด้วย พวกเราสองคนเสริชหาข้อมูลด้วยความเร็วแสง และตัดสินใจจะไปในวันที่ 2
รถสองแถวออกจากท่าประมาณ 11.30 น. คนเต็มรถ(แต่ก็ยังไม่เยอะเท่าของต่างๆ555)เพราะมีชาวบ้านขึ้นมาด้วย ค่ารถคนละ 70 บาท ระหว่างทางพี่ท็อปจอดรถให้กินข้าว...พวกเรานั่นรถมาสักพักก่อนจะลงไปดูจุดชมวิว แต่ก็ดูได้แป้ปเดียว เพราะฝนตกหนักและหนาวมาก
และในที่สุดเราก็ถึงอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิตอนเกือบบ่ายสอง!! ฝนยิ่งตกหนักกว่าเดิม ดีนะที่เอาเสื้อกันฝนมา หลังจากที่เราจ่ายเงินค่าเข้าอุทยานคนละ 40 บาทก็เดินไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อไปจองห้องพัก พี่ผู้หญิงเจ้าหน้าที่แนะนำให้พักที่บ้านผาภูมิ1 เพราะห้องพัก 2 คนอยู่ไกล และช่วงนี้มีดินสไลด์อาจเกิดอุบัติเหตุได้ และบ้านผาภูมิอยู่ใกล้กับศูนย์บริการฯและร้านอาหาร ดูจะสะดวกกว่าบ้านพักหลังอื่นๆที่ต้องเข้าไปลึก ค่าห้องพักคืนละ 1200 บาท ( เป็นห้องพักแบบนอน 6 คน ) ที่นี่เปิดปิดไฟตามเวลาคือ 18.00 -20.30 น. ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น น้ำเย็นสะใจมากกกก พอเข้าไปเก็บของเสร็จพวกเราก็มากินข้าวที่ร้านอาหาร ตอนแรกก็ดูเหมือนไม่มีใครอยู่เลย แต่พอเดินเข้าไปในร้านก็เจอแม่ครัว เราเลยสั่งข้าวมากิน เรามารู้ทีหลังว่าต้องกระตุกเชือกเรียกแม่ครัวออกมาเพื่อสั่งอาหาร(แต่เราก็ไม่กระตุกอยู่ดี 555) เราสั่งอาหารไปกินตอนเย็นด้วยเพราะร้านปิด 5 โมง อ้อ ลืมบอกไป ใกล้ๆร้านอาหารมีร้านสวัสดิการด้วยนะ พี่เจ้าหน้าที่บอกปิด 5 โมง แต่ทุกครั้งที่เราไปคือปิดตลอด 5555555

จบวันที่ 1 พวกเราไม่ได้ไปไหนแล้วเพราะฝนตกหนักมาก
[เพิ่มเติม]
- อย่าคาดหวังกับร้านสวัสดิการมาก มันไม่ค่อยมีอะไร
- ควรมีร่มหรือเสื้อกันฝน รวมไปถึงเสื้อกันหนาวด้วยนะ ถ้าจะมาฤดูนี้
- บัตรเข้าอุทยานรวมค่าเข้าน้ำตกจ๊อกกระดิ่น (อยู่ห่างจากอุทยาน 5 กิโลเมตร)
วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม 2561
เริ่มวันใหม่พร้อมกับฝน วันนี้ตอนเช้าก็ยังมีฝนตกปรอยๆ ทำให้ไปไหนไม่สะดวก ต้องรอให้ฝนซาก่อน เราจึงออกจากห้องพักไปเดินเที่ยวที่จุดชมวิว อากาศตอนนั้นหนาวมากประมาณ 20 องศา (แต่มีลมพัดยิ่งรู้สึกหนาว ><)
เดินไปประมาณ 500 เมตรก็จะถึงจุดชมวิวแรกคือ จุดชมวิวเนินกูดดอย ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว บรรยากาศดีมากๆ สูดกลิ่นอายของธรรมชาติได้เต็มปอด เพิ่งจะรู้สึกคุ้มค่าที่มาที่นี่ 555 หลังจากนั้นเราก็เดินไปจุดชมวิวเนินช้างเผือก และบ้านทาซานต่อ เสียดายที่วันนี้หมอกลงจัดมาก แทบจะไม่เห็นวิวอะไรเลย เราจึงเดินกินบรรยากาศสักพักก่อนกลับลงไปกินข้าวที่ร้านอาหาร


บ้านทาร์ซานราคา 1500 บาท/คืน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนที่เดินไปดูบ้านทาซาน โดนทากดูดเลือดเกาะที่เท้าด้วย และยังมีตัวคุ่นบินไปมา ต้องระวังกันนิดหนึ่งนะ
ก่อนจะออกจากอุทยานฯได้เจอกับเจ้าถิ่นก็คือเจ้านกเงือกนั่นเอง มันเชื่องมาก เกาะอยู่ที่ป้ายศูนย์บริการฯ และยังยอมให้ถ่ายรูปใกล้ๆด้วย

ถ่ายกับป้ายอุทยานก่อน เพราะขามาฝนตกหนักมาก

ออกมารอรถไปหมู่บ้านอีต่องที่หน้าอุทยานฯ ตอน 11 โมง รอไปจน เที่ยงครึ่งรถของพี่ท็อปก็มาถึงแต่!! รถเต็มไปด้วยผู้โดยสารทำให้เราสองคนไม่สามารถไปด้วยได้ จึงตัดสินใจที่จะโบกรถไปหมู่บ้าน เพราะไม่มั่นใจว่ารถสองแถวอีกคันที่จะมาตอนบ่ายสองจะเต็มหรือป่าว และในที่สุดเราก็ได้พบกับคุณลุงคุณป้าใจดี ช่วยพาพวกเราไปส่งที่หมู่บ้าน รู้สึกประทับใจ และดีใจมากๆ (เนื่องจากเป็นการโบกรถครั้งแรกของพวกเรานั่นเอง เย่~)

นั่งรถคุณลุงคุณป้ามาไม่นานก็ถึงหมู่บ้านอีต่อง ประมาณ 13.30 น. พอมาถึงก็รีบกระโดดลงจากรถ และไม่ลืมที่จะไปขอบคุณคุณลุงคุณป้าที่พามาส่ง เมื่อถึงหมู่บ้านก็ต้องพบกับสะพานที่เต็มไปด้วยแผ่นไม้ให้ความรู้สึกอยู่เกาหลีเลย บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยหมอก และอากาศเย็นกำลังดี เราไม่พลาดที่จะไปเขียนแผ่นไม้ราคา 20 บาท หาซื้อได้แถวๆสะพาน ตอนแรกคิดว่าจะไม่เขียนแผ่นไม้เพราะจะเป็นการทำลายสะพาน แต่คิดอีกทีสะพานนี้ก็เป็นแลนมาร์คอย่างหนึ่งของหมู่บ้าน จึงเขียนแผ่นไม้เพื่อให้แลนมาร์คนี้คงอยู่ให้เพื่อนๆได้มาเที่ยวชมต่อไป(รู้สึกสวยขึ้นมาทันที)


หลังจากตื่นเต้นกับบรรยากาศรอบตัวและหมู่บ้านแล้ว เราก็รีบไปหาที่พักเพื่อเก็บสัมภาระ พวกเราไม่ได้จองที่พักมาล่วงหน้า จึงทำให้หาที่พักยากมาก (แนะนำให้เพื่อนๆที่วางแผนจะมาเที่ยว จองที่พักกันก่อนมานะ) เดินหาที่พักสักพัก ก็พบกับมีชื่นโฮมสเตย์ เหลือห้องพักห้องเดียวพอดี จึงเข้าพักที่นี่ในราคา 600 บาท เป็นห้องไม่มีน้ำอุ่น เพราะห้องที่มีน้ำอุ่นเต็มแล้ว TT

พอเก็บของเรียบร้อยก็ไปหาข้าวกิน และพลาดไม่ได้กับโรตีบ้านฉันปิล็อก เจ้าดังอร่อยสุดในหมู่บ้าน (เพราะมีเจ้าเดียว 55555 ) หลังจากกินโรตีเพิ่มพลัง เราก็เดินไปเที่ยวที่เหมืองปิล็อก ที่ด้านในมีน้ำตกเล็กอยู่ไว้ถ่ายรูปอย่างเดียว ไม่สามารถลงเล่นได้ พอเดินต่อมาได้อีกสักพักก็พบกับป้ายบอกทางไปช่องทางมิตรภาพไทย-เมียนมาร์ ระยะทาง 2 กม. จากหมู่บ้าน เราจึงตัดสินใจเดินเท้ากันไปด้วยพลังโรตีที่เต็มเปี่ยม

เมื่อเดินมาได้สักพัก ก็ถึงเนินเสาธง เราก็เดินขึ้นไปดู ก็พบว่ามีแค่เสาธงของไทยและเมียนมาร์ ตามชื่อจริงๆ ไม่มีอะไรเลย และเราก็เดินต่อไปยังช่องทางมิตรภาพ ซึ่งเราคิดว่าโดยรวมระยะทางแล้วไม่น่าจะถึง 2 กม. ที่ช่องทางมิตรภาพนี้ลมพัดแรงมากๆ เพราะเป็นร่องเขา ตลอดทางฝนตกค่อนข้างหนัก เราเข้าไปถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึกเล็กน้อยก่อนกลับ เมื่อจะเดินกลับก็พบกับรถของพี่ท็อป บังเอิญจริงๆ เขาเลยให้เราติดรถกลับมาหมู่บ้านด้วย สบายไปอีก (มารู้ทีหลังว่าเขารับจ้างขับรถนำเที่ยวแบบเหมาในราคาย่อมเยาว์ น่าเสียดายมากๆ)

ผ่านป้ายนี้ลงไปก็เป็นพม่าแล้ว

พอกลับมาถึงหมู่บ้านก็กลับที่พักเพื่อพักผ่อนเล็กน้อยก่อนที่จะออกไปเดินเล่นที่หมู่บ้าน ตอนเย็นๆค่ำๆของหมู่บ้านคึกคักพอสมควร มีของกินหลากหลาย ก่อนจะกลับไปนอนพักเอาแรง พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า เพราะรถออกเที่ยวสุดท้ายตอน 8 โมงตรง!!

[เพิ่มเติม]
- ที่พักในหมู่บ้านส่วนใหญ่ราคาจะอยู่ในช่วง 800-1200 บาท
- หมู่บ้านอีต่องอยู่ห่างจากอุทยาน 8 กิโลเมตร ทางโค้งเยอะมาก จนได้ชื่อว่าเมืองปิล็อก 399 โค้ง (บ้านอีต่องอยู่ตำบลปิล็อก)
วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม 2561
วันสุดท้ายของทริปแล้ว เราตื่นกัน 7 โมงกว่า รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วมาขึ้นรถสองแถว อากาศเย็นสบาย เสียดายน่าจะมีเวลาเดินเล่นมากกว่านี้ เรานั่งรถสองแถวมาลงที่ตลาดทองผาภูมิ แล้วต่อรถบัสแอร์คนละ 110 บาท เพื่อไปลงที่บขส. (จะมารถตู้ก็ได้ แต่รอนานมาก พี่ท็อป นะนำให้ไปรถบัสดีกว่า) ประมาณเกือบ 3 ชม. เราก็มาถึงบขส. และต่อรถตู้มาลงที่สายใต้คนละ 100 บาท
สรุปค่าใช้จ่าย (ต่อคน)
*ค่าเดินทาง*
ขาไป
รถตู้สายใต้-กาญจนบุรี 100 บาท
รถตู้ไปทองผาภูมิ 115 บาท
รถสองแถวจากตลาดไปอุทยาน 70 บาท
ขากลับ
รถสองแถวจากอีต่องไปตลาด 70 บาท
รถบัสแอร์ไปบขส. 110 บาท
รถตู้สายใต้-กาญจนบุรี 100 บาท
รวม 565 บาท
*ค่าที่พัก*
ห้องพักรวม 6 คน 1200 บาท
ห้องพัก 2 คน 600 บาท
รวม 1800 บาท
*ค่าอาหาร*
อุทยาน (ราคาประมาณจานละ 45-100 บาท, กินไป 3 มื้อ) 190 บาท
อีต่อง (มีหลายราคามาก) 308 บาท
*อื่นๆ*
ค่าเข้าอุทยาน(รวมน้ำตกจ๊อกกระดิ่น) 40 บาท
จิปาถะ 227 บาท
สรุปค่าใช้จ่ายรวม 2230 บาท/คน
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ อยากให้เพื่อนๆลองไปสัมผัสบรรยากาศของทั้งที่หมู่บ้านและอุทยาน ถึงเส้นทางจะลำบากไปบ้าง แต่ความประทับใจมันมีมากมาย เชื่อว่าหลายๆคนที่ไปมาแล้วก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน ^^
[CR] ปิล็อก-ทองผาภูมิ เสน่ห์เมืองตะวันตก ทริป 3 วัน 2 คืน แบบไม่มีรถส่วนตัว
ทริปนี้เป็นแนวแบกเป้ ไม่มีรถ ไม่มีแผน(แต่ก็อ่านรีวิวมาบ้าง) ไม่ได้จองห้องพัก ไปตายเอาดาบหน้าสุดๆ 5555 ไปกัน 2 คน ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม - 5 สิงหาคม 2561 ( 3วัน 2 คืน ) รายละเอียดเรื่องค่าใช้จ่ายจะสรุปรวมให้ทีหลังน้าาา
วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561
5.30 น. เรามาถึงสายใต้ใหม่ ก็รีบไปขึ้นรถตู้กรุงเทพฯ-กาญจนบุรีด้วยความตื่นเต้น กลัวจะไปไม่ทัน(เพราะรถสองแถวที่ขึ้นอุทยานจะหมดตอน 11.30 น.) รถตู้ที่เราขึ้นออกจากท่าประมาณ 5.50 น. ใช้เวลาเดือนทางประมาณ 2 ชม. ค่าโดยสารคนละ 100 บาท
มาถึงบขส.กาญจนบุรีประมาณ 8 โมง ก็ไปขึ้นรถตู้เพื่อไปทองผาภูมิ ซึ่งท่ารถจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับบขส. (ไม่ใช่ท่ารถตู้ที่อยู่ติดบขส.นะ อันนั้นไปต่างจังหวัด ตอนแรกเราไปผิดทาง 5555) ค่ารถตู้คนละ 115 บาท พอขึ้นรถตู้ก็หลับปุ๋ยตามประสาคนนอนไป 2 ชม. Zzzz
10.30 น. เรามาถึงทองผาภูมิแล้วจ้าาา แดดกำลังดี ไม่ร้อนจนเกินไป เหมาะแก่การเดินไปท่ารถ หรือถ้าใครขี้เกียจก็นั่งวินไปก็ได้ ไม่ไกลมาก พวกเราไปแวะกินข้าวที่เซเว่น กับทำธุระที่ปั๊มน้ำมันระหว่างทางที่จะไปท่ารถสองแถว และในที่สุดเราก็ไปถึงตลาดซึ่งมีร้านอาหาร เราจึงคิดได้ว่าทำไมชั้นไม่มากินที่นี่ -*-
เมื่อเดินมาถึงตลาดจะมีท่ารถสองแถวสีเหลืองเขียนว่า ทองผาภูมิ-อุทยานแห่งชาติ-บ้านอีต่อง ( ขึ้นรถคันที่เขียนแบบนี้นะ เพราะรถสีเหลืองมันวิ่งไปหลายเส้นทาง เดี๋ยวจะขึ้นผิด )
รถสองแถวออกจากท่าประมาณ 11.30 น. คนเต็มรถ(แต่ก็ยังไม่เยอะเท่าของต่างๆ555)เพราะมีชาวบ้านขึ้นมาด้วย ค่ารถคนละ 70 บาท ระหว่างทางพี่ท็อปจอดรถให้กินข้าว...พวกเรานั่นรถมาสักพักก่อนจะลงไปดูจุดชมวิว แต่ก็ดูได้แป้ปเดียว เพราะฝนตกหนักและหนาวมาก
และในที่สุดเราก็ถึงอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิตอนเกือบบ่ายสอง!! ฝนยิ่งตกหนักกว่าเดิม ดีนะที่เอาเสื้อกันฝนมา หลังจากที่เราจ่ายเงินค่าเข้าอุทยานคนละ 40 บาทก็เดินไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อไปจองห้องพัก พี่ผู้หญิงเจ้าหน้าที่แนะนำให้พักที่บ้านผาภูมิ1 เพราะห้องพัก 2 คนอยู่ไกล และช่วงนี้มีดินสไลด์อาจเกิดอุบัติเหตุได้ และบ้านผาภูมิอยู่ใกล้กับศูนย์บริการฯและร้านอาหาร ดูจะสะดวกกว่าบ้านพักหลังอื่นๆที่ต้องเข้าไปลึก ค่าห้องพักคืนละ 1200 บาท ( เป็นห้องพักแบบนอน 6 คน ) ที่นี่เปิดปิดไฟตามเวลาคือ 18.00 -20.30 น. ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น น้ำเย็นสะใจมากกกก พอเข้าไปเก็บของเสร็จพวกเราก็มากินข้าวที่ร้านอาหาร ตอนแรกก็ดูเหมือนไม่มีใครอยู่เลย แต่พอเดินเข้าไปในร้านก็เจอแม่ครัว เราเลยสั่งข้าวมากิน เรามารู้ทีหลังว่าต้องกระตุกเชือกเรียกแม่ครัวออกมาเพื่อสั่งอาหาร(แต่เราก็ไม่กระตุกอยู่ดี 555) เราสั่งอาหารไปกินตอนเย็นด้วยเพราะร้านปิด 5 โมง อ้อ ลืมบอกไป ใกล้ๆร้านอาหารมีร้านสวัสดิการด้วยนะ พี่เจ้าหน้าที่บอกปิด 5 โมง แต่ทุกครั้งที่เราไปคือปิดตลอด 5555555
จบวันที่ 1 พวกเราไม่ได้ไปไหนแล้วเพราะฝนตกหนักมาก
[เพิ่มเติม]
- อย่าคาดหวังกับร้านสวัสดิการมาก มันไม่ค่อยมีอะไร
- ควรมีร่มหรือเสื้อกันฝน รวมไปถึงเสื้อกันหนาวด้วยนะ ถ้าจะมาฤดูนี้
- บัตรเข้าอุทยานรวมค่าเข้าน้ำตกจ๊อกกระดิ่น (อยู่ห่างจากอุทยาน 5 กิโลเมตร)
วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม 2561
เริ่มวันใหม่พร้อมกับฝน วันนี้ตอนเช้าก็ยังมีฝนตกปรอยๆ ทำให้ไปไหนไม่สะดวก ต้องรอให้ฝนซาก่อน เราจึงออกจากห้องพักไปเดินเที่ยวที่จุดชมวิว อากาศตอนนั้นหนาวมากประมาณ 20 องศา (แต่มีลมพัดยิ่งรู้สึกหนาว ><)
เดินไปประมาณ 500 เมตรก็จะถึงจุดชมวิวแรกคือ จุดชมวิวเนินกูดดอย ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว บรรยากาศดีมากๆ สูดกลิ่นอายของธรรมชาติได้เต็มปอด เพิ่งจะรู้สึกคุ้มค่าที่มาที่นี่ 555 หลังจากนั้นเราก็เดินไปจุดชมวิวเนินช้างเผือก และบ้านทาซานต่อ เสียดายที่วันนี้หมอกลงจัดมาก แทบจะไม่เห็นวิวอะไรเลย เราจึงเดินกินบรรยากาศสักพักก่อนกลับลงไปกินข้าวที่ร้านอาหาร
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ก่อนจะออกจากอุทยานฯได้เจอกับเจ้าถิ่นก็คือเจ้านกเงือกนั่นเอง มันเชื่องมาก เกาะอยู่ที่ป้ายศูนย์บริการฯ และยังยอมให้ถ่ายรูปใกล้ๆด้วย
ถ่ายกับป้ายอุทยานก่อน เพราะขามาฝนตกหนักมาก
นั่งรถคุณลุงคุณป้ามาไม่นานก็ถึงหมู่บ้านอีต่อง ประมาณ 13.30 น. พอมาถึงก็รีบกระโดดลงจากรถ และไม่ลืมที่จะไปขอบคุณคุณลุงคุณป้าที่พามาส่ง เมื่อถึงหมู่บ้านก็ต้องพบกับสะพานที่เต็มไปด้วยแผ่นไม้ให้ความรู้สึกอยู่เกาหลีเลย บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยหมอก และอากาศเย็นกำลังดี เราไม่พลาดที่จะไปเขียนแผ่นไม้ราคา 20 บาท หาซื้อได้แถวๆสะพาน ตอนแรกคิดว่าจะไม่เขียนแผ่นไม้เพราะจะเป็นการทำลายสะพาน แต่คิดอีกทีสะพานนี้ก็เป็นแลนมาร์คอย่างหนึ่งของหมู่บ้าน จึงเขียนแผ่นไม้เพื่อให้แลนมาร์คนี้คงอยู่ให้เพื่อนๆได้มาเที่ยวชมต่อไป(รู้สึกสวยขึ้นมาทันที)
หลังจากตื่นเต้นกับบรรยากาศรอบตัวและหมู่บ้านแล้ว เราก็รีบไปหาที่พักเพื่อเก็บสัมภาระ พวกเราไม่ได้จองที่พักมาล่วงหน้า จึงทำให้หาที่พักยากมาก (แนะนำให้เพื่อนๆที่วางแผนจะมาเที่ยว จองที่พักกันก่อนมานะ) เดินหาที่พักสักพัก ก็พบกับมีชื่นโฮมสเตย์ เหลือห้องพักห้องเดียวพอดี จึงเข้าพักที่นี่ในราคา 600 บาท เป็นห้องไม่มีน้ำอุ่น เพราะห้องที่มีน้ำอุ่นเต็มแล้ว TT
พอเก็บของเรียบร้อยก็ไปหาข้าวกิน และพลาดไม่ได้กับโรตีบ้านฉันปิล็อก เจ้าดังอร่อยสุดในหมู่บ้าน (เพราะมีเจ้าเดียว 55555 ) หลังจากกินโรตีเพิ่มพลัง เราก็เดินไปเที่ยวที่เหมืองปิล็อก ที่ด้านในมีน้ำตกเล็กอยู่ไว้ถ่ายรูปอย่างเดียว ไม่สามารถลงเล่นได้ พอเดินต่อมาได้อีกสักพักก็พบกับป้ายบอกทางไปช่องทางมิตรภาพไทย-เมียนมาร์ ระยะทาง 2 กม. จากหมู่บ้าน เราจึงตัดสินใจเดินเท้ากันไปด้วยพลังโรตีที่เต็มเปี่ยม
เมื่อเดินมาได้สักพัก ก็ถึงเนินเสาธง เราก็เดินขึ้นไปดู ก็พบว่ามีแค่เสาธงของไทยและเมียนมาร์ ตามชื่อจริงๆ ไม่มีอะไรเลย และเราก็เดินต่อไปยังช่องทางมิตรภาพ ซึ่งเราคิดว่าโดยรวมระยะทางแล้วไม่น่าจะถึง 2 กม. ที่ช่องทางมิตรภาพนี้ลมพัดแรงมากๆ เพราะเป็นร่องเขา ตลอดทางฝนตกค่อนข้างหนัก เราเข้าไปถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึกเล็กน้อยก่อนกลับ เมื่อจะเดินกลับก็พบกับรถของพี่ท็อป บังเอิญจริงๆ เขาเลยให้เราติดรถกลับมาหมู่บ้านด้วย สบายไปอีก (มารู้ทีหลังว่าเขารับจ้างขับรถนำเที่ยวแบบเหมาในราคาย่อมเยาว์ น่าเสียดายมากๆ)
พอกลับมาถึงหมู่บ้านก็กลับที่พักเพื่อพักผ่อนเล็กน้อยก่อนที่จะออกไปเดินเล่นที่หมู่บ้าน ตอนเย็นๆค่ำๆของหมู่บ้านคึกคักพอสมควร มีของกินหลากหลาย ก่อนจะกลับไปนอนพักเอาแรง พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า เพราะรถออกเที่ยวสุดท้ายตอน 8 โมงตรง!!
[เพิ่มเติม]
- ที่พักในหมู่บ้านส่วนใหญ่ราคาจะอยู่ในช่วง 800-1200 บาท
- หมู่บ้านอีต่องอยู่ห่างจากอุทยาน 8 กิโลเมตร ทางโค้งเยอะมาก จนได้ชื่อว่าเมืองปิล็อก 399 โค้ง (บ้านอีต่องอยู่ตำบลปิล็อก)
วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม 2561
วันสุดท้ายของทริปแล้ว เราตื่นกัน 7 โมงกว่า รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วมาขึ้นรถสองแถว อากาศเย็นสบาย เสียดายน่าจะมีเวลาเดินเล่นมากกว่านี้ เรานั่งรถสองแถวมาลงที่ตลาดทองผาภูมิ แล้วต่อรถบัสแอร์คนละ 110 บาท เพื่อไปลงที่บขส. (จะมารถตู้ก็ได้ แต่รอนานมาก พี่ท็อป นะนำให้ไปรถบัสดีกว่า) ประมาณเกือบ 3 ชม. เราก็มาถึงบขส. และต่อรถตู้มาลงที่สายใต้คนละ 100 บาท
สรุปค่าใช้จ่าย (ต่อคน)
*ค่าเดินทาง*
ขาไป
รถตู้สายใต้-กาญจนบุรี 100 บาท
รถตู้ไปทองผาภูมิ 115 บาท
รถสองแถวจากตลาดไปอุทยาน 70 บาท
ขากลับ
รถสองแถวจากอีต่องไปตลาด 70 บาท
รถบัสแอร์ไปบขส. 110 บาท
รถตู้สายใต้-กาญจนบุรี 100 บาท
รวม 565 บาท
*ค่าที่พัก*
ห้องพักรวม 6 คน 1200 บาท
ห้องพัก 2 คน 600 บาท
รวม 1800 บาท
*ค่าอาหาร*
อุทยาน (ราคาประมาณจานละ 45-100 บาท, กินไป 3 มื้อ) 190 บาท
อีต่อง (มีหลายราคามาก) 308 บาท
*อื่นๆ*
ค่าเข้าอุทยาน(รวมน้ำตกจ๊อกกระดิ่น) 40 บาท
จิปาถะ 227 บาท
สรุปค่าใช้จ่ายรวม 2230 บาท/คน
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ อยากให้เพื่อนๆลองไปสัมผัสบรรยากาศของทั้งที่หมู่บ้านและอุทยาน ถึงเส้นทางจะลำบากไปบ้าง แต่ความประทับใจมันมีมากมาย เชื่อว่าหลายๆคนที่ไปมาแล้วก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน ^^
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้