บ้าน.

บ้าน

ผมเริ่มเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่กลางเดือนมกราตอนที่เดินทางไปต่างประเทศ แต่เขียนเท่าไหร่ก็ไม่จบซักทีครับ จนผมต้องกลับมาเริ่มเขียนใหม่ตั้งแต่ต้นเพื่อถามตัวเองว่าทำไมผมถึงเขียนเรื่องราวนี้ขึ้นมาครับ แล้วผมก็ได้รู้ว่าที่ผมเขียนไม่จบซักทีเพราะว่าเรื่องราวนี้สำหรับผมมันเริ่มต้นด้วยคำถามและก็เต็มไปด้วยคำถามครับ งั้นลองเริ่มอ่านกันแบบงงๆแล้วกันนะครับ

ก่อนอื่นผมคงต้องเริ่มเล่าถึงเรื่องทางกายภาพของหมู่บ้าน shayla อีกทีแล้วกันนะครับ

หมู่บ้าน shayla อยู่ในพื้นที่ของภูเขาหิมาลัยย่านที่ชื่อว่า โมนาสลู มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 4000 เมตร น่าจะระดับเดียวกับ base camp ครับ แค่อยู่คนละย่านกัน (ความสูงระดับนี้ถ้าคนที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงมักจะมีอาการ Attitude sick ครับ โชคดีที่ผมไม่เป็น) มีอากาศหนาวเย็นตลอดปีครับ ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงที่อากาศอบอุ่นที่สุดนะครับ อุณหภูมิตอนกลางวันอยู่ประมาณ 0 องศาครับ ตอนกลางคืนก็เย็นกว่านั้นนิดหน่อยครับ ส่วนช่วงที่หนาวที่สุดน่าจะอุณหภูมิต่ำกว่า -30 องศาครับและมีพายุหิมะตลอดเวลาครับ ที่สำคัญคือไม่มีไฟฟ้าและฟืนหายากครับเพราะว่าความชื้นค่อนข้างสูงครับ ถามว่าหนาวขนาดไหนหรอครับ ในช่วงที่ร้อนที่สุดของที่นี่ตอนที่ผมไปอุณหภูมิ 0 องศาอาจจะดูไม่เท่าไหร่ครับ เพราะผมคิดว่าผมไปที่ที่หนาวกว่านี้มากๆมาแล้วครับ (สำหรับคนที่ตัวใหญ่และแข็งแรงเหมือนหมีแบบผม สบายอยู่ละ) แต่จริงๆแล้วพอมันไม่มีระบบทำความร้อนมาช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายในช่วงพัก มันเหมือนการแช่ผักในตู้เย็นน่ะครับคือมันจะค่อยๆเย็นไปเรื่อยๆจนผมรู้สึกหนาวเข้าไปถึงกระดูกเลยครับ สิ่งที่ช่วยได้คือการดื่มนมจามรีอุ่นๆน่ะครับอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่เอาความร้อนเข้าร่างกายครับ ทุกครั้งที่ผมออกไปเล่นบาสหรือเตะบอลกับเด็กๆต้องกับมานอนเป็นตะคริวเลยครับ เราคงไม่ต้องบรรยายถึงช่วงหนาวเลยทีเดียว

หมู่บ้าน shayla น่าจะมีประชากรประมาณ 500 คนครับ ส่วนใหญ่ใช้ภาษาทิเบตผสมกับเนปาล อาชีพหลักคือการเก็บของป่าไปขายครับ อย่างพวกเกลือหิมาลัย แอบเปิ้ลหิมาลัย สมุนไพรต่างๆ บ้านเรือนของที่นี่ส่วนใหญ่จะถูกสร้างจากหินครับ เค้าจะทำการเจียหินให้เป็นเหลี่ยมๆแล้วต่อกันเหมือนเลโก้ครับ โดยไม่มีอะไรประสานครับ แล้วก็ใช้ไม้นิดหน่อยเพื่อทำหลังคาครับ เวลาเข้าไปในบ้านก็หนาวพอๆกับข้างนอกแหละครับเพราะมันมีรูเต็มไปหมด ถามว่าทำไมถึงทำอย่างงี้น่ะหรอครับก็เพราะว่ามันอยู่บนแนวแผ่นดินไหวไงครับ เวลาแผ่นดินไหวบ้านก็จะพัง พอหยุดเค้าก็แค่ต่อมันใหม่ เหมือนเล่นเลโก้กันทุกๆปี (สายๆที่เห็นในรูปเป็นสายจาก solar cell ที่เอาขึ้นไปนะครับ ซึ่งพอใช้แค่เป็นแสงสว่างนิดหน่อยครับ)

ตอนผมเดินทางขึ้นไปผมใช้ฮอขึ้นไปครับใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆครับ (ที่จริงตอนไปฮอผมต้องลงฉุกเฉินด้วยครับ แต่เดี๋ยววันหลังจะเอามาเล่านะครับ) ของที่ขนขึ้นไปก็จะเป็นพวกของเบาๆครับ ส่วนการขนของหนักๆจะใช้สัตว์พวกลาหรือจามรีในการขนครับ ใช้เวลาในการเดินทางจากกาฐมาณฑุเมืองหลวงของเนปาลประมาณ 10 วันครับ  ถ้าเป็นคนบนภูเขาทั่วๆไปจะใช้เวลาในการเดือนขึ้นเดินลงประมาณเกือบเดือนนึงครับ (นี่แหละครับคือที่มาของคำถามหลักของเรื่องนี้ของผม)

ตอนที่ผมไปครั้งแรกในคืนก่อนขึ้นไปบนเขา ผมพักอยู่ที่โรงแรมแถวๆมหาเจดีย์โพธินัท ในกาฐมาณฑุ (เจดีย์ที่ dr.strange มาฝึกวิชานั่นแหละครับ) ตอนกลางคืนผมได้นั่งคุยกัยคุณแจ็คเพื่อนชาวไต้หวันคนที่ชวนผมไปนี่แหละครับ(สำหรับผมคุณแจ็คเป็นคนที่มีเรื่องราวในชีวิตที่น่าตื่นเต้นที่สุดที่ผมเคยรู้จักครับ) เรานั่งคุยกันไป กินน้ำชา ดูเจดีย์กันไป ผมก็ถามคุณแจ็คเกี่ยวกับเรื่องของหมู่บ้าน shayla มาจนถึงเรื่องการใช้ชีวิตของคนบนในในช่วงหน้าหนาวที่บนเขา คุณแจ็คตอบว่าเค้าก็เคยสงสัยเรื่องนี้เหมือนกันเค้าเลยถามชาวบ้านและได้คำตอบว่าในช่วงหนาวคนบนเขาจะอพยพลงมาอยู่ที่พื้นราบแล้วก็หางานเล็กๆน้อยๆทำครับ รอเวลาที่พายุหิมะหยุดแล้วค่อยกลับขึ้นไปใหม่ คำถามที่เกิดขึ้นในหัวผมทันทีเลยครับ คือทำไมเค้าถึงไม่ลงมาอยู่ข้างล่างกันเลยล่ะ ไม่ต้องลำบากด้วย คำตอบที่ผมได้เป็นคำตอบที่สร้างความสับสนให้ผมมากขึ้นไปอีก เพราะคุณแจ็คตอบผมว่าเค้าก็เคยถามคำถามเดียวกับผมนี่แหละกับชาวบ้าน แต่เค้าบอกว่าให้ผมลองขึ้นไปก่อนแล้วผมก็จะรู้เอง

ผมเดินทางขึ้นไปที่หมู่บ้าน shayla ในวันรุ่งขึ้นและเที่ยวเล่นอย่างสนุกสนานอยู่หลายวัน การเที่ยวเล่นของผมหลากหลายมากครับเช่นการตื่นเช้ามาดูยอดเขาโมนาสลู ซึ่งจะกลายเป็นสีทองตอนพระอาทิตย์ขึ้นครับเป็นอยู่ประมาณ 4-5 นาที แล้วก็จะกลายเป็นสีเงินอีก 4-5 นาที แล้วค่อยกลายเป็นภูเขาหิมะที่เราเห็นทั่วๆไป เป็นภาพที่สุดยอดมากครับที่ได้เห็นเทือกเขาขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตากลายเป็นสีทองทั้งเทือกเขา หรือการเดินเล่นไปดูน้ำตกที่ผุดขึ้นมาจากดินที่บนนั้นเค้าเรียกกันว่าน้ำอมฤต (เรียกแบบนี้จริงๆครับ) โดยผมชื่อว่ามันจะไปรวมกับน้ำผุดอื่นๆบนเทือกเขาหิมาลัยแล้วกลายเป็นหนึ่งในแม่น้ำสายหลักของโลกครับ (แม่น้ำสายหลักๆของโลกมีจุดกำเนิดจากบนนี้เยอะมากครับ) หรือการไปเดินเล่นบนสะพานเชือกที่ใช้ข้ามระหว่างหุบเขา เหมือนภาพถ่ายสุดคลาสิคที่มีลาดินบนสะพานเชือกของ national geographic เป็นต้นครับ

การที่ผมขึ้นไปบนนั้นนอกจากการเอาของขึ้นไปให้เค้าแล้ว ตัวผมก็พอมีประโยชน์อีกนิดหน่อยคือการไปสอนเด็กๆเล่นกีฬา (ที่จริงผมก็แค่อยากเล่นสนุกแหละครับ) กับตอนเจอเหตุการณ์ที่มีเด็กในโรงเรียนไม่สบาย ผมก็เลยไปจัดยาที่เอาขึ้นมาให้เค้า แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้วผมก็เลยทำตัวเป็นหมอปลอมๆแจกยาแล้วก็ทำแผลให้กับพวกเด็กๆและคนในหมู่บ้านซะเลย แต่ผมก็มีคำถามต่อไปว่าถ้ายาที่เค้ามีหมดหรือยาไม่ครอบคลุมโรคที่เป็นอยู่จะทำยังไง คุณแจ็คเลยเชิญหัวหน้าลามะของหมู่บ้าน (หัวหน้าลามะของหมู่บ้านเป็นน้องชายของ songnam rinpoche ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ในศาสนาพุทธนิกายวัชรญาณของดาไลลามะนั่นแหละครับ โดยปกติท่านจะประจำอยู่ที่ไต้หวัน)มาคุยให้ผมฟังว่า ในกรณีที่เกิดการขาดแคลนยาหรือของจำเป็น ลามะจะเดินเท้าลงไปในเมืองกาฐมาณฑุเพื่อซื้อของเหล่านั้น โดยการเดินทางหนึ่งรอบใช้เวลา 7-10 วันขึ้นอยู่กับสภาพอากาศครับ ซึ่งเดินกันปีละหลายครั้งเลยหละครับ(ชาวบ้านทั่วไปจะใช้เวลาเดินประมาณเดือนนึงครับ ซึ่งผมชื่อโดยสนิทใจครับ เพราะผมเคยเห็นลามะตอนไปเดินเล่นกัน ลามะเดินเร็วมาก)

ผมเกิดคำถามขึ้นมาในหัวทันทีเลยครับ ผมก็เลยถามลามะ (ผ่านการแปลของคุณแจ็คอ่ะนะครับ) ออกไปว่าทำไมลามะถึงไม่ย้ายไปอยู่กับท่าน rinpoche ที่ไต้หวันล่ะครับ จะมาทนลำบากอยู่ทำไม ลามะตอบผมด้วยคำตอบสั้นๆว่า "เพราะที่นี่คือบ้าน"

คืนนั้นตอนที่ผมนั่งกินข้าวแล้วก็นั่งคุยเล่นกับคุณแจ็ค ผมเลยถามว่าคำถามที่ผมเคยถามคุณแจ็คตอนอยู่ที่เจดีย์โพธินัท เป็นคำตอบเดียวกันกับที่ลามะตอบผมใช่ไหม คุณแจ็คก็บอกว่าใช่ คืนนั้นผมนั่งคิดถึงภาพของทัศนีภาพที่สวยที่สุดที่หนึ่งที่ผมเคยเห็น ความมีน้ำใจและบริสุทธิของผู้คนที่นี่ ที่ยังคงรักษาวิธีชิวิตแบบที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติแบบที่ยังไม่ถูกวัฒนธรรมแบบเมืองเปลี่ยนแปลงมากนัก แล้วผมก็ได้คำตอบแบบนึงให้กับตัวเองครับ

สำหรับคนบ้าการ์ตูนแบบผม ผมอาจจะบอกว่าเหมือนที่โอดินบอกกับทอร์ว่าแอสการ์ดไม่ใช่เมืองหรือปราสาทราชวังแต่แอสการ์ดคือผู้คน

สำหรับผม "บ้าน" ไม่ใช่สถานที่ที่สุขสบายที่สุด ไม่ใช่ที่ๆเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก แต่"บ้าน" คือที่ที่อยู่แล้วมีความสุข มีผู้คนที่ผมรักและผูกพันธ์ครับ

ขอบคุณที่อ่านครับ

s.munin
27/1/18

ปล.ผมกำลังจะทำกิจกรรมแบบใหม่ๆเกี่ยวกับการเขียนของผมนะครับ ถ้าใครว่างก็เข้ามาอ่านเล่นได้นะครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่