1.

.
1. คนงานในโรงงานผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์
ที่ National Shell Filling Factory No.6,
ที่ Chilwell แคว้น Nottinghamshire 1917
Ⓒ Imperial War Museum
.
.
บทบาทสตรีที่ร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1
เป็นเรื่องราวที่รู้จักกันดีและน่าชื่นชม
เพราะในขณะที่บุรุษไปมุ่งหน้าไปยัง
แนวรบที่ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม
เพื่อทำการสู้รบ/ยันกองทัพปรัสเซีย(เยอรมันนี)
สตรีหลายคนต้องกลายเป็นแม่ม่าย
เพราะสามีเสียชีวิตในการรบ
บางครอบครัวสูญเสียพ่อพี่ชายน้องชาย
Birmingham University
ได้แปรสภาพเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่
มีนางพยาบาลหลายร้อยคนดูแล
คนเจ็บมากกว่า 64,000 ราย
ตำแหน่งงานต่าง ๆ ภายในโรงงาน
ก็ขาดแคลนกำลังแรงงาน
ทำให้สตรีต้องเข้าไปทำงานทดแทน
และทำงานในโรงงานอย่างรวดเร็ว
มีผลทำให้โรงงานแต่ละแห่งเต็มไปด้วยสตรี
สตรีทำงานในสายการผลิต ขับรถบรรทุก
เป็นนางพยาบาล ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกัน
การโจมตีทางอากาศ ทำงานด้านการสื่อสาร
ทำหน้าที่ประมวลข่าวกรอง และทำหน้าที่อื่น ๆ
อีกหลายร้อยหน้าที่ ซึ่งเป็นภารกิจที่สำคัญ
อย่างมากในการทำสงครามกับศัตรู
แต่อีกบทบาทหน้าที่ที่สำคัญอย่างหนึ่งของสตรี
คือ เพื่อให้แน่ใจว่าทหารในแนวหน้า
มีอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างเพียงพอ
ตั้งแต่ สงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เริ่มปะทุขึ้นมา
อังกฤษประสบปัญหาอย่างมาก
ในการผลิตอาวุธและกระสุนจำนวนมาก
ตามคำสั่งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ
หลังจากที่ฝ่ายค้านในรัฐสภา
ได้อภิปรายโจมตีการทำงานของรัฐบาล
และสื่อมวลชนได้กระจายข่าวเรื่องนี้
Shell crises of 1915
รัฐบาลอังกฤษจึงได้ประกาศพระราชบัญญัติ Munitions of War Act 1915
กระทรวงยุทโธปกรณ์ ที่มีการตั้งขึ้นมาใหม่
David Lloyd George เป็นรัฐมนตรีคนแรก
กฎหมายเกี่ยวกับอาวุธยุทธภัณฑ์
มีผลบังคับใช้ทันทีในวันที่ประกาศ
ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มการกำกับดูแลของรัฐบาล
และใช้บังคับแทนกฎหมาย/กฎระเบียบ
ของโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศ
โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลผลิต
อาวุธยุทโธปกรณ์ให้มากที่สุด
.
2.

.
.
บริษัทเอกชนที่ทำหน้าที่ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์
รวมทั้งโรงงานผลิตอาวุธยุทธภัณฑ์ของรัฐ
จึงถูกจัดตั้งขึ้นมา พร้อมกับระดมพล
เรียกสตรีให้มาลงทะเบียนเพื่อเข้าทำงาน
แรงงานฝีมือได้รับค่าจ้างอัตราเท่ากับผู้ชาย
เมื่อสิ้นสุดสงครามแล้ว
มีจำนวนสถานประกอบการ
ของเอกชน 4,285 แห่งที่ควบคุมโดยรัฐ
และของรัฐจัดตั้งเอง 103 แห่ง
โรงงานเหล่านี้กระจายไปทั่วทั้งอังกฤษ
ทั้งในลอนดอนเขตตะวันออกและกลาสโกว์
โดยมีสตรีทำงานอยู่ถึงเกือบ 1,000,000 คน
ค่าจ้างแรงงาน ชั่วโมงการทำงาน
และเงื่อนไขการทำงาน ได้รับการควบคุม
ตามกฎหมายฉบับใหม่ทั้งหมด
การนัดหยุดงานเป็นเรื่องต้องห้ามโดยเด็ดขาด
คนงานทุกคนถูกห้ามไม่ให้ลาออกจากงาน
โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนายจ้าง
พระราชบัญญัตินี้ยังบังคับให้ใช้กับ
ทุกโรงงานที่จ้างสตรีทั่วประเทศด้วย
เพราะผลจากการทำสงครามโลกครั้งที่ 1
จึงขาดแคลนชายฉกรรจ์ซึ่งส่วนใหญ่
ในปี 1915
รัฐบาลไม่เพียงแต่สร้างโรงงาน
ยังสร้างชุมชนที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก
ที่ Gretna และ Eastriggs
บัานพักและแฟลตถูกสร้างขึ้น
สำหรับพนักงานและคู่สมรส
ซึ่งมีมาตรฐานสูงจนใช้งานได้จนถึงทุกวันนี้
ใกล้กับโรงงานมีการสร้างค่ายทหาร
และสร้างเลียนแบบกระท่อม 85 หลัง
เป็นร้านค้าสวัสดิการของสตรีทำงาน เช่น
ร้านอาหาร ร้านขนมปัง อาคารสันทนาการ โบสถ์
รางรถไฟที่สร้างขึ้นใหม่ระยะทางยาว 9 ไมล์
คนงานสตรีชาวไอริช
มากกว่า 30,000 คนที่นำเข้ามา
ส่วนใหญ่ทำงานก่อสร้างอาคารสถานที่ต่าง ๆ
ซึ่งเสร็จสมบูรณ์ในช่วงกลางปี 1916
ซึ่งเป็นผลงงานที่น่าทึ่งมากในการก่อสร้าง
โดยรัฐบาลใช้จ่ายไป 5 ล้านปอนด์
ในปี 1917
โรงงาน HM Factory ที่ Gretna
ผลิตชนวนระเบิดได้ 800 ตัน/สัปดาห์
มากกว่าทุกโรงงานที่ผลิตชนวนระเบิดรวมกัน
ในขณะที่สตรีทำงาน
ในสายการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์
ต่างต้องแบกรับกับความกล้าหาญในการทำงาน
เพราะมีภยันตรายที่คอยคุกคามอยู่
โรงงานผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์
มักจะตกเป็นเป้าหมายหลัก
ในการโจมตีทางอากาศจากศัตรู
ด้วยการใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดใส่เป็นประจำ
ทั้งยังเสี่ยงจากการระเบิดขึ้นเองภายในโรงงาน
Nancy Evans รำลึกถึงตอนทำงานที่
โรงงาน Rotherwas ใน Herefordshire
" เราต่างเหมือนนกขมิ้น
เราต่างมีสีเหลืองตามผิวหนัง
ผมก็เปลี่ยนเป็นสีบรอนซ์
ยกเว้นตรงกลางกระหม่อม
ที่ผมยังเป็นสีเดิม "
Dr Helen McCartney
ที่ King's College London ระบุว่า
คนงานสตรีบางคนคลอดบุตรสีเหลืองสดใส
Gladys Sangster ซึ่งแม่เธอทำงาน
ที่โรงงาน National Filling Factory Number 9
ใกล้ Banbury Oxford คือ
เด็กสีเหลืองคนหนึ่งในนั้น
ได้ให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่า
" ฉันเกิดตอนช่วงมีสงคราม
และผิวของฉันเป็นสีเหลือง
นั่นทำให้พวกเขาเรียกพวกเราว่า
ทารกนกขมิ้น Canary Babies
ทารกเกือบทุกคนที่เกิดมามีสีเหลือง
แต่ตอนโตขึ้นก็จางหายไป
แม่ฉันบอกว่า เธอได้รับมันมาเป็นของขวัญ
มันเคยเกิดขึ้นและนั่นคือเรื่องราวคราก่อน "
Amy Dale นักวิจัยให้สัมภาษณ์กับ BBC
" ในโรงงานเหล่านี้ พวกเธอจะได้รับ
ปลอกกระสุน/ปลอกลูกระเบิด
แล้วเติมผงเคมีที่จุดฉชนวน/ผงระเบิดลงไป
พร้อมกับปิดปลอกระเบิดด้านบน
ด้วยการเคาะฝาปิดลงไป
ถ้าเคาะแรงเกินไป เกิดผิดพลาดขึ้นมา
มันก็จะเกิดการระเบิดขึ้นมาทันที
เรื่องแบบนี้ มันเคยเกิดขึ้นกับ
สตรีคนหนึ่งที่กำลังตั้งครรภ์ในเวลานั้น
ทำให้เธอต้องตาบอด/สูญเสียมือทั้งสองข้าง "
.
3.

.
2. สตรีอาวุธยุทโธปกรณ์ 2 ราย
กำลังยืนทำงานข้างปลอกลูกระเบิด
ที่ National Shell Filling Factory No.6
เมือง Chillwell แคว้น Nottinghamshire
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
Ⓒ Imperial War Museum
.
.
ทั้งนี้ ยังมีคำสั่งห้ามใช้ผ้าไหม
เนื่องจากวัสดุเหล่านี้จะสร้างไฟฟ้าสถิตย์
สามารถสร้างประกายไฟที่อาจจะ
ทำให้เกิดการระเบิดขึ้นมาได้
สตรีทุกคนจะถูกตรวจค้น
และคัดกรองก่อนเข้าทำงานทุกวัน
ทุกคนจะต้องฝากเสื้อผ้าต้องห้าม
ข้าวของเครื่องใช้ที่มีโลหะไว้ก่อนเข้าทำงาน
รวมทั้งยกทรงที่มีเข็มกลัดเป็นโลหะ
และปิ่นปักผมโลหะทุกชนิด
ถ้าเกิดตรวจพบจะถูกปรับเงิน 6 เพนนี
อุบัติเหตุครั้งย่อย ๆ ที่เกิดขึ้น
จากการระเบิดกลายเป็นเรื่องปกติ
ทำให้คนงานสตรีตายหรือบาดเจ็บ
เป็นจำนวนมากในแต่ละครั้ง
มีการระเบิดครั้งรุนแรงที่เกิดขึ้น
อย่างน้อย 3 ครั้งในช่วงนี้
ทำให้มีคนตายมากกว่า 300 คน
และบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน
อันตรายในการทำงานในโรงงานผลิตอาวุธ
ยังมีอีกอย่างคือ การได้รับสารเคมี
ที่เป็นพิษอย่างต่อเนื่องทุก ๆ วัน
สตรีหลายคนต้องทำงานอยู่กับ
Trinitrotoluene (TNT)
ซึ่งใช้ในการผลิตวัตถุระเบิดและชนวนระเบิด
เพื่อใช้ในการทำลูกกระสุนปืนและลูกระเบิด
เมื่อชนวนถูกจุดให้ลุกไหม้ขึ้นมา
ก็จะปลดปล่อยก๊าซที่ขยายตัว
ทำหน้าที่ขับเคลื่อนหัวกระสุนปืน
หรือทำให้ปลอกหุ้มระเบิดฉีกขาดออกจากกัน
การผลิตทั้ง TNT และ ชนวนจุดระเบิด
ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับสารกัดกร่อน
เช่น กรดซัลฟิวริก
sulfuric และกรดไนตริก
nitric
ควันจากกรดเหล่านี้ มีผลทำให้ผิวหนังและผม
ของสตรีหลาย ๆ คน กลายเป็นสีเหลือง
ทำให้พวกเธอได้ชื่อเล่นว่า
สตรีนกขมิ้น Canary Girls
.
4.

.
3. กรรมกรสตรีทำงานที่ห้อง
Finishing Room No. 14
National Filling Factory Hereford
Ⓒ Imperial War Museum
.
.
ที่โรงงาน HM Factory
ในเมือง Gretna ทางตอนใต้ของสกอตแลนด์
ผลิตชนวนระเบิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานั้น
มีการจ้างตรีทำงานมากกว่า 12,000 ราย
ทำให้พวกเธอมีชื่อเล่นว่า
Female munitionettes สตรีอาวุธยุทโธปกรณ์
พวกเธอบางคนมีหน้าที่
กวนสารเคมีด้วยมือเปล่าในถังขนาดใหญ่
การทำงานที่เสี่ยงตายอย่างยิ่งนี้
สารเคมีนี้จึงมีการขนานนามว่า
ข้าวโอ้ตปีศาจ Devil's Porridge
โดยผู้ตั้งชื่อให้คือ
Sir Arthur Conan Doyle
ผู้เขียนนวนิยายชุด Sherlock Holmes
ตอนที่ท่านได้เข้าไปเยี่ยมชมโรงงาน
ผลิตอาวุธยุทธภัณฑ์ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1916
ท่านรู้สึกประทับใจในการทำงาน
ของพวกสตรีโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
" ที่นี่อาจเป็นสถานที่โดดเด่นที่สุดในโลก
เพราะกองทัพไม่เพียงแต่ให้อุปกรณ์ดำรงชีพ
ที่จำเป็นสำหรับสตรีเท่านั้น
ภายในชุมชนยังมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี
มีโรงหนังและสถานที่เต้นรำ
บรรดาสาว ๆ สวมชุดสุกากี ต่างยิ้มแย้ม
ขณะที่กวนสารเคมีด้วยมือของพวกเธอ
โดยไม่สำนึกถึงความจริงที่ว่า
พวกเธออาจจะถูกระเบิดกลายเป็นจุลได้ในทันที
หากมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเกิดขึ้นมา "
Rebecca West นักเขียนนวนิยายได้เขียนว่า
" ชีวิตข้างในไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
บรรดาสาวสวยต่างต้องอยู่ภายในค่ายทหาร
ที่อยู่กันเหมือนอยู่ในรวงผึ้ง
มีทหารยามเดินลาดตระเวน
ห้ามคนแปลกหน้าเข้าพบ
หรือให้คนในครอบครัวเข้าเยี่ยมเยียน
ความเพลิดเพลินและสิ่งอำนวยความสะดวก
ของชุมชนภายในก็ถูกจำกัด
ด้วยชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน
บางครั้งก็ต้องทำงานล่วงเวลาในตอนกลางคืน
วันว่างของพวกเธอ คือ วันอาทิตย์เท่านั้น
และการเดินทางสาธารณะก็ถูกจำกัด
รถไฟที่จะไปยัง Carlisle ก็ถูกยกเลิก
เพราะมีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่นั่น
แม้การเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวก็ยังเป็นปัญหา
พวกเธอต่างพักอาศัยอยู่ภายในกระท่อม
ที่มีห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่
ที่มีรูปแบบเฉพาะสร้างจากไม้
ส่วนมากมักจะนั่งและนอนอยู่
ในห้องนอนขนาดเล็กที่มีผ้าม่าน
แต่ไม่มีประตู มีเสียงบ่นถึงความหนาวเย็น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งฤดูหนาวที่หนาวจัดในปี 1917
รายได้ของพวกเธออยู่ระหว่าง
30 ชิลลิงและ 2 ปอนด์ต่อสัปดาห์
(20 ชิลลิงเป็น 1 ปอนด์
ไทย 4.-บาทเป็น 1 ตำลึง 20.-ตำลึงเป็น 1 ชั่ง)
แน่นอนว่าสูงกว่าค่าจ้างเดิม
ที่พวกเธอเคยรับมาก่อนจากที่อื่น
แต่ก็มีการหักค่าใช้จ่ายรายการสำคัญ
เป็นค่าที่พักและอาหารภายใน "
อันที่จริง ยังมีอันตรายต่อสุขภาพ
ที่ร้ายแรงยิ่งในการทำงานในโรงงาน TNT
สีเหลืองที่ดูเหมือนว่าเป็นอันตรายเพียงเล็กน้อย
และอาการสีเหลืองที่เกิดขึ้น
ก็จะจางหายไปภายใน 2-3 สัปดาห์
บางครั้งคนงานสตรีก็นอนหลับในโรงงาน
แล้วตายโดยไม่ทราบสาเหตุก็หลายคน
แต่ TNT มีผลเป็นพิษต่อตับ
และการได้รับสารนี้เป็นเวลานาน
ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางและโรคดีซ่าน
ซึ่งทำให้ร่างกายมีสีเหลืองแตกต่างกัน
มีคนไข้ที่เป็นโรคกระเพาะจำนวนราว 400 ราย
และตายไปราว 100 รายตามรายงาน
ที่บันทึกไว้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
คนงานบางรายมีรายงานทางการแพทย์ว่า
เกิดอาการสลายตัวของกระดูกในร่างกาย
ในภายหลังที่เลิกทำงานนี้แล้ว
ในขณะที่คนอื่น ๆ มีปัญหาทางช่องคอ
โรคผิวหนังที่เกิดจากการย้อมสีของ TNT
สตรีบางรายยังให้กำเนิดทารกสีเหลืองสดใส
ที่ถูกเรียกว่า
เด็กนกขมิ้น Canary Babies
ทุกวันนี้ มีพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ใกล้ Gretna
เพื่อสำรวจประวัติความเป็นมาของ HM Factory
และเน้นบทบาทสตรีที่มีส่วนร่วมในสงคราม
ที่เรียกว่า
The Devils Porridge Museum
.
เรียบเรียง/ที่มา
https://bit.ly/2OdDTUf
https://bit.ly/2OI5del
https://bbc.in/2LSdGOq
สตรีนกขมิ้น : ภัยพิบัติช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
1. คนงานในโรงงานผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์
ที่ National Shell Filling Factory No.6,
ที่ Chilwell แคว้น Nottinghamshire 1917
Ⓒ Imperial War Museum
.
บทบาทสตรีที่ร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1
เป็นเรื่องราวที่รู้จักกันดีและน่าชื่นชม
เพราะในขณะที่บุรุษไปมุ่งหน้าไปยัง
แนวรบที่ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม
เพื่อทำการสู้รบ/ยันกองทัพปรัสเซีย(เยอรมันนี)
สตรีหลายคนต้องกลายเป็นแม่ม่าย
เพราะสามีเสียชีวิตในการรบ
บางครอบครัวสูญเสียพ่อพี่ชายน้องชาย
Birmingham University
ได้แปรสภาพเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่
มีนางพยาบาลหลายร้อยคนดูแล
คนเจ็บมากกว่า 64,000 ราย
ตำแหน่งงานต่าง ๆ ภายในโรงงาน
ก็ขาดแคลนกำลังแรงงาน
ทำให้สตรีต้องเข้าไปทำงานทดแทน
และทำงานในโรงงานอย่างรวดเร็ว
มีผลทำให้โรงงานแต่ละแห่งเต็มไปด้วยสตรี
สตรีทำงานในสายการผลิต ขับรถบรรทุก
เป็นนางพยาบาล ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกัน
การโจมตีทางอากาศ ทำงานด้านการสื่อสาร
ทำหน้าที่ประมวลข่าวกรอง และทำหน้าที่อื่น ๆ
อีกหลายร้อยหน้าที่ ซึ่งเป็นภารกิจที่สำคัญ
อย่างมากในการทำสงครามกับศัตรู
แต่อีกบทบาทหน้าที่ที่สำคัญอย่างหนึ่งของสตรี
คือ เพื่อให้แน่ใจว่าทหารในแนวหน้า
มีอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างเพียงพอ
ตั้งแต่ สงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เริ่มปะทุขึ้นมา
อังกฤษประสบปัญหาอย่างมาก
ในการผลิตอาวุธและกระสุนจำนวนมาก
ตามคำสั่งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ
หลังจากที่ฝ่ายค้านในรัฐสภา
ได้อภิปรายโจมตีการทำงานของรัฐบาล
และสื่อมวลชนได้กระจายข่าวเรื่องนี้
Shell crises of 1915
รัฐบาลอังกฤษจึงได้ประกาศพระราชบัญญัติ Munitions of War Act 1915
กระทรวงยุทโธปกรณ์ ที่มีการตั้งขึ้นมาใหม่
David Lloyd George เป็นรัฐมนตรีคนแรก
กฎหมายเกี่ยวกับอาวุธยุทธภัณฑ์
มีผลบังคับใช้ทันทีในวันที่ประกาศ
ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มการกำกับดูแลของรัฐบาล
และใช้บังคับแทนกฎหมาย/กฎระเบียบ
ของโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศ
โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลผลิต
อาวุธยุทโธปกรณ์ให้มากที่สุด
.
บริษัทเอกชนที่ทำหน้าที่ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์
รวมทั้งโรงงานผลิตอาวุธยุทธภัณฑ์ของรัฐ
จึงถูกจัดตั้งขึ้นมา พร้อมกับระดมพล
เรียกสตรีให้มาลงทะเบียนเพื่อเข้าทำงาน
แรงงานฝีมือได้รับค่าจ้างอัตราเท่ากับผู้ชาย
เมื่อสิ้นสุดสงครามแล้ว
มีจำนวนสถานประกอบการ
ของเอกชน 4,285 แห่งที่ควบคุมโดยรัฐ
และของรัฐจัดตั้งเอง 103 แห่ง
โรงงานเหล่านี้กระจายไปทั่วทั้งอังกฤษ
ทั้งในลอนดอนเขตตะวันออกและกลาสโกว์
โดยมีสตรีทำงานอยู่ถึงเกือบ 1,000,000 คน
ค่าจ้างแรงงาน ชั่วโมงการทำงาน
และเงื่อนไขการทำงาน ได้รับการควบคุม
ตามกฎหมายฉบับใหม่ทั้งหมด
การนัดหยุดงานเป็นเรื่องต้องห้ามโดยเด็ดขาด
คนงานทุกคนถูกห้ามไม่ให้ลาออกจากงาน
โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนายจ้าง
พระราชบัญญัตินี้ยังบังคับให้ใช้กับ
ทุกโรงงานที่จ้างสตรีทั่วประเทศด้วย
เพราะผลจากการทำสงครามโลกครั้งที่ 1
จึงขาดแคลนชายฉกรรจ์ซึ่งส่วนใหญ่
ในปี 1915
รัฐบาลไม่เพียงแต่สร้างโรงงาน
ยังสร้างชุมชนที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก
ที่ Gretna และ Eastriggs
บัานพักและแฟลตถูกสร้างขึ้น
สำหรับพนักงานและคู่สมรส
ซึ่งมีมาตรฐานสูงจนใช้งานได้จนถึงทุกวันนี้
ใกล้กับโรงงานมีการสร้างค่ายทหาร
และสร้างเลียนแบบกระท่อม 85 หลัง
เป็นร้านค้าสวัสดิการของสตรีทำงาน เช่น
ร้านอาหาร ร้านขนมปัง อาคารสันทนาการ โบสถ์
รางรถไฟที่สร้างขึ้นใหม่ระยะทางยาว 9 ไมล์
คนงานสตรีชาวไอริช
มากกว่า 30,000 คนที่นำเข้ามา
ส่วนใหญ่ทำงานก่อสร้างอาคารสถานที่ต่าง ๆ
ซึ่งเสร็จสมบูรณ์ในช่วงกลางปี 1916
ซึ่งเป็นผลงงานที่น่าทึ่งมากในการก่อสร้าง
โดยรัฐบาลใช้จ่ายไป 5 ล้านปอนด์
ในปี 1917
โรงงาน HM Factory ที่ Gretna
ผลิตชนวนระเบิดได้ 800 ตัน/สัปดาห์
มากกว่าทุกโรงงานที่ผลิตชนวนระเบิดรวมกัน
ในขณะที่สตรีทำงาน
ในสายการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์
ต่างต้องแบกรับกับความกล้าหาญในการทำงาน
เพราะมีภยันตรายที่คอยคุกคามอยู่
โรงงานผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์
มักจะตกเป็นเป้าหมายหลัก
ในการโจมตีทางอากาศจากศัตรู
ด้วยการใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดใส่เป็นประจำ
ทั้งยังเสี่ยงจากการระเบิดขึ้นเองภายในโรงงาน
Nancy Evans รำลึกถึงตอนทำงานที่
โรงงาน Rotherwas ใน Herefordshire
" เราต่างเหมือนนกขมิ้น
เราต่างมีสีเหลืองตามผิวหนัง
ผมก็เปลี่ยนเป็นสีบรอนซ์
ยกเว้นตรงกลางกระหม่อม
ที่ผมยังเป็นสีเดิม "
Dr Helen McCartney
ที่ King's College London ระบุว่า
คนงานสตรีบางคนคลอดบุตรสีเหลืองสดใส
Gladys Sangster ซึ่งแม่เธอทำงาน
ที่โรงงาน National Filling Factory Number 9
ใกล้ Banbury Oxford คือ
เด็กสีเหลืองคนหนึ่งในนั้น
ได้ให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่า
" ฉันเกิดตอนช่วงมีสงคราม
และผิวของฉันเป็นสีเหลือง
นั่นทำให้พวกเขาเรียกพวกเราว่า
ทารกนกขมิ้น Canary Babies
ทารกเกือบทุกคนที่เกิดมามีสีเหลือง
แต่ตอนโตขึ้นก็จางหายไป
แม่ฉันบอกว่า เธอได้รับมันมาเป็นของขวัญ
มันเคยเกิดขึ้นและนั่นคือเรื่องราวคราก่อน "
Amy Dale นักวิจัยให้สัมภาษณ์กับ BBC
" ในโรงงานเหล่านี้ พวกเธอจะได้รับ
ปลอกกระสุน/ปลอกลูกระเบิด
แล้วเติมผงเคมีที่จุดฉชนวน/ผงระเบิดลงไป
พร้อมกับปิดปลอกระเบิดด้านบน
ด้วยการเคาะฝาปิดลงไป
ถ้าเคาะแรงเกินไป เกิดผิดพลาดขึ้นมา
มันก็จะเกิดการระเบิดขึ้นมาทันที
เรื่องแบบนี้ มันเคยเกิดขึ้นกับ
สตรีคนหนึ่งที่กำลังตั้งครรภ์ในเวลานั้น
ทำให้เธอต้องตาบอด/สูญเสียมือทั้งสองข้าง "
.
2. สตรีอาวุธยุทโธปกรณ์ 2 ราย
กำลังยืนทำงานข้างปลอกลูกระเบิด
ที่ National Shell Filling Factory No.6
เมือง Chillwell แคว้น Nottinghamshire
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
Ⓒ Imperial War Museum
.
ทั้งนี้ ยังมีคำสั่งห้ามใช้ผ้าไหม
เนื่องจากวัสดุเหล่านี้จะสร้างไฟฟ้าสถิตย์
สามารถสร้างประกายไฟที่อาจจะ
ทำให้เกิดการระเบิดขึ้นมาได้
สตรีทุกคนจะถูกตรวจค้น
และคัดกรองก่อนเข้าทำงานทุกวัน
ทุกคนจะต้องฝากเสื้อผ้าต้องห้าม
ข้าวของเครื่องใช้ที่มีโลหะไว้ก่อนเข้าทำงาน
รวมทั้งยกทรงที่มีเข็มกลัดเป็นโลหะ
และปิ่นปักผมโลหะทุกชนิด
ถ้าเกิดตรวจพบจะถูกปรับเงิน 6 เพนนี
อุบัติเหตุครั้งย่อย ๆ ที่เกิดขึ้น
จากการระเบิดกลายเป็นเรื่องปกติ
ทำให้คนงานสตรีตายหรือบาดเจ็บ
เป็นจำนวนมากในแต่ละครั้ง
มีการระเบิดครั้งรุนแรงที่เกิดขึ้น
อย่างน้อย 3 ครั้งในช่วงนี้
ทำให้มีคนตายมากกว่า 300 คน
และบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน
อันตรายในการทำงานในโรงงานผลิตอาวุธ
ยังมีอีกอย่างคือ การได้รับสารเคมี
ที่เป็นพิษอย่างต่อเนื่องทุก ๆ วัน
สตรีหลายคนต้องทำงานอยู่กับ
Trinitrotoluene (TNT)
ซึ่งใช้ในการผลิตวัตถุระเบิดและชนวนระเบิด
เพื่อใช้ในการทำลูกกระสุนปืนและลูกระเบิด
เมื่อชนวนถูกจุดให้ลุกไหม้ขึ้นมา
ก็จะปลดปล่อยก๊าซที่ขยายตัว
ทำหน้าที่ขับเคลื่อนหัวกระสุนปืน
หรือทำให้ปลอกหุ้มระเบิดฉีกขาดออกจากกัน
การผลิตทั้ง TNT และ ชนวนจุดระเบิด
ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับสารกัดกร่อน
เช่น กรดซัลฟิวริก sulfuric และกรดไนตริก nitric
ควันจากกรดเหล่านี้ มีผลทำให้ผิวหนังและผม
ของสตรีหลาย ๆ คน กลายเป็นสีเหลือง
ทำให้พวกเธอได้ชื่อเล่นว่า
สตรีนกขมิ้น Canary Girls
.
3. กรรมกรสตรีทำงานที่ห้อง
Finishing Room No. 14
National Filling Factory Hereford
Ⓒ Imperial War Museum
.
ที่โรงงาน HM Factory
ในเมือง Gretna ทางตอนใต้ของสกอตแลนด์
ผลิตชนวนระเบิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานั้น
มีการจ้างตรีทำงานมากกว่า 12,000 ราย
ทำให้พวกเธอมีชื่อเล่นว่า
Female munitionettes สตรีอาวุธยุทโธปกรณ์
พวกเธอบางคนมีหน้าที่
กวนสารเคมีด้วยมือเปล่าในถังขนาดใหญ่
การทำงานที่เสี่ยงตายอย่างยิ่งนี้
สารเคมีนี้จึงมีการขนานนามว่า
ข้าวโอ้ตปีศาจ Devil's Porridge
โดยผู้ตั้งชื่อให้คือ Sir Arthur Conan Doyle
ผู้เขียนนวนิยายชุด Sherlock Holmes
ตอนที่ท่านได้เข้าไปเยี่ยมชมโรงงาน
ผลิตอาวุธยุทธภัณฑ์ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1916
ท่านรู้สึกประทับใจในการทำงาน
ของพวกสตรีโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
" ที่นี่อาจเป็นสถานที่โดดเด่นที่สุดในโลก
เพราะกองทัพไม่เพียงแต่ให้อุปกรณ์ดำรงชีพ
ที่จำเป็นสำหรับสตรีเท่านั้น
ภายในชุมชนยังมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี
มีโรงหนังและสถานที่เต้นรำ
บรรดาสาว ๆ สวมชุดสุกากี ต่างยิ้มแย้ม
ขณะที่กวนสารเคมีด้วยมือของพวกเธอ
โดยไม่สำนึกถึงความจริงที่ว่า
พวกเธออาจจะถูกระเบิดกลายเป็นจุลได้ในทันที
หากมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเกิดขึ้นมา "
Rebecca West นักเขียนนวนิยายได้เขียนว่า
" ชีวิตข้างในไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
บรรดาสาวสวยต่างต้องอยู่ภายในค่ายทหาร
ที่อยู่กันเหมือนอยู่ในรวงผึ้ง
มีทหารยามเดินลาดตระเวน
ห้ามคนแปลกหน้าเข้าพบ
หรือให้คนในครอบครัวเข้าเยี่ยมเยียน
ความเพลิดเพลินและสิ่งอำนวยความสะดวก
ของชุมชนภายในก็ถูกจำกัด
ด้วยชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน
บางครั้งก็ต้องทำงานล่วงเวลาในตอนกลางคืน
วันว่างของพวกเธอ คือ วันอาทิตย์เท่านั้น
และการเดินทางสาธารณะก็ถูกจำกัด
รถไฟที่จะไปยัง Carlisle ก็ถูกยกเลิก
เพราะมีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่นั่น
แม้การเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวก็ยังเป็นปัญหา
พวกเธอต่างพักอาศัยอยู่ภายในกระท่อม
ที่มีห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่
ที่มีรูปแบบเฉพาะสร้างจากไม้
ส่วนมากมักจะนั่งและนอนอยู่
ในห้องนอนขนาดเล็กที่มีผ้าม่าน
แต่ไม่มีประตู มีเสียงบ่นถึงความหนาวเย็น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งฤดูหนาวที่หนาวจัดในปี 1917
รายได้ของพวกเธออยู่ระหว่าง
30 ชิลลิงและ 2 ปอนด์ต่อสัปดาห์
(20 ชิลลิงเป็น 1 ปอนด์
ไทย 4.-บาทเป็น 1 ตำลึง 20.-ตำลึงเป็น 1 ชั่ง)
แน่นอนว่าสูงกว่าค่าจ้างเดิม
ที่พวกเธอเคยรับมาก่อนจากที่อื่น
แต่ก็มีการหักค่าใช้จ่ายรายการสำคัญ
เป็นค่าที่พักและอาหารภายใน "
อันที่จริง ยังมีอันตรายต่อสุขภาพ
ที่ร้ายแรงยิ่งในการทำงานในโรงงาน TNT
สีเหลืองที่ดูเหมือนว่าเป็นอันตรายเพียงเล็กน้อย
และอาการสีเหลืองที่เกิดขึ้น
ก็จะจางหายไปภายใน 2-3 สัปดาห์
บางครั้งคนงานสตรีก็นอนหลับในโรงงาน
แล้วตายโดยไม่ทราบสาเหตุก็หลายคน
แต่ TNT มีผลเป็นพิษต่อตับ
และการได้รับสารนี้เป็นเวลานาน
ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางและโรคดีซ่าน
ซึ่งทำให้ร่างกายมีสีเหลืองแตกต่างกัน
มีคนไข้ที่เป็นโรคกระเพาะจำนวนราว 400 ราย
และตายไปราว 100 รายตามรายงาน
ที่บันทึกไว้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
คนงานบางรายมีรายงานทางการแพทย์ว่า
เกิดอาการสลายตัวของกระดูกในร่างกาย
ในภายหลังที่เลิกทำงานนี้แล้ว
ในขณะที่คนอื่น ๆ มีปัญหาทางช่องคอ
โรคผิวหนังที่เกิดจากการย้อมสีของ TNT
สตรีบางรายยังให้กำเนิดทารกสีเหลืองสดใส
ที่ถูกเรียกว่า เด็กนกขมิ้น Canary Babies
ทุกวันนี้ มีพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ใกล้ Gretna
เพื่อสำรวจประวัติความเป็นมาของ HM Factory
และเน้นบทบาทสตรีที่มีส่วนร่วมในสงคราม
ที่เรียกว่า The Devils Porridge Museum
.
เรียบเรียง/ที่มา
https://bit.ly/2OdDTUf
https://bit.ly/2OI5del
https://bbc.in/2LSdGOq