สวัสดีค่ะเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคนที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้กันนะคะ
กระทู้นี้ เป็นกระทู้ที่จะมาแชร์ประสบการณ์ชีวิตอันน้อยนิดให้ได้อ่านกันดูค่ะ ชีวิตตอนมัธยมรู้สึกไม่ค่อยแฮปปี้สักเท่าไหร่ค่ะ เนื่องจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งเพื่อน ครู การบ้าน รายงานต่างๆ ยิ่งช่วง ม.6 นี่สุดๆ ไปเลยค่ะ สอบนู้น นี่ นั่น จัดเต็มสุดๆ และต้องบอกก่อนเลยค่ะ ว่าเราเป็นคนที่เรียนไม่เก่งเลย วันๆ ก็นั่งเป็นหุ่นในห้องเรียนค่ะ ฟังครูบ้าง ไม่ฟังบ้าง ฟังผ่านๆ ไป พอหมดคาบก็คืนครูไปหมดแล้วค่ะ ชีวิตตอนนั้นไม่มีเป้าหมายอะไรที่ชัดเจนสักอย่าง ในใจคิดแค่ว่าอยากจบให้พ้นๆ ไปสักที และแล้ววันนั้นก็มาถึงค่ะ ดีใจสุดๆ สิ่งที่คิดตอนนั้นคืออยากหางานทำค่ะ อยากทำงานมากๆ แต่ในขณะเดียวก็ไม่ทิ้งเรื่องเรียนค่ะ ก็สอดส่องหาที่เรียนไปด้วย แต่ด้วยความที่เป็นคนเรียนไม่เก่ง เลยไม่กล้าที่จะไปสอบที่มหาวิทยาลัยที่อยากเรียน เพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่ค่อยข้างเป็นที่รู้จัก รู้ตัวเองว่าคงไม่ติดอยู่แล้วก็เลยนิ่งนอนใจอยู่ พอตผลงานก็ไม่มีเพราะไม่ใช่เด็กกิจกรรม ก็ได้แต่นั่งๆ นอนๆ โง่ๆ อยู่บ้าน ระหว่างนั้นป้าก็ฝากงานให้ เราก็รอไปทำงานค่ะ พอได้ทำจริงๆ แล้วรู้สึกเหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก เพราะไม่เคยทำงานมาก่อน คืองานไม่หนักเลย ทำในออฟฟิศ แต่ระยะทางค่อยข้างไกลบ้านค่ะ เหนื่อยกับการเดินทางมากกว่า ระหว่างที่ไปทำงานแรกๆ ก็ได้ตัดสินใจสมัครเรียนที่ราชภัฎแห่งหนึ่ง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาศิลปศาสตร์บัณฑิต แน่นอนค่ะ นั่งคือมนุยษ์อิ้งที่แท้ทรู ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่มีเป้าหมายสูงสุดในชีวิต ร่องลอยไปวันๆ คะแนนโอเน็ตภาษาอังกฤษอยู่ที่ 20 กว่าๆ แต่ดันมาเลือกเรียนเอกภาษาอังกฤษธุรกิจอีกต่างหาก แค่นั้นไม่พอค่ะ เรียนแค่เสาร์-อาทิตย์ 2 วัน
ความมั่นสมองนี้ 5555 แล้วรู้สึกว่าเพื่อนร่วมเอกจะมีทักษะภาษาอังกฤษดีกันทั้งนั้น ตัดภาพมาที่เราจบคอม-สังคอมมา แบบไม่ได้ตั้งใจเรียน ก็คิดว่าต้องตั้งใจเรียนตั้งแต่ตอนนี้แล้วค่ะ เปิดมาเทอมแรก ก็เจอ Grammar ตัวแรกเลยค่ะ ได้เรียนกับที่ปรึกษา อาจารย์สอนดีมากค่ะ เข้าใจ แต่ที่อ่อนมากๆ เรารู้ตัวเองเลยว่าเราอ่อนคำศัพท์ค่ะ เราแปลไม่ได้ จึงทำให้เราทำประโยคนั้นๆ ไม่ได้ แต่อาจารย์สอนในจำ Key word ค่ะ อะไรๆ ก็ง่ายขึ้น ตัวที่ 2 คือเทคนิค Listening and Speaking ตัวนี้แหละค่ะที่บ่งบอกได้ชัดว่าเราฟังไม่รู้เรื่องค่ะ พูดก็ติดๆ ขัดๆ และเรียบเรียงประโยคเองไม่ได้ค่ะ ต้องท่องจำแล้วนำไปพูด ส่วนอีก 2 ตัวเป็นวิชา GE ค่ะ มีกฎหมายในชีวิตประจำวัน 1 ตัว และก็ English ในชีวิตประจำวัน 1 ตัวค่ะ อาจารย์เป็นชาวต่างชาติ เค้าพยายามจะคุยกับนักศึกษาทุกคนค่ะ และทุกเช้าวันอาทิตย์เราดันต้องบังเอิญเจอแกทุกทีเลยค่ะ อาจารย์ก็เข้ามาทักทาย พูดคุย เราก็ฟังไม่รู้เรื่อง รู้แค่บางคำ ก็เงอะๆ ง๊ะๆ ตอบไปด้วยท่าทาง พร้อมกับความไม่มั่นใจ และไม่รู้จะพูดยังไง กลัวพูดผิดค่ะ แต่ต่อไปจะพยายามๆ ฟังให้มากๆ แล้วจับใจความดูค่ะ จะพยายามพูดคุยกับอาจารย์ให้มากกว่านี้ ส่วนวันนี้ 4/8/2018 มีการสอบเก็บค่ะแนะวิชาแกรมม่าค่ะ เต็ม 20 เราทำได้ 15 คะแนน รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก แต่ข้อสอบไม่ได้ยากค่ะ แค่แยกให้ออกระหว่าง Present Simple กับ Present Continuous Tense ว่าหลักการใช้ในแต่ละสถานะการณ์ต่างกันอย่างไร ตกบ่ายก็ Conversation เบาๆ ก็ได้คะแนนเต็มค่ะ หรืออาจารย์ใจดีก็ไม่รู้ 555555
ก็นั่นแหละค่ะ เป็นประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่เพิ่งจะผ่านมาหมาดๆ ก็อยากจะมาเล่า มาบ่นให้ฟังกันค่ะ แต่ต่อจากนี้ไปจะประสบความสำเร็จไหมก็ต้องลุ้นกันอีกทีค่ะ แต่ต่อให้ไม่ไหวจริงๆ ยังไงก็ไม่ทิ้งเรียนแน่นอนค่ะ ถ้าต้องให้เลือกระหว่างงานกับเรียน คงต้องเลือกเรียนไว้ก่อนค่ะ จบแล้วค่อยว่ากันทีหลัง
#อยากบอกน้องๆเด็ก 62 63 64 .... และรุ่นต่อๆ ไปว่าให้ตั้งใจเรียนตั้งตอนนี้นะคะ เพราะมัธยมกับมหาวิทยาลัยแตกต่างกันเยอะค่ะ
คะแนน O-NET English 20 กว่าๆ สู่เด็ก Business English
กระทู้นี้ เป็นกระทู้ที่จะมาแชร์ประสบการณ์ชีวิตอันน้อยนิดให้ได้อ่านกันดูค่ะ ชีวิตตอนมัธยมรู้สึกไม่ค่อยแฮปปี้สักเท่าไหร่ค่ะ เนื่องจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งเพื่อน ครู การบ้าน รายงานต่างๆ ยิ่งช่วง ม.6 นี่สุดๆ ไปเลยค่ะ สอบนู้น นี่ นั่น จัดเต็มสุดๆ และต้องบอกก่อนเลยค่ะ ว่าเราเป็นคนที่เรียนไม่เก่งเลย วันๆ ก็นั่งเป็นหุ่นในห้องเรียนค่ะ ฟังครูบ้าง ไม่ฟังบ้าง ฟังผ่านๆ ไป พอหมดคาบก็คืนครูไปหมดแล้วค่ะ ชีวิตตอนนั้นไม่มีเป้าหมายอะไรที่ชัดเจนสักอย่าง ในใจคิดแค่ว่าอยากจบให้พ้นๆ ไปสักที และแล้ววันนั้นก็มาถึงค่ะ ดีใจสุดๆ สิ่งที่คิดตอนนั้นคืออยากหางานทำค่ะ อยากทำงานมากๆ แต่ในขณะเดียวก็ไม่ทิ้งเรื่องเรียนค่ะ ก็สอดส่องหาที่เรียนไปด้วย แต่ด้วยความที่เป็นคนเรียนไม่เก่ง เลยไม่กล้าที่จะไปสอบที่มหาวิทยาลัยที่อยากเรียน เพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่ค่อยข้างเป็นที่รู้จัก รู้ตัวเองว่าคงไม่ติดอยู่แล้วก็เลยนิ่งนอนใจอยู่ พอตผลงานก็ไม่มีเพราะไม่ใช่เด็กกิจกรรม ก็ได้แต่นั่งๆ นอนๆ โง่ๆ อยู่บ้าน ระหว่างนั้นป้าก็ฝากงานให้ เราก็รอไปทำงานค่ะ พอได้ทำจริงๆ แล้วรู้สึกเหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก เพราะไม่เคยทำงานมาก่อน คืองานไม่หนักเลย ทำในออฟฟิศ แต่ระยะทางค่อยข้างไกลบ้านค่ะ เหนื่อยกับการเดินทางมากกว่า ระหว่างที่ไปทำงานแรกๆ ก็ได้ตัดสินใจสมัครเรียนที่ราชภัฎแห่งหนึ่ง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาศิลปศาสตร์บัณฑิต แน่นอนค่ะ นั่งคือมนุยษ์อิ้งที่แท้ทรู ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่มีเป้าหมายสูงสุดในชีวิต ร่องลอยไปวันๆ คะแนนโอเน็ตภาษาอังกฤษอยู่ที่ 20 กว่าๆ แต่ดันมาเลือกเรียนเอกภาษาอังกฤษธุรกิจอีกต่างหาก แค่นั้นไม่พอค่ะ เรียนแค่เสาร์-อาทิตย์ 2 วัน
ความมั่นสมองนี้ 5555 แล้วรู้สึกว่าเพื่อนร่วมเอกจะมีทักษะภาษาอังกฤษดีกันทั้งนั้น ตัดภาพมาที่เราจบคอม-สังคอมมา แบบไม่ได้ตั้งใจเรียน ก็คิดว่าต้องตั้งใจเรียนตั้งแต่ตอนนี้แล้วค่ะ เปิดมาเทอมแรก ก็เจอ Grammar ตัวแรกเลยค่ะ ได้เรียนกับที่ปรึกษา อาจารย์สอนดีมากค่ะ เข้าใจ แต่ที่อ่อนมากๆ เรารู้ตัวเองเลยว่าเราอ่อนคำศัพท์ค่ะ เราแปลไม่ได้ จึงทำให้เราทำประโยคนั้นๆ ไม่ได้ แต่อาจารย์สอนในจำ Key word ค่ะ อะไรๆ ก็ง่ายขึ้น ตัวที่ 2 คือเทคนิค Listening and Speaking ตัวนี้แหละค่ะที่บ่งบอกได้ชัดว่าเราฟังไม่รู้เรื่องค่ะ พูดก็ติดๆ ขัดๆ และเรียบเรียงประโยคเองไม่ได้ค่ะ ต้องท่องจำแล้วนำไปพูด ส่วนอีก 2 ตัวเป็นวิชา GE ค่ะ มีกฎหมายในชีวิตประจำวัน 1 ตัว และก็ English ในชีวิตประจำวัน 1 ตัวค่ะ อาจารย์เป็นชาวต่างชาติ เค้าพยายามจะคุยกับนักศึกษาทุกคนค่ะ และทุกเช้าวันอาทิตย์เราดันต้องบังเอิญเจอแกทุกทีเลยค่ะ อาจารย์ก็เข้ามาทักทาย พูดคุย เราก็ฟังไม่รู้เรื่อง รู้แค่บางคำ ก็เงอะๆ ง๊ะๆ ตอบไปด้วยท่าทาง พร้อมกับความไม่มั่นใจ และไม่รู้จะพูดยังไง กลัวพูดผิดค่ะ แต่ต่อไปจะพยายามๆ ฟังให้มากๆ แล้วจับใจความดูค่ะ จะพยายามพูดคุยกับอาจารย์ให้มากกว่านี้ ส่วนวันนี้ 4/8/2018 มีการสอบเก็บค่ะแนะวิชาแกรมม่าค่ะ เต็ม 20 เราทำได้ 15 คะแนน รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก แต่ข้อสอบไม่ได้ยากค่ะ แค่แยกให้ออกระหว่าง Present Simple กับ Present Continuous Tense ว่าหลักการใช้ในแต่ละสถานะการณ์ต่างกันอย่างไร ตกบ่ายก็ Conversation เบาๆ ก็ได้คะแนนเต็มค่ะ หรืออาจารย์ใจดีก็ไม่รู้ 555555
ก็นั่นแหละค่ะ เป็นประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่เพิ่งจะผ่านมาหมาดๆ ก็อยากจะมาเล่า มาบ่นให้ฟังกันค่ะ แต่ต่อจากนี้ไปจะประสบความสำเร็จไหมก็ต้องลุ้นกันอีกทีค่ะ แต่ต่อให้ไม่ไหวจริงๆ ยังไงก็ไม่ทิ้งเรียนแน่นอนค่ะ ถ้าต้องให้เลือกระหว่างงานกับเรียน คงต้องเลือกเรียนไว้ก่อนค่ะ จบแล้วค่อยว่ากันทีหลัง
#อยากบอกน้องๆเด็ก 62 63 64 .... และรุ่นต่อๆ ไปว่าให้ตั้งใจเรียนตั้งตอนนี้นะคะ เพราะมัธยมกับมหาวิทยาลัยแตกต่างกันเยอะค่ะ