“นคร มาฉิม” ขอโทษที่ทำผิดต่อชาติและประชาชน ไม่ได้เนรคุณ สะท้อนเหตุการณ์ใดสมัยพุทธกาล?

ฉบับที่ ๔๙ วันศุกร์ที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
เรื่อง นคร มาฉิม ขอโทษที่ทำผิดต่อชาติและประชาชน ไม่ได้เนรคุณ สะท้อนเหตุการณ์ใดสมัยพุทธกาล?

             จากเหตุการณ์ที่ อดีตผู้แทนราษฎรได้โพสต์ว่า “ผมขอโทษท่านและน้องสาวท่านด้วยนะครับที่เคยต่อสู้กับท่าน แต่เมื่อความจริงปรากฏ ความอยุติธรรมและเผด็จการปกครองครอบงำประเทศ ประชาชนเดือดร้อน ทุกข์ยากลำบาก สิทธิเสรีภาพสูญสิ้น ชาติบ้านเมืองของเราบอบช้ำ เข้าขั้นวิกฤต ผมจึงขออนุญาตมาร่วมอุดมการณ์เดียวกันกับท่าน ขอร่วมสู้กับท่านและเหล่าวีรชนฝ่ายประชาธิปไตย เพื่อนำพาประเทศไทยของเราให้ข้ามพ้นจากความขัดแย้ง ข้ามพ้นจากยุคมืดของเผด็จการ ที่กดขี่ข่มเหงพวกเรา เดินทางไปสู่ระบอบประชาธิปไตย สร้างความเสมอภาพ ความเจริญรุ่งเรืองเช่นอารยประเทศ”
              ต่อมาก็ได้มีเวทีวิชาการ พิจารณาเหตุการณ์นี้ เช่น นายสุขุม นวลสกุล นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้กล่าวกรณีการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองของนายนครว่า การย้ายพรรคเป็นเรื่องที่ใครๆก็ทำกัน แต่โดยปกติแล้วการย้ายสังกัดพรรคทั่วไป จะไม่ค่อยมีการ ‘ทิ้งทวน’ แบบโจมตีต้นสังกัดเดิม ซึ่งจะเป็นการสร้างความร้าวฉาน ระหว่างอดีตสมาชิกและพรรคการเมืองเก่า จึงกลายเป็นกระแสข่าวที่โด่งดัง เมื่อเจ้าตัวได้มีการโพสต์ข้อความอันเร่าร้อนและรุนแรงนี้
              ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นชาวพุทธ เลื่อมใสศรัทธาในคำสอนของพระพุทธองค์ เมื่อพิจารณาเหตุการณ์นี้ตามสิ่งที่เจ้าตัวพูด โดยผู้เขียนขอไม่นำเบื้องลึกเบื้องหลังสิ่งแอบแฝงใดใดมาพิจารณา ที่ทุกท่านคงทราบกันดีว่า การเมืองเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาเยอะๆเพราะเรารู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ เป็นมิตรแท้หรือมิตรเทียม “อาสามาช่วยหรือมาเอา”
              ดังนั้น ด้วยข้อมูลการสำนึกผิด ขอโทษ อดีตนายก ประชาชน และประเทศชาติ สามารถสะท้อนเหตุการณ์หลักธรรมในสมัยพุทธกาลว่า พระองค์ทรงแก้อย่างไร ผู้เขียน พบ 2 เหตุการณ์ คือ องคุลีมาลและพระเทวทัต ที่กล้บตัวกลับใจได้  โดยมีเรื่องย่อๆ ดังนี้
              เรื่อง องคุลีมาล: ขอตัดเหตุการณ์มาที่สำนักเรียนที่องคุลีมาลเข้าศึกษา เนื่องจากองคุลีมาลเป็นคนเก่ง หัวดี เมื่อเรียนในสำนักเรียนกับเพื่อนๆที่เรียนด้วยกัน จึงได้อันดับ 1 ตลอด เป็นที่อิจฉา ริษยา ของคนอื่นๆ ที่ต้องเสียผลประโยชน์ พ่ายแพ้มาตลอด
              ด้วยเหตุนี้ ผู้อิจฉา ริษยา ผู้เสียประโยชน์จึงรวมกันคิดวางแผนทำลายองคุลีมาล ด้วยการยุยงอาจารย์ให้ทำร้ายศิษย์ อาจารย์จึงออกอุบายให้ฆ่าคน 1,000 คน จะได้วิชาขั้นสูง เพื่อกำจัดศิษย์ จากนั้นองคุลีมาลจึงไล่ฆ่าคนและใช้นิ้วคนที่ตนฆ่ามาร้อยเป็นมาลัยคล้องคอเพื่อนับจำนวนให้ครบ (ที่มาของชื่อองคุลีมาล) ทำให้ประชาชนลำบากยากเข็ญ หวาดผวาเมื่อพบเจอ      
              สุดท้ายนิ้วที่ 1,000 คือพระพุทธองค์เสด็จมาโปรด “เราหยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด” หยุดจากการเบียดเบียนทำร้ายผู้คน ทำให้องคุลีมาลได้คิด จึงหยุดทำร้าย และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วเข้าร่วมอุดมการณ์กับพระพุทธองค์ เมื่อบวชแล้วก็ยังเป็นที่ผวากับผู้พบเจอ
              เรื่องพระเทวทัต: ขอสรุปสั้นๆ คงทราบกันดีว่า ตามทำร้ายทำลายพระพุทธองค์ตลอด กระทั่งวาระสุดท้ายถูกธรณีสูบจะจมมิดหัวแล้ว จึงสำนึกได้ ขอขมาและถวายกระดูกคางเป็นพุทธบูชา พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะได้บรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคตกาล
              สรุป การทำความเดือดร้อน คิดทำร้ายทำลายผู้อื่น ผู้ที่ลำบากคือคนรอบข้างที่ต้องรับผลไปด้วย ยิ่งผู้มีอำนาจมาก ยิ่งกระทบมาก แต่สุดท้ายวิบากกรรมก็จะส่งผลถึงผู้ คิดชั่ว พูดชั่วและทำชั่วอย่างมหันต์ เพราะพระพุทธองค์ไม่ทรงแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง เบียดเบียน อย่างพระเทวทัตผู้คิดทำลายเลย  จะค่อย ๆ สอน จนสามารถสำนึกและคิดเองได้ แล้วขอขมา คือ สิ่งที่ win win Happy Ending for Every body ก็หวังว่า ใครที่ยังคิดทำร้าย ทำลายได้โปรดหยุด และขอขมากัน โลกใบนี้ต้องสงบสุขอย่างแน่นอน
              ทุกท่านคิดเห็นอย่างไร แลกเปลี่ยนความรู้กันใน Comment Facebook, YouTube, Blog, Line, IG, Twitter, pantip ...กันนะครับ ขอบคุณครับ
                  B.S.
          4 ส.ค. 2561
      
ตอน “นคร มาฉิม” ขอโทษที่ทำผิดต่อชาติและประชาชน ไม่ได้เนรคุณ สะท้อนเหตุการณ์ใดสมัยพุทธกาล? เวลา 14.00-14.20 น. https://youtu.be/zMtElkkyuEsคลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่