ขอสอบถามเกี่ยวกับการทำวิปัสสนาหน่อยครับ

คือตอนนี้ผมถือศีล 8 อยู่ ก่อนนอนเเละช่วงใกล้รุ่งจะตื่นมานั่งทำสมาธิอานาปานสติ เพื่อฝึกให้จิตนิ่งครับ
เเต่ก็ยังไม่นิ่งเลย รู้ลมเเปปๆ จิตก็ไปทางอื่น ก็ต้องดึงกลับมาหาลมหายใจ รู้ลมยังไม่สุดก็รู้สึกเลยว่า กำลังโดนดึงไปทางอื่นอีกเเล้ว

ขออธิบายเเบบนี้ครับ เหมือนสูดลม 3 วิ> รู้วิเเรก> วิที่  2 ความรู้สึกรู้ลมอ่อนลง เเล้วรีบดึงกลับ> วิที่ 3 รู้ลมต่อ เป็นเเบบนี้บ่อย
สลับกับไม่รู้ลมเลย ไปคิดเรื่องอื่นเเล้ว พอรู้ตัวก็ดึงจิตกลับมารู้ลมต่อ

คำถามครับ
  ที่ผมฝึกการรู้ในอารมณ์เดียวคือลมหายใจ เพื่อให้จิตเป็นอุเบกขา เวลาทำงานหรือทำกิจกรรมต่างๆ ถ้าสติผมดี จิตผมนิ่ง
  เวลาทวารทั้ง 6 รับรู้อะไรก็ตาม เช่น ไปเห็นคนสวย เเล้วจิตปรุงเเต่งให้เกิดความกำหนัด เเต่สติผมมาเร็ว
  ผมน้อมจิตมาดูที่ความกำหนัดที่อยู่ในจิต พอดูเเล้วสักพัก ความกำหนัดก็คลายตัวลงเเล้วหายไป
1.1 การทำจิตให้ว่างเพื่อรอดูสิ่งปรุงเเต่งจิตที่จะเกิดจากทวารทั้ง 6 เพื่อให้เห็นกุศลเเละอกุศลจิต เเบบนี้ใช่วิปัสสนารึไม่ครับ
1.2 ถ้าทำเเบบนี้บ่อยๆจะเกิดปัญญาไหมครับ

มีอยู่วันนึงผมออกจากการนั่งสมาธิ เหน็บกินปวดขามาก ผมหลับตาเพื่อดูทุกขเวทนา เเล้วฉับพลันเหมือนเกิดสภาวะจิตเเยกเป็น 2 สิ่ง
อย่างเเรกเป็น ผู้ดู ผู้ดูนี้จะดูกายที่กำลังปวดเหมือนถอดจิตออกมา
อย่างที่ 2 เป็น สิ่งที่ถูกรู้คือกายกำลังนั่ง เเละ เวทนาที่กำลังปวด

คำถามครับ
2.1 ผมรู้สึกว่า สภาวะนี้ทำให้เห็นรูปเห็นนามชัดเจนมาก เห็นว่ากายไม่ใช่เรา เวทนาไม่ใช่เรา
สภาวะนี้ถือเป็นสภาวะวิปัสสนาที่ช่วยให้เกิดปัญญารึเปล่าครับ
2.2 ถ้าาภาวะนี้เกื้อหนุนให้เกิดปัญญา ทำอย่างไรหรือสร้างเหตุใกล้ให้เกิดภาวะนี้ยังไงครับ

3. ขอวิธีทำวิปัสสนาเเบบเป็นข้อๆเป็นขั้นเป็นตอน เเบบเข้าใจง่ายๆ ถ้าจะช่วยยกตัวอย่างให้เห็นภาพด้วย
จะถือเป็นพระคุณอย่างยิ่งเลยครับ

กุศลใดๆที่ท่านชี้ทางสว่างให้เเก่กระผม ขอให้กุศลนั้นๆเป็นปัจจัยให้ท่านถึงนิพพานด้วยครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
ก่อนอื่นขออนุโมทนาบุญบารมี ที่ท่านกำลังสร้างอยู่

1.1 การทำจิตให้ว่างเพื่อรอดูสิ่งปรุงเเต่งจิตที่จะเกิดจากทวารทั้ง 6 เพื่อให้เห็นกุศลเเละอกุศลจิต เเบบนี้ใช่วิปัสสนารึไม่ครับ
ตอบ การทำจิตให้ว่าง คือ อุเบกขา เกิดขึ้นได้จากทั้งสมาธิ และ ปัญญา อุเบกขาที่เกิดจากำลังสมาธิ เมื่อน้อมมาพิจารณาสังขารที่ปรุงแต่งจิตที่เกิดจากทวารทั้ง 6 ไม่เป็นการเจริญวิปัสสนาปัญญา เป็นเพียงใช้จิตที่มีกำลังสมาธิมากมาดูขันธ์ทำงาน เห็นได้ละเอียดชัดตามกำลังสมาธิ แต่การเจริญวิปัสสนาปัญญา วิปัสสนาหมายถึงการรู้แจ้งตามความเป็นจริงคือเห็นไตรลักษณะของอารมณ์รูปนาม จะต้องเป็นการรู้ตามความเป็นจริงตั้งแต่ยังไม่ว่าง(อุเบกขา)จนกระทั่งจิตปล่อยว่างอารมณ์ทั้งหมดได้เกิดเป็นอุเบกขาด้วยปัญญา จะเห็นได้ว่าสวนทางกันกับ การทำจิตให้ว่างแล้วมารอดูสิ่งปรุงแต่งจิต วิปัสสนาเป็นการเริ่มรู้ขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริงตั้งแต่ขณะจิตแรกที่เริ่มเจริญวิปัสสนา จนกระทั่งจิตว่างเกิดเป็นอุเบกขาด้วยปัญญา การจะเริ่มรู้ตามความเป็นจริงตั้งแต่ขณะจิตแรก ต้องเริ่มด้วยสติปัฏฐาน ๔ จึงจะถูกต้อง ไม่ใช่เริ่มด้วยการทำสมาธิให้จิตว่างก่อน  

1.2 ถ้าทำเเบบนี้บ่อยๆจะเกิดปัญญาไหมครับ
ตอบ ถ้าทำแบบข้อ 1.1 ไม่ใช่การเจริญปัญญา

2.1 ผมรู้สึกว่า สภาวะนี้ทำให้เห็นรูปเห็นนามชัดเจนมาก เห็นว่ากายไม่ใช่เรา เวทนาไม่ใช่เรา สภาวะนี้ถือเป็นสภาวะวิปัสสนาที่ช่วยให้เกิดปัญญารึเปล่าครับ
ตอบ ไม่ใช้ สภาวะที่เห็นเกิดจากจิตรวมเป็นสมาธิแยกจากกายและเวทนา เมื่อจิตไปดูกายก็จะเห็นกายแยกต่างหาก เมื่อไปดูเวทนาก็จะเห็นความปวดแยกต่างหากจากจิต จะเป็นวิปัสสนาปัญญา ก็ต่อเมื่อในสภาวะจิตปกติที่ไม่ได้เจริญสมาธินี่แหละ เห็นกายหายใจเอง เห็นกายเคลื่อนไหวเอง เห็นความปวดเกิดขึ้นเอง จิตไม่ได้หวั่นไหวตาม การเจริญสมาธิทำจิตให้ว่าง มีประโยชน์ช่วยให้จิตได้พักผ่อนมีกำลัง ไว้ใช้เจริญปัญญาได้ดี

2.2 ถ้าาภาวะนี้เกื้อหนุนให้เกิดปัญญา ทำอย่างไรหรือสร้างเหตุใกล้ให้เกิดภาวะนี้ยังไงครับ
ตอบ สัมมาสมาธิ เป็นเหตใกล้ให้เกิด ปัญญา, สัมมาสติ เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสัมมาสมาธิ, สัมมาสติ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯลฯ พิจารณา เห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ อันนี้เรียกว่า สัมมาสติ ฯ

3. ขอวิธีทำวิปัสสนาเเบบเป็นข้อๆเป็นขั้นเป็นตอน เเบบเข้าใจง่ายๆ ถ้าจะช่วยยกตัวอย่างให้เห็นภาพด้วย
ตอบ
1. รักษากาย วาใจ ใจ ให้เกิดเป็น สุจริต ๓  [๒๔๓] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุจริต ๓ อย่างนี้ ๓ อย่างเป็นไฉน คือ กายสุจริต ๑ วจีสุจริต ๑ มโนสุจริต ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุจริต ๓ อย่างนี้แล ฯ  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า บุคคลผู้มีปัญญา ละกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต และ ไม่กระทำ อกุศลกรรมอย่างอื่น อันประกอบด้วยโทษ กระทำกุศลเป็นอันมาก เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสวรรค์ ฯ เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล ฯ
2. เจริญสติปัฏฐาน ๔ ให้สมบูรณ์ วิปัสสนาปัญญาเริ่มเกิดในขณะเจริญสติปัฏฐาน และ บริบูรณ์เมื่อเจริญสติปัฏฐานจนเกิดเป็นโพชฌงค์ ๗ วิชชาและวุมุตติ ก็จะบริบูรณ์ตามมา
3. ธรรมเพิ่อการหลุดพ้นไม่สามารถถ่ายทอดให้ละเอียด เข้าใจได้ง่าย ต้องเข้าไปรู้เอง เห็นเอง เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ
"พระธรรมวินัยนี้ ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต คาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่