ความคิดเห็นจาก Expert Account
ความคิดเห็นที่ 1
ม่อซื่อหลิน หรือ พระยาราชาเศรษฐี เป็นเจ้าเมืองพุทไธมาศหรือเมืองฮาเตียนในสมียปลายอยุทธยาถึงธนบุรี สำหรับประวัติโดยละเอียดสามารถอ่านได้ตามลิ้งค์นี้เลยครับ http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4452.0
เรื่องพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่ได้รับการยอมรับจากราชสำนักต้าชิงในระยะแรกของการครองราชย์นั้น มีการศึกษาในวงวิชาการมาหลายสิบปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่ งานศึกษาที่เป้นที่รู้จักแพร่หลายคือ "ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงธนบุรี : ศึกษาจากเอกสารจีน (Thai History of Thonburi Period : Study from Chinese Document)" ของศาสตราจารย์ต้วนลี่เซิง (段立生)
เรื่องนี้มีหลักฐานอ้างอิงชิ้นสำคัญคือเอกสารชิงสือลู่ (清實錄) หรือ "บันทึกเรื่องจริงแห่งราชวงศ์ชิง" ซึ่งเป็นการรวบรวมหลักฐานต่างๆ ทั้งจดหมายเหตุพระราชกรณียกิจ กระแสพระราชดำรัสของจักรพรรดิแต่ละพระองค์ที่จดบันทึกแบบวันต่อวัน เมื่อจักรพรรดิพระองค์นั้นสวรรคตแล้วก็จะเรียบเรียกเป็นบรรพหนึ่ง จึงจัดได้ว่าเป็นหลักฐานชั้นต้นในการศึกษาประวัติศาสตร์สมัยนั้นชิ้นหนึ่ง โดยเนื้อหาที่เกี่ยวกับพระเจ้ากรุงธนบุรีถูกบันทึกไว้ใน บรรพต้าชิงเกาจงฉุนสือลู่ (大清高宗純皇帝) ซึ่งเป็นจดหมายเหตุในรัชกาลจักรพรรดิชิงเกาจง (清高宗) หรือจักรพรรดิเฉียนหลง (乾隆) ซึ่งอยู่ร่วมสมัยกับพระเจ้ากรุงธนบุรี
ปัจจุบันถูกตีพิมพ์เป็นภาษาไทยในชื่อ “หมิงสือลู่-ชิงสือลู่ บันทึกเรื่องจริงแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ตอนว่าด้วยสยาม” โดยมูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สามารถหามาศึกษาได้ครับ
ยังมีเอกสารชั้นต้นที่สำคัญคือ หนังสือกราบบังคมทูลของอุปราชมณฑลกว่างตง-กว่างซีที่ทูลเกล้าฯ ถวายจักรพรรดิเฉียนหลง ที่กล่าวถึงพระเจ้ากรุงธนบุรีมีทั้งหมด ๑๗ ฉบับ ซึ่งหลายตอนถูกรวบรวมไว้ในชิงสือลู่
เหตุที่ต้าชิงไม่ให้การยอมรับจากพระเจ้ากรุงธนบุรีในระยะแรกนั้น เพราะได้รับข่าวสารส่วนใหญ่มาจาก พระยาราชาเศรษฐีม่อซื่อหลิน (鄚士麟) หรือ หมักเทียนตื๊อ (鄚天賜) เจ้าเมืองพุทไธมาศ ซึ่งให้การอุปถัมภ์เชื้อพระวงศ์กรุงเก่าอยู่ ๒ องค์ คือ เจ้าจุ้ยโอรสเจ้าฟ้าอภัย และเจ้าศรีสังข์โอรสเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร จุดประสงค์จริงๆ ยังสรุปได้ยาก แต่เชื่อว่าคงจะหนุนขึ้นมาเป็นหุ่นเชิด นอกจากนี้หมักเทียนตื๊อก็มีความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงได้รายงานเกี่ยวกับสถานการณ์เหล่านี้ไปยังราชสำนักต้าชิง
ราชสำนักต้าชิงในเวลานั้นให้ความเชื่อถือม่อซื่อหลินมากพอสมควร ทำให้ได้ข่าวสารเรื่องพระเจ้ากรุงธนบุรีในแง่ลบพอสมควร ประกอบด้วยยึดถือเรื่องคติความกตัญญูของลัทธิขงจื่อ การที่พระเจ้ากรุงธนบุรีซึ่งเดิมเป็นเพียงขุนนางกับตั้งตนเป็นกษัตริย์แทนที่จะสนับสนุนเชื้อพระวงศ์กรุงเก่าทำให้ต้าชิงเห็นว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่มีความชอบธรรมเพียงพอที่จะครองแผ่นดิน เพราะละเมิดคุณธรรมข้อสำคัญในสายตาของคนจีน และเห็นว่าเชื้อพระวงศ์กรุงเก่าที่ยังมีพระชนม์อยู่ในเวลานั้น เช่น กรมหมื่นเทพพิพิธหรือเจ้าพิมาย เจ้าจุ้ย เจ้าศรีสังข์ มีความชอบธรรมสูงกว่า
ปรากฏในชิงสือลู่ระบุว่า เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงส่งคณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีและขอรับพระราชทานตราตั้งประจำตำแหน่งและตราคำหับสำหรับการค้าในระบบบรรณาการกับจีน (จิ้มก้อง) ใน พ.ศ. ๒๓๑๑ คณะทูตเดินทางไปถึงกวางตุ้ง หลี่ซื่อเหยา (李侍堯) ผู้เป็นเหลียงกว่างจ่งตู (兩廣總督) หรืออุปราชมณฑลกว่างตง-กว่างซี (กว้างตุ้ง-กวางสี) จึงได้ถวายพระราชสาส์นของพระเจ้ากรุงธนบุรีขึ้นไปปักกิ่ง ราชสำนักต้าชิงซึ่งไม่พอในพระเจ้ากรุงธนบุรีได้วิจารณ์พระเจ้ากรุงธนบุรีไว้ว่า
“หวังได้รับตราตั้งโดยมิชอบเพื่อเป็นเครื่องมือตั้งตนเหรือผู้อื่น มิได้สำนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณแลพระเมตตาของเจ้านายเก่า อีกทั้งมิได้สืบหาองค์รัชทายาท เพื่อกอบกู้ชาติแลโจมตีอริศัตรู ถือว่าผิดคุณธรรม จริยธรรม แลทำตนเกินศักดิ์”
จักรพรรดิเฉียนหลงจึงโปรดให้ตีกลับพระราชสาส์นของพระเจ้ากรุงธนบุรี และมีพระราชโองการให้ จวินจีต้าเฉิน (軍機大臣) หรือเสนาบดีสภาของราชสำนักร่างหนังสือในนามของหลี่ซื่อเหยา ให้ส่งต่อไปถึงพระเจ้ากรุงธนบุรีเพื่อตำหนิการครองราชสมบัติเองแทนที่จะสนบสนุนเจ้าราชวงศ์เก่า มีความตอนหนึ่งว่า
“...พื้นเพท่านเป็นชาวจีนย่อมรู้ดีถึงคุณธรรม จริยธรรม อันเป็นธรรมะสูงสุด จักไม่เคยรู้หลักคำสอนเรื่องนามนิยมเลยหรือ จึงปรากฏว่า เสียซื่อลู่ (พิษณุโลก) ลู่คุน (นครศรีธรรมราช) เกาเลี่ย (โคราช) รวม ๓ เมือง ต่างก็มีความเดือดเนื้อร้อนใจในศัตรูร่วมกัน อันเนื่องมาจากการที่ท่านตั้งตนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน”
ในช่วงต้นรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงมีการค้าในระบบบรรณาการกับต้าอย่างมาก เพราะต้าชิงไม่ยอมรื้อฟื้นการค้าในระบบบรรณาการอย่างในสมัยอยุทธยา
สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปในช่วงหลัง พ.ศ. ๒๓๑๔ ซึ่งพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงปราบปรามชุมนุมต่างๆ รวบรวมแผ่นดินกลับมาเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ ควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองได้เรียบร้อย ประกอบกับทรงยกทัพไปตีเมืองพุทไธมาศและปราบปรามม่อซื่อหลินได้ เจ้าจุ้ยถูกประหาร เจ้าศรีศักดิ์หนีไปในกัมพูชาแล้วหายสาบสูญไป ทำให้เชื้อสายกรุงเก่าหมดสิ้นลง ราชสำนักต้าชิงจึงเริ่มปล่อยเลยตามเลยกับพระเจ้ากรุงธนบุรี นอกจากนี้ต้าชิงไม่ได้เชื่อใจม่อซื่อหลินมากเท่าในอดีต เพราะเห็นว่าม่อซื่อหลินตั้งใจเชิดเจ้าจุ้ยเพื่อใช้เป็นช่องทางแสวงหาอำนาจ จักรพรรดิเฉียนหลงจึงทรงวางเฉยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องความขัดแย้งระหว่างสยามกับพุทไธมาศอีก
นอกจากนี้พระเจ้ากรุงธนบุรีก็ทรงพยายามรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับต้าชิง โดยในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๓๑๔ พระองค์ได้ส่งเชลยศึกระดับนายทหารชื่อ เซี่ยตูเหยียนต๋าพร้อมเชลยพม่ารวม ๓๙ คนที่จับได้จากสงครามตีเมืองเชียงใหม่ไปที่กว่างโจว ทำให้ต้าชิงมีท่าทีในทางบวกต่อพระเจ้ากรุงธนบุรีมากขึ้น จักรพรรดิเฉียนหลงจึงทรงมีพระราชโองการมาถึงหลี่ซื่อเหยา จักรพรรดิเฉียนหลงจึงทรงมีพระราชดำริกับหลี่ซื่อเหยาว่า หากพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงส่งคณะทูตมารื้อฟื้นความสัมพันธ์ในระบบบรรณาการอีกก็ไม่ให้ปฏิเสธอีกต่อไป และให้มอบแพรต่วนเป็นรางวัล แต่โปรดให้มอบให้ในนามของหลี่ซื่อเหยาเท่านั้น และยังไม่มีการรื้อฟื้นความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ เพราะต้าชิงต้องการสังเกตท่าทีของพระเจ้ากรุงธนบุรีก่อน
มีข้อสังเกตคือในหลักฐานจีนตั้งแต่เดือน ๘ ของศักราชเฉียนหลงที่ ๓๗ (พ.ศ. ๒๓๑๕) ได้เปลี่ยนการวิธีเรียกพระเจ้ากรุงธนบุรี จากเดิมที่เรียกว่า “หัวหน้าเผ่าชนอาณาจักรสยาม” หรือ “พระยาสิน” หรือ “กันเอินซื่อ” มาเรียกว่า เจิ้งเจา (鄭昭) แทน ซึ่งคำว่า เจา (昭) นั้นตรงกับภาษาไทยว่า "เจ้า" และเป็นคำนำหน้าของกษัตริย์อยุทธยารวมถึงเชื้อพระวงศ์หลายองค์ จึงมีการวิเคราะห์ว่าต้าชิงเริ่มให้การยอมรับพระเจ้ากรุงธนบุรีในฐานะพระเจ้าแผ่นดินแล้ว
ใน พ.ศ. ๒๓๑๘ พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงส่งชาวจีนชื่อ เฉินจุ้นชิง และ เหลียนซ่างเสวียน ชาวนาจากอำเภอไห่เฟิง มณฑลกวางตุ้งซึ่งตกค้างอยู่ที่พุทไธมาศพร้อมครอบครัวกลับภูมิลำเนาเพื่อแสดงความจริงใจต่อต้าชิง ในปีเดียวกันก็ทรงส่งนายทหารของมณฑลหยุนหนานชื่อ จ้าวเฉิงจัน พร้อมทหารอีก ๑๘ นายซึ่งถูกพม่าจับเป็นเชลยกลับเมืองจีน ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๑๙ ก็ทรงส่ง หยางเฉาผิง และพ่อค้าจากหยุนหนานอีก ๓ คนกลับเมืองจีน และปีต่อมาคือ พ.ศ. ๒๓๒๐ ทรงส่ง เหอเคอะ และเชลยพม่า ๖ คนไปยังกวางตุ้ง
การทำสงครามกับพม่าซึ่งเป็นศัตรูกับจีนรวมถึงการส่งเชลยไปให้ ทำให้ราชสำนักต้าชิงมีท่าทีในทางบวกมากขึ้น เห็นได้จากใน พ.ศ. ๒๓๒๐ ต้าชิงยอมอนุญาตขายกำมะถัน ๕๐ หาบและกระทะเหล็ก ๕๐๐ ใบ ซึ่งเป็นสิ่งค้าต้องห้ามให้สยามโดยไม่คิดมูลค่าจากเดิมที่ถูกปฏิเสธ และใน พ.ศ. ๒๓๒๑ ก็ยังอนุญาตให้สยามซื้อกำมะถันได้ ๑๐๐ หาบตามที่ร้องขอ
หลังจากนี้ สยามจึงเริ่มคิดจะส่งบรรณาการไปเมืองจีนเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ในระบบบรรณาการอีกครั้ง โดยมีหลักฐานว่าในเดือน ๗ ศักราชเฉียนหลงที่ ๔๒ (พ.ศ. ๒๓๒๐) พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงส่งคณะทูตจำนวน ๓ นายเดินทางไปปักกิ่งเพื่อแจ้งให้ต้าชิงทราบว่าจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต โดยราชสำนักต้าชิงอนุญาตให้ดำเนินการได้
แต่ว่ายังไม่ได้ไปอีกหลายปี โดยใน พ.ศ. ๒๓๒๑ ได้ทรงส่ง “บิ้น” (稟) ซึ่งเป็นเอกสารทางการประเภทหนึ่งในสมัยราชวงศ์ชิง ใช้สำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการติดต่อกับจีนแจ้งขอเลื่อนส่งบรรณาการไปก่อนเพราะยังบอบช้ำสงครามกับพม่า (คือ ภาพที่ คห.ที่ 2 นำมาลง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องจีนไม่พอใจพระเจ้ากรุงธนบุรีแต่ประการใดครับ)
จนสุดท้ายใน พ.ศ. ๒๓๒๔ พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงจัดส่งคณะทูตนำไปเจริญสัมพันธไมตรีอย่างเป็นทางการในที่สุด ประกอบด้วยเรือ ๑๑ ลำ บรรทุกสินค้าออกเดือนทางในเดือนพฤษภาคม มาถึงกวางตุ้งในเดือนกรกฎาคม โดยมีสินค้าและเครื่องบรรณาการจำนวนมาก พร้อมทั้งนำพระราชสาส์นของพระเจ้ากรุงธนบุรีไปถวายจักรพรรดิเฉียนหลงด้วย แต่เมื่อคณะทูตกลับมาถึงเมืองไทยก็พบว่าผลัดแผ่นดินแล้วครับ

รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านจากลิ้งค์ด้านล่างได้ครับ
https://pantip.com/topic/36939169
http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2006/03/K4204481/K4204481.html
เห็นคุณ คห.2 ตอบไว้ด้านล่างเลยขอเสริมนิดนึงครับ
จากหลักฐานที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้นแสดงเห็นชัดเจนว่าในช่วงต้นรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่ได้รับการยอมรับกับต้าชิงจนการค้าในระบบบรรณาการมีปัญหาจริง โดยเพิ่งจะมีฟื้นฟูในภายหลัง พ.ศ. ๒๓๑๕ เป็นต้นมา ซึ่งอย่างที่กล่าวคือมีหลักฐานชั้นต้นของจีนรองรับในเรื่องนี้จำนวนมาก และมีการศึกษาเป็นที่ยอบรับในวงวิชาการหลายสิบปีแล้วครับ
ภาพพระราชสาส์นที่คุณ คห. 2 ยกมานั้นเป็นภาพหนังสือขอเลื่อนบรรณาการที่พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงไปใน พ.ศ. ๒๓๒๑ หลังจากได้รับพระบรมราชานุญาตจากจักรพรรดิเฉียนหลงให้มีการติดต่อทางการค้าเหมือนในอดีตแล้ว ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับช่วงที่ยังมีปัญหากันอยู่แต่ประการใด และไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องความไม่พอพระทัยของจักรพรรดิเฉียนหลงว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่ส่งบรรณาการให้แต่อย่างใด (เพราะแต่เดิมไม่ได้รับอนุญาตให้ส่ง เพิ่งได้รับอนุญาตในช่วงหลัง) จึงควรตรวจสอบบริบทและเนื้อหาของหลักฐานชิ้นนี้ให้ดีก่อนครับว่าเป็นเอกสารในสมัยใดและกล่าวถึงเรื่องใดบ้าง
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมต้าชิงยังยอมติดต่อกับราชวงศ์ของพระเพทราชาที่ล้มราชสมบัติ เพราะกษัตริย์วงศ์พระเพทราชาซึ่งควบคุมสถานการณ์ในอยุทธยาได้เด็ดขาดไม่ได้มีการรายงานไปถึงราชสำนักต้าชิงว่ามีการแย่งชิงราชสมบัติในกรุงแต่อย่างใด เช่นเดียวกับกษัตริย์ในอดีตที่ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการรายงานไปเช่นเดียวกัน จีนซึ่งเป็นรัฐห่างไกลจะไม่ทราบเรื่องก็ไม่แปลกและยินดีที่จะค้าขายไปตามปกติครับ
นอกจากนี้ก็พบว่าอยุทธยาหยุดส่งคณะทูตไปจีนตั้งแต่ พ.ศ. ๒๒๒๘ มาส่งใหม่อีกครั้งใน พ.ศ. ๒๒๕๑ เป็นไปได้ว่าเพราะเกรงเรื่องการยอมรับจากต้าชิงด้วย เลยอาจจะรอให้เรื่องเงียบไปก่อน หรือไม่ก่อเพราะมีปัญหาทางการเมืองภายในมากจึงไม่ได้ส่งไป
ยุคของพระเพทราชามีบริบทแตกต่างกับยุคของพระเจ้ากรุงธนบุรีคือ ในสมัยต้นกรุงธนบุรี บ้านเมืองเป็นจลาจล ยังมีม่อซื่อหลินที่เป็นศัตรูของพระเจ้ากรุงธนบุรีและอุปถัมภ์เชื้อสายราชวงศ์กรุงเก่าอยู่ ด้วยความที่ม่อซื่อหลินมีความใกล้ชิดติดต่อกับราชสำนักต้าชิงเป็นประจำ จึงมีช่องทางที่ให้ข้อมูลแง่ลบเกี่ยวกับพระเจ้ากรุงธนบุรีให้ต้าชิงเกิดความไม่ไว้วางใจได้ เพื่อเพิ่มความชอบธรรมให้เจ้ากรุงเก่าที่เป็นหุ่นเชิดของตน
ส่วนยุคพระเพทราชาแม้จะมีกบฏหัวเมืองอยู่บ่อยครั้ง แต่พระเพทราชาก็คุมอำนาจทางการเมืองในอยุทธยาได้เด็ดขาดไม่ได้อยู่ในสภาพจลาจลเหมือนตอนเสียกรุงที่ทำให้พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีศัตรูหลายกลุ่มและต้องแย่งความชอบธรรมในการครองแผ่นดิน นอกจากนี้ก็ไม่ได้มีศัตรูที่มีอิทธิพลใกล้ชิดกับจีนแบบม่อซื่อหลินที่มีเจ้ากรุงเก่าเป็นหุ่นเชิด การที่จะมีผู้รายงานข่าวในแง่ลบเกี่ยวกับพระเพทราชาไปถึงราชสำนักจีนนั้นเป็นไปได้น้อยกว่ายุคของพระเจ้ากรุงธนบุรีครับ
เรื่องพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่ได้รับการยอมรับจากราชสำนักต้าชิงในระยะแรกของการครองราชย์นั้น มีการศึกษาในวงวิชาการมาหลายสิบปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่ งานศึกษาที่เป้นที่รู้จักแพร่หลายคือ "ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงธนบุรี : ศึกษาจากเอกสารจีน (Thai History of Thonburi Period : Study from Chinese Document)" ของศาสตราจารย์ต้วนลี่เซิง (段立生)
เรื่องนี้มีหลักฐานอ้างอิงชิ้นสำคัญคือเอกสารชิงสือลู่ (清實錄) หรือ "บันทึกเรื่องจริงแห่งราชวงศ์ชิง" ซึ่งเป็นการรวบรวมหลักฐานต่างๆ ทั้งจดหมายเหตุพระราชกรณียกิจ กระแสพระราชดำรัสของจักรพรรดิแต่ละพระองค์ที่จดบันทึกแบบวันต่อวัน เมื่อจักรพรรดิพระองค์นั้นสวรรคตแล้วก็จะเรียบเรียกเป็นบรรพหนึ่ง จึงจัดได้ว่าเป็นหลักฐานชั้นต้นในการศึกษาประวัติศาสตร์สมัยนั้นชิ้นหนึ่ง โดยเนื้อหาที่เกี่ยวกับพระเจ้ากรุงธนบุรีถูกบันทึกไว้ใน บรรพต้าชิงเกาจงฉุนสือลู่ (大清高宗純皇帝) ซึ่งเป็นจดหมายเหตุในรัชกาลจักรพรรดิชิงเกาจง (清高宗) หรือจักรพรรดิเฉียนหลง (乾隆) ซึ่งอยู่ร่วมสมัยกับพระเจ้ากรุงธนบุรี
ปัจจุบันถูกตีพิมพ์เป็นภาษาไทยในชื่อ “หมิงสือลู่-ชิงสือลู่ บันทึกเรื่องจริงแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ตอนว่าด้วยสยาม” โดยมูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สามารถหามาศึกษาได้ครับ
ยังมีเอกสารชั้นต้นที่สำคัญคือ หนังสือกราบบังคมทูลของอุปราชมณฑลกว่างตง-กว่างซีที่ทูลเกล้าฯ ถวายจักรพรรดิเฉียนหลง ที่กล่าวถึงพระเจ้ากรุงธนบุรีมีทั้งหมด ๑๗ ฉบับ ซึ่งหลายตอนถูกรวบรวมไว้ในชิงสือลู่
เหตุที่ต้าชิงไม่ให้การยอมรับจากพระเจ้ากรุงธนบุรีในระยะแรกนั้น เพราะได้รับข่าวสารส่วนใหญ่มาจาก พระยาราชาเศรษฐีม่อซื่อหลิน (鄚士麟) หรือ หมักเทียนตื๊อ (鄚天賜) เจ้าเมืองพุทไธมาศ ซึ่งให้การอุปถัมภ์เชื้อพระวงศ์กรุงเก่าอยู่ ๒ องค์ คือ เจ้าจุ้ยโอรสเจ้าฟ้าอภัย และเจ้าศรีสังข์โอรสเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร จุดประสงค์จริงๆ ยังสรุปได้ยาก แต่เชื่อว่าคงจะหนุนขึ้นมาเป็นหุ่นเชิด นอกจากนี้หมักเทียนตื๊อก็มีความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงได้รายงานเกี่ยวกับสถานการณ์เหล่านี้ไปยังราชสำนักต้าชิง
ราชสำนักต้าชิงในเวลานั้นให้ความเชื่อถือม่อซื่อหลินมากพอสมควร ทำให้ได้ข่าวสารเรื่องพระเจ้ากรุงธนบุรีในแง่ลบพอสมควร ประกอบด้วยยึดถือเรื่องคติความกตัญญูของลัทธิขงจื่อ การที่พระเจ้ากรุงธนบุรีซึ่งเดิมเป็นเพียงขุนนางกับตั้งตนเป็นกษัตริย์แทนที่จะสนับสนุนเชื้อพระวงศ์กรุงเก่าทำให้ต้าชิงเห็นว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่มีความชอบธรรมเพียงพอที่จะครองแผ่นดิน เพราะละเมิดคุณธรรมข้อสำคัญในสายตาของคนจีน และเห็นว่าเชื้อพระวงศ์กรุงเก่าที่ยังมีพระชนม์อยู่ในเวลานั้น เช่น กรมหมื่นเทพพิพิธหรือเจ้าพิมาย เจ้าจุ้ย เจ้าศรีสังข์ มีความชอบธรรมสูงกว่า
ปรากฏในชิงสือลู่ระบุว่า เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงส่งคณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีและขอรับพระราชทานตราตั้งประจำตำแหน่งและตราคำหับสำหรับการค้าในระบบบรรณาการกับจีน (จิ้มก้อง) ใน พ.ศ. ๒๓๑๑ คณะทูตเดินทางไปถึงกวางตุ้ง หลี่ซื่อเหยา (李侍堯) ผู้เป็นเหลียงกว่างจ่งตู (兩廣總督) หรืออุปราชมณฑลกว่างตง-กว่างซี (กว้างตุ้ง-กวางสี) จึงได้ถวายพระราชสาส์นของพระเจ้ากรุงธนบุรีขึ้นไปปักกิ่ง ราชสำนักต้าชิงซึ่งไม่พอในพระเจ้ากรุงธนบุรีได้วิจารณ์พระเจ้ากรุงธนบุรีไว้ว่า
“หวังได้รับตราตั้งโดยมิชอบเพื่อเป็นเครื่องมือตั้งตนเหรือผู้อื่น มิได้สำนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณแลพระเมตตาของเจ้านายเก่า อีกทั้งมิได้สืบหาองค์รัชทายาท เพื่อกอบกู้ชาติแลโจมตีอริศัตรู ถือว่าผิดคุณธรรม จริยธรรม แลทำตนเกินศักดิ์”
จักรพรรดิเฉียนหลงจึงโปรดให้ตีกลับพระราชสาส์นของพระเจ้ากรุงธนบุรี และมีพระราชโองการให้ จวินจีต้าเฉิน (軍機大臣) หรือเสนาบดีสภาของราชสำนักร่างหนังสือในนามของหลี่ซื่อเหยา ให้ส่งต่อไปถึงพระเจ้ากรุงธนบุรีเพื่อตำหนิการครองราชสมบัติเองแทนที่จะสนบสนุนเจ้าราชวงศ์เก่า มีความตอนหนึ่งว่า
“...พื้นเพท่านเป็นชาวจีนย่อมรู้ดีถึงคุณธรรม จริยธรรม อันเป็นธรรมะสูงสุด จักไม่เคยรู้หลักคำสอนเรื่องนามนิยมเลยหรือ จึงปรากฏว่า เสียซื่อลู่ (พิษณุโลก) ลู่คุน (นครศรีธรรมราช) เกาเลี่ย (โคราช) รวม ๓ เมือง ต่างก็มีความเดือดเนื้อร้อนใจในศัตรูร่วมกัน อันเนื่องมาจากการที่ท่านตั้งตนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน”
ในช่วงต้นรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงมีการค้าในระบบบรรณาการกับต้าอย่างมาก เพราะต้าชิงไม่ยอมรื้อฟื้นการค้าในระบบบรรณาการอย่างในสมัยอยุทธยา
สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปในช่วงหลัง พ.ศ. ๒๓๑๔ ซึ่งพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงปราบปรามชุมนุมต่างๆ รวบรวมแผ่นดินกลับมาเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ ควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองได้เรียบร้อย ประกอบกับทรงยกทัพไปตีเมืองพุทไธมาศและปราบปรามม่อซื่อหลินได้ เจ้าจุ้ยถูกประหาร เจ้าศรีศักดิ์หนีไปในกัมพูชาแล้วหายสาบสูญไป ทำให้เชื้อสายกรุงเก่าหมดสิ้นลง ราชสำนักต้าชิงจึงเริ่มปล่อยเลยตามเลยกับพระเจ้ากรุงธนบุรี นอกจากนี้ต้าชิงไม่ได้เชื่อใจม่อซื่อหลินมากเท่าในอดีต เพราะเห็นว่าม่อซื่อหลินตั้งใจเชิดเจ้าจุ้ยเพื่อใช้เป็นช่องทางแสวงหาอำนาจ จักรพรรดิเฉียนหลงจึงทรงวางเฉยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องความขัดแย้งระหว่างสยามกับพุทไธมาศอีก
นอกจากนี้พระเจ้ากรุงธนบุรีก็ทรงพยายามรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับต้าชิง โดยในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๓๑๔ พระองค์ได้ส่งเชลยศึกระดับนายทหารชื่อ เซี่ยตูเหยียนต๋าพร้อมเชลยพม่ารวม ๓๙ คนที่จับได้จากสงครามตีเมืองเชียงใหม่ไปที่กว่างโจว ทำให้ต้าชิงมีท่าทีในทางบวกต่อพระเจ้ากรุงธนบุรีมากขึ้น จักรพรรดิเฉียนหลงจึงทรงมีพระราชโองการมาถึงหลี่ซื่อเหยา จักรพรรดิเฉียนหลงจึงทรงมีพระราชดำริกับหลี่ซื่อเหยาว่า หากพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงส่งคณะทูตมารื้อฟื้นความสัมพันธ์ในระบบบรรณาการอีกก็ไม่ให้ปฏิเสธอีกต่อไป และให้มอบแพรต่วนเป็นรางวัล แต่โปรดให้มอบให้ในนามของหลี่ซื่อเหยาเท่านั้น และยังไม่มีการรื้อฟื้นความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ เพราะต้าชิงต้องการสังเกตท่าทีของพระเจ้ากรุงธนบุรีก่อน
มีข้อสังเกตคือในหลักฐานจีนตั้งแต่เดือน ๘ ของศักราชเฉียนหลงที่ ๓๗ (พ.ศ. ๒๓๑๕) ได้เปลี่ยนการวิธีเรียกพระเจ้ากรุงธนบุรี จากเดิมที่เรียกว่า “หัวหน้าเผ่าชนอาณาจักรสยาม” หรือ “พระยาสิน” หรือ “กันเอินซื่อ” มาเรียกว่า เจิ้งเจา (鄭昭) แทน ซึ่งคำว่า เจา (昭) นั้นตรงกับภาษาไทยว่า "เจ้า" และเป็นคำนำหน้าของกษัตริย์อยุทธยารวมถึงเชื้อพระวงศ์หลายองค์ จึงมีการวิเคราะห์ว่าต้าชิงเริ่มให้การยอมรับพระเจ้ากรุงธนบุรีในฐานะพระเจ้าแผ่นดินแล้ว
ใน พ.ศ. ๒๓๑๘ พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงส่งชาวจีนชื่อ เฉินจุ้นชิง และ เหลียนซ่างเสวียน ชาวนาจากอำเภอไห่เฟิง มณฑลกวางตุ้งซึ่งตกค้างอยู่ที่พุทไธมาศพร้อมครอบครัวกลับภูมิลำเนาเพื่อแสดงความจริงใจต่อต้าชิง ในปีเดียวกันก็ทรงส่งนายทหารของมณฑลหยุนหนานชื่อ จ้าวเฉิงจัน พร้อมทหารอีก ๑๘ นายซึ่งถูกพม่าจับเป็นเชลยกลับเมืองจีน ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๑๙ ก็ทรงส่ง หยางเฉาผิง และพ่อค้าจากหยุนหนานอีก ๓ คนกลับเมืองจีน และปีต่อมาคือ พ.ศ. ๒๓๒๐ ทรงส่ง เหอเคอะ และเชลยพม่า ๖ คนไปยังกวางตุ้ง
การทำสงครามกับพม่าซึ่งเป็นศัตรูกับจีนรวมถึงการส่งเชลยไปให้ ทำให้ราชสำนักต้าชิงมีท่าทีในทางบวกมากขึ้น เห็นได้จากใน พ.ศ. ๒๓๒๐ ต้าชิงยอมอนุญาตขายกำมะถัน ๕๐ หาบและกระทะเหล็ก ๕๐๐ ใบ ซึ่งเป็นสิ่งค้าต้องห้ามให้สยามโดยไม่คิดมูลค่าจากเดิมที่ถูกปฏิเสธ และใน พ.ศ. ๒๓๒๑ ก็ยังอนุญาตให้สยามซื้อกำมะถันได้ ๑๐๐ หาบตามที่ร้องขอ
หลังจากนี้ สยามจึงเริ่มคิดจะส่งบรรณาการไปเมืองจีนเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ในระบบบรรณาการอีกครั้ง โดยมีหลักฐานว่าในเดือน ๗ ศักราชเฉียนหลงที่ ๔๒ (พ.ศ. ๒๓๒๐) พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงส่งคณะทูตจำนวน ๓ นายเดินทางไปปักกิ่งเพื่อแจ้งให้ต้าชิงทราบว่าจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต โดยราชสำนักต้าชิงอนุญาตให้ดำเนินการได้
แต่ว่ายังไม่ได้ไปอีกหลายปี โดยใน พ.ศ. ๒๓๒๑ ได้ทรงส่ง “บิ้น” (稟) ซึ่งเป็นเอกสารทางการประเภทหนึ่งในสมัยราชวงศ์ชิง ใช้สำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการติดต่อกับจีนแจ้งขอเลื่อนส่งบรรณาการไปก่อนเพราะยังบอบช้ำสงครามกับพม่า (คือ ภาพที่ คห.ที่ 2 นำมาลง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องจีนไม่พอใจพระเจ้ากรุงธนบุรีแต่ประการใดครับ)
จนสุดท้ายใน พ.ศ. ๒๓๒๔ พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงจัดส่งคณะทูตนำไปเจริญสัมพันธไมตรีอย่างเป็นทางการในที่สุด ประกอบด้วยเรือ ๑๑ ลำ บรรทุกสินค้าออกเดือนทางในเดือนพฤษภาคม มาถึงกวางตุ้งในเดือนกรกฎาคม โดยมีสินค้าและเครื่องบรรณาการจำนวนมาก พร้อมทั้งนำพระราชสาส์นของพระเจ้ากรุงธนบุรีไปถวายจักรพรรดิเฉียนหลงด้วย แต่เมื่อคณะทูตกลับมาถึงเมืองไทยก็พบว่าผลัดแผ่นดินแล้วครับ
พระราชสาส์นของพระเจ้ากรุงธนบุรี จุลศักราช ๑๑๔๓ (พ.ศ. ๒๓๒๔)
ปัจจุบันอยู่ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ พระนคร
ปัจจุบันอยู่ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ พระนคร

รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านจากลิ้งค์ด้านล่างได้ครับ
https://pantip.com/topic/36939169
http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2006/03/K4204481/K4204481.html
เห็นคุณ คห.2 ตอบไว้ด้านล่างเลยขอเสริมนิดนึงครับ
จากหลักฐานที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้นแสดงเห็นชัดเจนว่าในช่วงต้นรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่ได้รับการยอมรับกับต้าชิงจนการค้าในระบบบรรณาการมีปัญหาจริง โดยเพิ่งจะมีฟื้นฟูในภายหลัง พ.ศ. ๒๓๑๕ เป็นต้นมา ซึ่งอย่างที่กล่าวคือมีหลักฐานชั้นต้นของจีนรองรับในเรื่องนี้จำนวนมาก และมีการศึกษาเป็นที่ยอบรับในวงวิชาการหลายสิบปีแล้วครับ
ภาพพระราชสาส์นที่คุณ คห. 2 ยกมานั้นเป็นภาพหนังสือขอเลื่อนบรรณาการที่พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงไปใน พ.ศ. ๒๓๒๑ หลังจากได้รับพระบรมราชานุญาตจากจักรพรรดิเฉียนหลงให้มีการติดต่อทางการค้าเหมือนในอดีตแล้ว ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับช่วงที่ยังมีปัญหากันอยู่แต่ประการใด และไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องความไม่พอพระทัยของจักรพรรดิเฉียนหลงว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่ส่งบรรณาการให้แต่อย่างใด (เพราะแต่เดิมไม่ได้รับอนุญาตให้ส่ง เพิ่งได้รับอนุญาตในช่วงหลัง) จึงควรตรวจสอบบริบทและเนื้อหาของหลักฐานชิ้นนี้ให้ดีก่อนครับว่าเป็นเอกสารในสมัยใดและกล่าวถึงเรื่องใดบ้าง
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมต้าชิงยังยอมติดต่อกับราชวงศ์ของพระเพทราชาที่ล้มราชสมบัติ เพราะกษัตริย์วงศ์พระเพทราชาซึ่งควบคุมสถานการณ์ในอยุทธยาได้เด็ดขาดไม่ได้มีการรายงานไปถึงราชสำนักต้าชิงว่ามีการแย่งชิงราชสมบัติในกรุงแต่อย่างใด เช่นเดียวกับกษัตริย์ในอดีตที่ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการรายงานไปเช่นเดียวกัน จีนซึ่งเป็นรัฐห่างไกลจะไม่ทราบเรื่องก็ไม่แปลกและยินดีที่จะค้าขายไปตามปกติครับ
นอกจากนี้ก็พบว่าอยุทธยาหยุดส่งคณะทูตไปจีนตั้งแต่ พ.ศ. ๒๒๒๘ มาส่งใหม่อีกครั้งใน พ.ศ. ๒๒๕๑ เป็นไปได้ว่าเพราะเกรงเรื่องการยอมรับจากต้าชิงด้วย เลยอาจจะรอให้เรื่องเงียบไปก่อน หรือไม่ก่อเพราะมีปัญหาทางการเมืองภายในมากจึงไม่ได้ส่งไป
ยุคของพระเพทราชามีบริบทแตกต่างกับยุคของพระเจ้ากรุงธนบุรีคือ ในสมัยต้นกรุงธนบุรี บ้านเมืองเป็นจลาจล ยังมีม่อซื่อหลินที่เป็นศัตรูของพระเจ้ากรุงธนบุรีและอุปถัมภ์เชื้อสายราชวงศ์กรุงเก่าอยู่ ด้วยความที่ม่อซื่อหลินมีความใกล้ชิดติดต่อกับราชสำนักต้าชิงเป็นประจำ จึงมีช่องทางที่ให้ข้อมูลแง่ลบเกี่ยวกับพระเจ้ากรุงธนบุรีให้ต้าชิงเกิดความไม่ไว้วางใจได้ เพื่อเพิ่มความชอบธรรมให้เจ้ากรุงเก่าที่เป็นหุ่นเชิดของตน
ส่วนยุคพระเพทราชาแม้จะมีกบฏหัวเมืองอยู่บ่อยครั้ง แต่พระเพทราชาก็คุมอำนาจทางการเมืองในอยุทธยาได้เด็ดขาดไม่ได้อยู่ในสภาพจลาจลเหมือนตอนเสียกรุงที่ทำให้พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีศัตรูหลายกลุ่มและต้องแย่งความชอบธรรมในการครองแผ่นดิน นอกจากนี้ก็ไม่ได้มีศัตรูที่มีอิทธิพลใกล้ชิดกับจีนแบบม่อซื่อหลินที่มีเจ้ากรุงเก่าเป็นหุ่นเชิด การที่จะมีผู้รายงานข่าวในแง่ลบเกี่ยวกับพระเพทราชาไปถึงราชสำนักจีนนั้นเป็นไปได้น้อยกว่ายุคของพระเจ้ากรุงธนบุรีครับ
แสดงความคิดเห็น
ม่อซื่อหลิน เป็นใคร ปกครองเมืองไหน และเป็นคนจีนรึเปล่าครับ