เด็กผู้หญิงคนหนึ่งค่อยๆเติบโตขึ้นในครอบครัวที่ให้การอบรมสั่งสอน และให้ประสบการณ์ชีวิตที่ดีและเลวร้ายกับเธอในทุกๆวันโดยไม่รู้ตัว ครอบครัวหาเช้ากินค่ำที่พ่อทำงานหาเงินนอกบ้าน แม่เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก ฐานะปานกลางไม่ได้ลำบากอะไร แต่ไม่ได้มีความสุขมากนัก เพราะภาพที่เธอเห็นมาตลอดตั้งแต่เด็กจนโตก็คือ “พ่อแม่ทะเลาะกัน”
ทุกครั้งที่พ่อแม่ทะเลาะกัน แม่จะพาเธอเข้าไปอยู่ในเหตุการ์นั้นด้วยทุกครั้ง ซึ่งสิ่งที่เธอเห็นทุกครั้งก็คือ พ่อตบตีแม่ เห็นแบบนี้ตั้งแต่จำความได้ ตอนเด็กเธอมักจะเข้าไปขวางไม่ให้พ่อตีแม่ แต่สุดท้ายก็ไม่มีประโยชน์อันใดและเธอยังเจ็บตัวกลับมาทุกครั้ง พอเธอเริ่มโตขึ้นก็เริ่มเรียนรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เธอควรทำมากที่สุด นั่นก็คือการยืนดูอยู่ห่างๆเงียบๆ ไม่ควรเข้าไปห้าม
เธอเห็นทุกครั้งที่แม่โดนตบตี นั่งร้องไห้เสียใจ แม้เธอเป็นเด็กแต่เธอสามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดและความทุกข์ที่แม่มีนั้นได้ชัดเจน
เหตุการณ์ต่างๆหล่อหลอมเด็กน้อยคนนี้ให้เป็นเด็กที่ดูแล้วเรียบร้อย เงียบๆ ไม่พูดไม่จา ไม่กล้าแสดงออก ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ขณะที่พี่น้องเด็กวัยเดียวกันวิ่งเล่นเธอจะคอยนั่งดูแลเด็กๆพวกนั้น เธอจะไม่เข้าไปวิ่งเล่นด้วย เป็นคนที่ยอมคนไปหมด ไม่มีปากเสียงกับใคร มีน้ำใจกับคนอื่น ชอบเป็นผู้ให้
แต่ “เกลียดน้องชายที่คลานตามกันมา” ตั้งแต่จำความได้ อยู่ด้วยกันไม่ได้จะต้องทะเลาะกัน จะต้องตีกันตลอดเวลา ทำให้เธอโดนพ่อแม่ทำโทษเสมอ การทำโทษของพ่อแม่ก็คือ “ตี” แต่เวลาทะเลาะกับน้องแม่มักจะตีเธอคนเดียวเสมอ จึงทำให้เกิดความเกลียดชังสะสมตั้งแต่เด็กจนโต และทุกครั้งแม่จะต้องฟ้องพ่อเมื่อพ่อกลับมาถึงบ้าน ว่าเธอนั้นทะเลาะกับน้องเพื่อให้ลงโทษอีก ซึ่งก็ลงโทษด้วยการตีเช่นกัน
และหลังจากที่แม่เล่าเหตุการณ์ที่เธอทะเลาะกับน้องให้พ่อฟังจนจบนั้น พ่อจะถามว่า “เป็นอย่างนั้นที่แม่พูดใช่มั๊ย” ฟังดูแล้วก็น่าดี เป็นคำถามที่สมควรจะถามลูกหากต้องการฟังคำอธิบาย แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย พ่อแค่ต้องการคำตอบว่า “ใช่ มันเป็นอย่างนั้น เธอเป็นคนผิดเอง” ให้เธอต้องยอมจำนนต่อความผิด แม้ว่าเธออาจจะไม่ได้ผิดหรือผิดเพียงครึ่งเดียวก็ตาม แต่ความโชคร้ายที่เธอเกิดเป็นพี่ พ่อแม่จึงใส่คำว่า “เธอต้องผิดคนเดียวเท่านั้น” ใส่เอาไว้ในหัวของเธอ แม้เธอแค่คิดจะอธิบาย หรือเอ่ยปากพูดออกไปยังไม่ทันรู้เรื่องอะไร พ่อก็มักจะถามว่า “นี่เถียงหรอ หยุดเลยนะ” แล้วก็ลงมือลงโทษ ฟาดด้วยเข็มขัดหนัง ทุกครั้งไม่เคยต่ำกว่า 3 ที
เธอจึงเติบโตขึ้นมากับการเรียนรู้ว่าถ้าพ่อแม่ถามคือ “ไม่ได้ต้องการคำตอบ” ถ้าถามว่ามีอะไรจะพูดหรือไม่ ก็แค่ส่ายหน้าไปจะได้จบๆ ถ้าพูดมากไปเดี๋ยวพ่อแม่จะหาว่าเถียงคำไม่ตกฟาก ใจเธอคิดเพียงว่าจะตีก็ตีเลยจะได้จบๆเรื่องไปซะ
เวลาพ่อตี พ่อจะใช้เข็มขัดฟาดที่ก้นซึ่งเจ็บมาก เธอจำได้ว่ามันเจ็บมากแต่เธอต้องเข้มแข็ง พ่อฟาดไปพร้อมๆกับคำสั่ง “บอกว่าให้หยุดร้องเดี๋ยวนี้เลยนะ ทำผิดยังจะมาร้องอีกหรอ” เธอต้องทนยืนนิ่งๆไม่ดิ้นไม่หลบไม่หนีไม่ร้อง ไม่มีน้ำตา และไม่มีความรู้สึกในที่สุด
พ่อของเธอค่อนข้างจะเผด็จการ เป็นลูกห้ามมีความคิดห้ามมีความรู้สึก ไม่สามารถพูดหรืออธิบายได้ เธอจึงไม่พูดอะไรกับใคร ถึงแม้ปัญหาที่เธอเจอมันจะใหญ่มากแค่ไหนก็ตาม เพราะเธอได้เรียนรู้ว่าพ่อและแม่ไม่มีใครรับฟังอะไรจากเธอ
ส่วนเรื่องการเรียนนั้นปกติพ่อเธอไม่เคยเข้ามาใส่ใจเรื่องเรียนแบบจริงๆ จังๆ เพียงแค่สั่งๆและสั่ง ให้ทำการบ้าน ให้อ่านหนังสือ ห้ามดูโทรทัศน์ ห้ามฟังเพลง ห้ามนู่นห้ามนี่ แต่ไม่เคยมาดูว่าเรียนเรื่องอะไร หรือมาใส่ใจรายละเอียดใกล้ชิด มานั่งสอนการบ้านลูก แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนเธอเรียนอยู่ ป.4 มีการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ ที่เธอติดขัดทำไม่ได้ เธอจึงเอาการบ้านไปให้พ่อสอน พ่อของเธอก็สอนให้แต่เธอนั้นยังไม่เข้าใจและตอบคำถามการบ้านข้อนั้นยังไม่ได้ พ่อของเธออารมณ์เสียมาก ตวาดเสียงดังใส่เธอ “แค่นี้ทำไมตอบไม่ได้ ไม่ได้ตั้งใจเรียนใช่มั๊ย เรียนหนังสือยังไงโง่เหมือนควาย” แล้วก็ตบหัวเธออย่างแรงจนตกจากเก้าอี้ที่นั่งทำการบ้าน
( นึกถึงเรื่องนี้ทีไร น้ำตามันยังไหลทุกที แม้ว่ามันจะผ่านมานานแสนนาน )
ขอสมมติให้เป็นเรื่องของเด็กคนหนึ่ง ที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบนี้ ตามหลักจิตวิทยาแล้วจะส่งผลในอยาคตอย่างไรคะ
ทุกครั้งที่พ่อแม่ทะเลาะกัน แม่จะพาเธอเข้าไปอยู่ในเหตุการ์นั้นด้วยทุกครั้ง ซึ่งสิ่งที่เธอเห็นทุกครั้งก็คือ พ่อตบตีแม่ เห็นแบบนี้ตั้งแต่จำความได้ ตอนเด็กเธอมักจะเข้าไปขวางไม่ให้พ่อตีแม่ แต่สุดท้ายก็ไม่มีประโยชน์อันใดและเธอยังเจ็บตัวกลับมาทุกครั้ง พอเธอเริ่มโตขึ้นก็เริ่มเรียนรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เธอควรทำมากที่สุด นั่นก็คือการยืนดูอยู่ห่างๆเงียบๆ ไม่ควรเข้าไปห้าม
เธอเห็นทุกครั้งที่แม่โดนตบตี นั่งร้องไห้เสียใจ แม้เธอเป็นเด็กแต่เธอสามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดและความทุกข์ที่แม่มีนั้นได้ชัดเจน
เหตุการณ์ต่างๆหล่อหลอมเด็กน้อยคนนี้ให้เป็นเด็กที่ดูแล้วเรียบร้อย เงียบๆ ไม่พูดไม่จา ไม่กล้าแสดงออก ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ขณะที่พี่น้องเด็กวัยเดียวกันวิ่งเล่นเธอจะคอยนั่งดูแลเด็กๆพวกนั้น เธอจะไม่เข้าไปวิ่งเล่นด้วย เป็นคนที่ยอมคนไปหมด ไม่มีปากเสียงกับใคร มีน้ำใจกับคนอื่น ชอบเป็นผู้ให้
แต่ “เกลียดน้องชายที่คลานตามกันมา” ตั้งแต่จำความได้ อยู่ด้วยกันไม่ได้จะต้องทะเลาะกัน จะต้องตีกันตลอดเวลา ทำให้เธอโดนพ่อแม่ทำโทษเสมอ การทำโทษของพ่อแม่ก็คือ “ตี” แต่เวลาทะเลาะกับน้องแม่มักจะตีเธอคนเดียวเสมอ จึงทำให้เกิดความเกลียดชังสะสมตั้งแต่เด็กจนโต และทุกครั้งแม่จะต้องฟ้องพ่อเมื่อพ่อกลับมาถึงบ้าน ว่าเธอนั้นทะเลาะกับน้องเพื่อให้ลงโทษอีก ซึ่งก็ลงโทษด้วยการตีเช่นกัน
และหลังจากที่แม่เล่าเหตุการณ์ที่เธอทะเลาะกับน้องให้พ่อฟังจนจบนั้น พ่อจะถามว่า “เป็นอย่างนั้นที่แม่พูดใช่มั๊ย” ฟังดูแล้วก็น่าดี เป็นคำถามที่สมควรจะถามลูกหากต้องการฟังคำอธิบาย แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย พ่อแค่ต้องการคำตอบว่า “ใช่ มันเป็นอย่างนั้น เธอเป็นคนผิดเอง” ให้เธอต้องยอมจำนนต่อความผิด แม้ว่าเธออาจจะไม่ได้ผิดหรือผิดเพียงครึ่งเดียวก็ตาม แต่ความโชคร้ายที่เธอเกิดเป็นพี่ พ่อแม่จึงใส่คำว่า “เธอต้องผิดคนเดียวเท่านั้น” ใส่เอาไว้ในหัวของเธอ แม้เธอแค่คิดจะอธิบาย หรือเอ่ยปากพูดออกไปยังไม่ทันรู้เรื่องอะไร พ่อก็มักจะถามว่า “นี่เถียงหรอ หยุดเลยนะ” แล้วก็ลงมือลงโทษ ฟาดด้วยเข็มขัดหนัง ทุกครั้งไม่เคยต่ำกว่า 3 ที
เธอจึงเติบโตขึ้นมากับการเรียนรู้ว่าถ้าพ่อแม่ถามคือ “ไม่ได้ต้องการคำตอบ” ถ้าถามว่ามีอะไรจะพูดหรือไม่ ก็แค่ส่ายหน้าไปจะได้จบๆ ถ้าพูดมากไปเดี๋ยวพ่อแม่จะหาว่าเถียงคำไม่ตกฟาก ใจเธอคิดเพียงว่าจะตีก็ตีเลยจะได้จบๆเรื่องไปซะ
เวลาพ่อตี พ่อจะใช้เข็มขัดฟาดที่ก้นซึ่งเจ็บมาก เธอจำได้ว่ามันเจ็บมากแต่เธอต้องเข้มแข็ง พ่อฟาดไปพร้อมๆกับคำสั่ง “บอกว่าให้หยุดร้องเดี๋ยวนี้เลยนะ ทำผิดยังจะมาร้องอีกหรอ” เธอต้องทนยืนนิ่งๆไม่ดิ้นไม่หลบไม่หนีไม่ร้อง ไม่มีน้ำตา และไม่มีความรู้สึกในที่สุด
พ่อของเธอค่อนข้างจะเผด็จการ เป็นลูกห้ามมีความคิดห้ามมีความรู้สึก ไม่สามารถพูดหรืออธิบายได้ เธอจึงไม่พูดอะไรกับใคร ถึงแม้ปัญหาที่เธอเจอมันจะใหญ่มากแค่ไหนก็ตาม เพราะเธอได้เรียนรู้ว่าพ่อและแม่ไม่มีใครรับฟังอะไรจากเธอ
ส่วนเรื่องการเรียนนั้นปกติพ่อเธอไม่เคยเข้ามาใส่ใจเรื่องเรียนแบบจริงๆ จังๆ เพียงแค่สั่งๆและสั่ง ให้ทำการบ้าน ให้อ่านหนังสือ ห้ามดูโทรทัศน์ ห้ามฟังเพลง ห้ามนู่นห้ามนี่ แต่ไม่เคยมาดูว่าเรียนเรื่องอะไร หรือมาใส่ใจรายละเอียดใกล้ชิด มานั่งสอนการบ้านลูก แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนเธอเรียนอยู่ ป.4 มีการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ ที่เธอติดขัดทำไม่ได้ เธอจึงเอาการบ้านไปให้พ่อสอน พ่อของเธอก็สอนให้แต่เธอนั้นยังไม่เข้าใจและตอบคำถามการบ้านข้อนั้นยังไม่ได้ พ่อของเธออารมณ์เสียมาก ตวาดเสียงดังใส่เธอ “แค่นี้ทำไมตอบไม่ได้ ไม่ได้ตั้งใจเรียนใช่มั๊ย เรียนหนังสือยังไงโง่เหมือนควาย” แล้วก็ตบหัวเธออย่างแรงจนตกจากเก้าอี้ที่นั่งทำการบ้าน
( นึกถึงเรื่องนี้ทีไร น้ำตามันยังไหลทุกที แม้ว่ามันจะผ่านมานานแสนนาน )