App War แอปชนแอป (2018)
ครั้งแรกที่เห็นตัวอย่างหนังเรื่องนี้ บอกเลยว่าหวั่นใจไม่น้อยว่าตัวหนังจะสามารถเข้าถึงคนกลุ่มมาก หรือ 'แมส' ได้มากแค่ไหน เพราะเรื่องราวของหนังจะเล่าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ทำ 'สตาร์ทอัพ' รวมถึงภาพลักษณ์ที่ดูเป็นคนเมืองแบบสุดๆ แม้กระทั่งขณะที่นั่งดูหนังเรื่องนี้ ความคิดนั้นก็ยังวนเวียนอยู่ตลอด
แต่สุดท้ายการแสดงของนักแสดงทั้งหมด ก็ทำให้เราเชื่อ และคล้อยตามไปกับเรื่องราวของหนัง คล้ายกับการที่เราได้เจอเพื่อนใหม่ที่แรกๆ ยังคงมีการวางเชิงต่อกันอยู่ แต่ด้วยความจริงใจ ความสนุกเฮฮา ค่อยๆทำให้เราเชื่อใจและปรับจูนเข้าหากันได้อย่างสนิทใจ และนี่คือส่วนดีอันดับแรกของหนังเรื่องนี้ เพราะนักแสดงทุกคนเล่นได้ดี สมบทบาทที่ได้รับอย่างเป็นธรรมชาติมากๆ ไม่มีใครล้นเกิน หรือดับลงไปเลยแม้แต่คนเดียว หรือแม้แต่ฉากเดียว เอาอยู่ทุกคนในระดับเกินคาดมากๆ เพราะนี่คือนักแสดงที่ 'ใหม่' มากๆ ไม่ใช่ดาราระดับแม่เหล็ก แต่ถึงแม้เป็นดาราระดับแม่เหล็กแค่ไหน ถ้ามาตรฐานของผู้กำกับไม่ได้จริงๆ เราก็เห็นมามากนักต่อนักแล้วว่าก็ 'ดับ' คาจอได้เช่นกัน
นอกจากการแสดงที่ทำให้เราเชื่อ เรื่องราวของหนังก็เป็นอีกส่วนที่เราคิดว่าหนังเรื่องนี้น่าจะ 'แมส' ได้อย่างไม่ยาก เพราะเรื่องราวจริงๆไม่ได้ลงลึกถึงธุรกิจสตาร์ทอัพ หรือการทำแอปอย่างเอาเป็นเอาตาย ผู้สร้างเลือกที่จะให้สตาร์ทอัพเป็นเพียง 'บรรยากาศ' ที่โอบล้อมหนังเรื่องนี้เอาไว้เท่านั้น แต่ไปเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมากกว่า หนังเดินเรื่องด้วยความสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบชวนให้เราติดตามว่าสุดท้ายความสัมพันธ์ต่างๆ จะไปจบลงที่จุดใด แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีรายละเอียดเล็กๆ เกี่ยวกับสตาร์ทอัพ และคนในสายอาชีพนี้ คอยหยอดมาประปรายบ้าง ถึงจะไม่ได้มาก แต่ก็เห็นถึงความละเอียดในการใส่เข้ามาได้เป็นอย่างดี
เรื่องความสนุกบอกเลยว่าหายห่วง เพราะผู้กำกับ(ยรรยง คุรุอังกูร) ที่เคยฝากผลงานอย่าง '2538 อัลเทอร์มาจีบ' เป็นผู้กำกับที่ทำหนังออกมาดูสนุก และดูง่าย ไม่ต้องตีลังกาเอาตีนก่ายหน้าผากก็สนุกไปกับหนังได้ไม่ยาก และที่ผมชื่นชมมาตั้งแต่เรื่องก่อน ก็คือฉากคอเมดี้ที่จังหวะดีมากๆ ไม่ต้องหยาบโลน หรือหยาบคายแบบตลกคาเฟ่ ก็เล่นเอาคนดูฮาท้องแข็งได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเรื่องนี้มีตัวขโมยซีนที่มาจากแก๊งค์ 'เสือร้องไห้' ที่ออกมากี่ฉากก็เตรียมฮากันได้เลย พี่แกขโมยทุกซีนจริงๆ
ส่วนพาร์ทดราม่า ก็เอาอยู่ไม่แพ้กัน เป็นอีกเรื่องที่ต้องนั่งกลั้นน้ำตาตอนดูหนัง เหมือนกับตอนดูอัลเทอร์มาจีบ แต่เรื่องนี้บอกเลยว่าขยี้มากกว่าเยอะมากกกกก แล้วมาแบบคอมโบชุดใหญ่ไฟกระพริบ ไม่ทันให้เราได้ตั้งตัวเลย แล้วการแสดงของนักแสดงทุกคนก็เอาอยู่จริงๆ (ขอชมอีกรอบ) คือถ้าไม่อยู่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับเราจะไม่ใช่แบบนี้แน่ๆ และหนังอาจจะเละไปเลยก็ได้ แต่นี่คือทุกอย่างมันลงตัวไปหมด ใครที่ต่อมน้ำตาแตกง่ายผมว่าไม่รอดแน่นอน
แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่หนังเรื่องนี้ก็มีข้อเสียอยู่บ้าง ในเรื่องของตัวบทที่ยังมีคำถามให้เราสงสัยมากมาย โดยเฉพาะในช่วงท้ายของเรื่อง แต่ด้วยข้อดีที่กล่าวมาทั้งหมด และที่สำคัญคือความสนุกของหนัง ก็ลดทอนข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆ ออกไปได้ไม่ยาก และยังคงสถานะให้ 'App War' เป็นภาพยนตร์คุณภาพอันดับต้นๆของประเทศไทย ที่น่าจะทำรายได้ และครองใจผู้ชมได้อย่างไม่ยากเย็น
#AppWar #แอปชนแอป
www.facebook.com/talkthemovie
"App War แอปชนแอป" หนังไทยน้ำดี ที่ไม่ควรพลาด (ไม่สปอย)
App War แอปชนแอป (2018)
ครั้งแรกที่เห็นตัวอย่างหนังเรื่องนี้ บอกเลยว่าหวั่นใจไม่น้อยว่าตัวหนังจะสามารถเข้าถึงคนกลุ่มมาก หรือ 'แมส' ได้มากแค่ไหน เพราะเรื่องราวของหนังจะเล่าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ทำ 'สตาร์ทอัพ' รวมถึงภาพลักษณ์ที่ดูเป็นคนเมืองแบบสุดๆ แม้กระทั่งขณะที่นั่งดูหนังเรื่องนี้ ความคิดนั้นก็ยังวนเวียนอยู่ตลอด
แต่สุดท้ายการแสดงของนักแสดงทั้งหมด ก็ทำให้เราเชื่อ และคล้อยตามไปกับเรื่องราวของหนัง คล้ายกับการที่เราได้เจอเพื่อนใหม่ที่แรกๆ ยังคงมีการวางเชิงต่อกันอยู่ แต่ด้วยความจริงใจ ความสนุกเฮฮา ค่อยๆทำให้เราเชื่อใจและปรับจูนเข้าหากันได้อย่างสนิทใจ และนี่คือส่วนดีอันดับแรกของหนังเรื่องนี้ เพราะนักแสดงทุกคนเล่นได้ดี สมบทบาทที่ได้รับอย่างเป็นธรรมชาติมากๆ ไม่มีใครล้นเกิน หรือดับลงไปเลยแม้แต่คนเดียว หรือแม้แต่ฉากเดียว เอาอยู่ทุกคนในระดับเกินคาดมากๆ เพราะนี่คือนักแสดงที่ 'ใหม่' มากๆ ไม่ใช่ดาราระดับแม่เหล็ก แต่ถึงแม้เป็นดาราระดับแม่เหล็กแค่ไหน ถ้ามาตรฐานของผู้กำกับไม่ได้จริงๆ เราก็เห็นมามากนักต่อนักแล้วว่าก็ 'ดับ' คาจอได้เช่นกัน
นอกจากการแสดงที่ทำให้เราเชื่อ เรื่องราวของหนังก็เป็นอีกส่วนที่เราคิดว่าหนังเรื่องนี้น่าจะ 'แมส' ได้อย่างไม่ยาก เพราะเรื่องราวจริงๆไม่ได้ลงลึกถึงธุรกิจสตาร์ทอัพ หรือการทำแอปอย่างเอาเป็นเอาตาย ผู้สร้างเลือกที่จะให้สตาร์ทอัพเป็นเพียง 'บรรยากาศ' ที่โอบล้อมหนังเรื่องนี้เอาไว้เท่านั้น แต่ไปเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมากกว่า หนังเดินเรื่องด้วยความสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบชวนให้เราติดตามว่าสุดท้ายความสัมพันธ์ต่างๆ จะไปจบลงที่จุดใด แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีรายละเอียดเล็กๆ เกี่ยวกับสตาร์ทอัพ และคนในสายอาชีพนี้ คอยหยอดมาประปรายบ้าง ถึงจะไม่ได้มาก แต่ก็เห็นถึงความละเอียดในการใส่เข้ามาได้เป็นอย่างดี
เรื่องความสนุกบอกเลยว่าหายห่วง เพราะผู้กำกับ(ยรรยง คุรุอังกูร) ที่เคยฝากผลงานอย่าง '2538 อัลเทอร์มาจีบ' เป็นผู้กำกับที่ทำหนังออกมาดูสนุก และดูง่าย ไม่ต้องตีลังกาเอาตีนก่ายหน้าผากก็สนุกไปกับหนังได้ไม่ยาก และที่ผมชื่นชมมาตั้งแต่เรื่องก่อน ก็คือฉากคอเมดี้ที่จังหวะดีมากๆ ไม่ต้องหยาบโลน หรือหยาบคายแบบตลกคาเฟ่ ก็เล่นเอาคนดูฮาท้องแข็งได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเรื่องนี้มีตัวขโมยซีนที่มาจากแก๊งค์ 'เสือร้องไห้' ที่ออกมากี่ฉากก็เตรียมฮากันได้เลย พี่แกขโมยทุกซีนจริงๆ
ส่วนพาร์ทดราม่า ก็เอาอยู่ไม่แพ้กัน เป็นอีกเรื่องที่ต้องนั่งกลั้นน้ำตาตอนดูหนัง เหมือนกับตอนดูอัลเทอร์มาจีบ แต่เรื่องนี้บอกเลยว่าขยี้มากกว่าเยอะมากกกกก แล้วมาแบบคอมโบชุดใหญ่ไฟกระพริบ ไม่ทันให้เราได้ตั้งตัวเลย แล้วการแสดงของนักแสดงทุกคนก็เอาอยู่จริงๆ (ขอชมอีกรอบ) คือถ้าไม่อยู่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับเราจะไม่ใช่แบบนี้แน่ๆ และหนังอาจจะเละไปเลยก็ได้ แต่นี่คือทุกอย่างมันลงตัวไปหมด ใครที่ต่อมน้ำตาแตกง่ายผมว่าไม่รอดแน่นอน
แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่หนังเรื่องนี้ก็มีข้อเสียอยู่บ้าง ในเรื่องของตัวบทที่ยังมีคำถามให้เราสงสัยมากมาย โดยเฉพาะในช่วงท้ายของเรื่อง แต่ด้วยข้อดีที่กล่าวมาทั้งหมด และที่สำคัญคือความสนุกของหนัง ก็ลดทอนข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆ ออกไปได้ไม่ยาก และยังคงสถานะให้ 'App War' เป็นภาพยนตร์คุณภาพอันดับต้นๆของประเทศไทย ที่น่าจะทำรายได้ และครองใจผู้ชมได้อย่างไม่ยากเย็น
#AppWar #แอปชนแอป
www.facebook.com/talkthemovie