เราคิดอยู่หลายรอบว่าจะเอามาโพสต์ดีไหม กลัวว่าจะมีคนรู้จักมาเห็น ถ้าเขาเห็นจะทำยังไงดี? จะโดนเกลียดกว่าเดิมใช่รึเปล่า? ถ้าเกิดดราม่าล่ะ? ถ้ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นล่ะ?
เราก็ยังไม่แน่ใจว่าแก่นของกระทู้ที่เขียนนี้คืออะไร
มันอาจจะเป็นแค่คำระบายที่ไร้ประโยชน์ก็ได้ (แย่จัง)
[ เรายอมรับดีนะคะ ว่าชีวิตของเรามันดีกว่าคนอื่นมากมาย
มีคนมากมายลำบากกว่าเรา เขายังสู้ได้เลย ]
แต่ทำไมเราถึงสู้ไม่ได้ล่ะ?
ขอเกริ่นก่อนนะคะ ว่าเราไปพบจิตแพทย์มาตั้งแต่อายุ 14 ปี จนตอนนี้ 19 ปีแล้วค่ะ
แต่เริ่มป่วยเป็นโรคซึมเศร้า(Major Depressive Disorder)ตั้งแต่อายุ 12 ปี
และก็ถูกวินิจฉัยว่าเป็นบุคลิกภาพผิดปกติแบบก้ำกึ่ง(Borderline Personality Disorder)ด้วยค่ะ
เราเกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่มักจะทะเลาะกัน ตั้งแต่เล็กๆน้อยๆจนรุนแรงมาก
มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นตั้งแต่เป็นทารกแล้วล่ะค่ะ เนื่องด้วยตัวคุณแม่ที่ป่วยเป็น BPD เหมือนกัน และคุณพ่อที่สมัยนั้นยังใจร้อนอยู่ ประมาณว่า ไฟ กับ ไฟ ปะทะกันน่ะค่ะ
และเรามีปัญหาที่โรงเรียน ป.5 - ป.6 เป็นสองปีที่เราต้องทนโดนรุมแกล้งทุกวัน ร้องไห้ทุกวัน วันละหลายครั้ง เพื่อนยิ่งชอบใจ ครูก็ไม่ช่วย มองว่าเราเป็นเด็กมีปัญหา บอกคุณพ่อกับคุณแม่ พวกเขาก็หัวเราะบอกว่าเด็กๆแค่เล่นสนุกกัน
ตอนป.5 เราเคยเกือบฆ่าตัวตายโดยการแขวนคอค่ะ เพราะเห็นคุณพ่อคุณแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรงมาก เราร้องไห้ไม่หยุด จนหนีไปเอาเงื่อนลูกเสือมาผูกกับพัดลมจะฆ่าตัวตาย
แต่พ่อแม่มาเห็นเสียก่อน และก็หัวเราะกลบเกลื่อน บอกว่าเราไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย
ตอนป.5เรายังเด็กมาก ยังไม่รู้เกี่ยวกับความตายเลย ที่เราทำไปเพราะเครียดเท่านั้นเอง
จนป.6เราสอบเข้ารร.ดังของจังหวัดได้ พ่อกับแม่ดีใจกับเราก็จริง แต่เพื่อนๆกลับล้อเลียนบอกว่าเราเป็นเด็กเส้น เราลอกคนอื่น ไม่มีใครดีใจกับเรา
พอขึ้นม.1 เราคิดจะปรับตัวเป็นคนใหม่
แต่มันก็ไม่สำเร็จ... เรามีเรื่องกับเพื่อนเรื่อยๆ จนโดนทิ้ง
และตอนนั้นเรารับรู้ว่า เรากำลังจะถูกเพื่อนรุมแกล้งอีกครั้ง
เรารู้สึกกลัว กลัวมาก รู้สึกเหมือนตัวเองโดนคนรอบข้างโดนทำร้าย ทำไม ทำไมต้องเป็นเรา เราทำอะไรผิดกัน เราทำอะไรผิด?
ในจุดจุดนั้นที่เรารับไม่ไหวแล้ว ทั้งเรื่องครอบครัว ทั้งเรื่องเพื่อน ทำให้เราสร้างบุคลิกใหม่ออกมาคุ้มกันตัวเอง (Splitting) คือนิสัยจริงๆของเราเป็นคนขี้กลัว พูดไม่เก่ง ไม่กล้าแสดงออก แต่พอบุคลิกใหม่ออกมา เราจะตาขวางใส่คนอื่น อาละวาด ทำตัวก้าวร้าว อยากฆ่าคนอื่น อยากทำลาย เกลียดคนทั้งโลก
และด้วยความกลัวโดนแกล้ง เราไม่กล้าแสดงบุคลิกเดิมออกมา เราจะทำตามที่อีกคนสั่ง ทั้งๆที่ในใจกลัวนะ อีกบุคลิกเราจะคอยสั่งให้เราทำเรื่องร้ายๆเพื่อให้คนอื่นกลัว
มันไม่ใช่โรคหลายบุคลิก (Dissociative Identity Disorder) นะคะ แต่มันเป็นอาการนึงของ Borderline Personality Disorder นี่แหละ เราในม.ต้นไม่ได้มีอาการเสียความทรงจำ
อยู่มาวันหนึ่งก็มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้น
เมื่อตอน ม.2 จู่ๆคุณพ่อกับคุณแม่ก็นั่งรถมารับที่โรงเรียนด้วยกัน และยิ้มคุยกัน ไม่ทะเลาะกัน
พาเราไปกินอาหารด้วยกัน วันนั้นเป็นวันที่มีความสุขมากๆ
แต่...
หลังจากนั้นคุณพ่อก็ไม่กลับบ้านอีกเลย
ใช่แล้ว คุณพ่อกับคุณแม่หย่ากันวันนั้น และหลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไปมีครอบครัวใหม่
ซึ่งเราอยู่กับคุณแม่
การอยู่กับคุณแม่เป็นความทุกข์ทรมานมากๆ เขามักจะด่าเราแรงๆ ทำร้ายจิตใจเรา หลายๆครั้งก็ไม่มีเหตุผลสุดๆ จนเราต้องร้องไห้คนเดียวในห้อง ทั้งกรี๊ดลั่นห้อง ทั้งทำลายข้าวของในห้อง ทั้งทำร้ายตัวเอง ทำจนเหมือนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
แต่จริงๆคุณแม่รักเรามากนะคะ รักมากๆ เพียงแต่เวลาเขาโกรธ เขาจะเหมือนเป็นอีกคนไปเลย
เขาป่วย เราป่วย.. อยู่ด้วยกันมีแต่ความเครียด
เราก่อพฤติกรรมเสี่ยงมากมายในโรงเรียน จนในที่สุดตอนม.3เราก็ก่อเรื่องที่แย่มากลงไป (เราขอไม่บอกนะคะ มันอันตราย) จนทำให้อาจารย์หลายๆท่านรวมความเห็นให้เราไปพบจิตแพทย์
เราได้โควตเาเรียนต่อม.4รร.เดิม เราคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่
แต่มันเรื่องก็ยังไม่จบ เมื่อเราดูเหมือนอาการดีขึ้น ด้วยความไม่รู้ผู้ปกครองจึงไม่พาไปหาหมอต่อ และขาดยา ประจวบกับปัญหาที่โรงเรียนและที่บ้านเช่นเดิม
ทำให้ก่อพฤติกรรมเสี่ยงติดๆกัน จนผอ.ลงความเห็นให้เราดรอปเรียนและรักษาตัว
เราแอดมิทอยู่วอร์ดจิตเวชราวครึ่งปี ก่อนจะเกิดเรื่องทำให้เราออกจากรพ.ทั้งๆที่ไม่ได้รับการยอมรับจากแพทย์ มันเป็นเรื่องใหญ่มากๆ แต่สุดท้ายเรื่องมันก็ผ่านไปได้แม้จะวุ่นวายมากก็ตาม
เราเข้าเรียนรร.ม.ปลายที่ใหม่ ซึ่งไม่ค่อยมีชื่อเสียง และก็เหมือนเดิมค่ะ เราไม่สามารถเข้ากับเพื่อนได้ ทะเลาะกันบ่อยมาก และยังมีคนไปสืบเรื่องของเราในอดีตเอามาบอกเล่ากันอีกด้วย
และมันทำให้เราก็ขาดเรียนติดๆกันบ่อยมาก
ในระหว่างนั้นเราทะเลาะกับแม่หนักขึ้นเรื่อยๆ ความกดดัน ความเครียด ทุกๆอย่างมันเข้ามา
ในระหว่างเทอมม.4 มักจะเกิดเรื่องราวแปลกๆขึ้น
เมื่อเวลาตี 3 - ตี 4 หลายๆวันคุณแม่กับสามีใหม่มักจะได้ยินเสียงเราทำเอะอะเสียงดังในห้อง เช่น กระทืบเท้า ชกกำแพง มีเสียงก่นด่าและพูดคนเดียว ทั้งๆที่เราควรจะหลับอยู่
ตอนนั้นเรายังไม่รู้จักโรค DID และโกรธคุณแม่มากๆที่ใส่ร้าย
ซึ่งตอนนี้เราก็ยังไม่มีหลักฐานอะไรยืนยัน
ว่ามันเป็นอาการ DID (โรคหลายบุคลิก) จริงๆรึเปล่า เราละเมอ หรือว่ามีตัวตนอื่นออกมาโดยที่เราจำอะไรไม่ได้เลย?
ตอนนี้ไม่มีใครรู้ความจริงหรอก
แม้ช่วงนี้หลายๆครั้งอาจจะเกิดเรื่องแปลกๆขึ้น แต่มันไม่ได้ถี่ถึงขนาดจะถ่ายวีดีโอไปให้หมอดู
ที่สำคัญคือเราจำอะไรไม่ได้เลย เพราะงั้นเราอาจจะเพ้อเจ้อไปเองก็ได้
บางทีตอนนั้นอาจจะเกิด Dissociation นิดๆหน่อยๆผลจาก BPD
เพียงเพราะความเครียดก็ได้ แต่ไม่ได้ถึงกับโรค DID
----กลับเข้ามาเรื่องเก่า..
เรายังคงทะเลาะกับแม่เรื่อยๆ จนม.5เทอม 2 เราทนไม่ไหวจนย้ายบ้านไปอาศัยอยู่กับคุณย่า
โดยมีคุณพ่อเป็นคนรับผิดชอบ เลี้ยงดูเรา เขามาหาเราทุกวันแม้จะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน
เราได้รับความรักอย่างเต็มที่ มันเหมือนจะดี
แต่จู่ๆเมื่อขึ้นม.6 เราอาการทรุดลง เครียดมากจนแตกแยกออกเป็นหลายๆบุคลิก เพราะเกลียดตัวเองมากจนรับตัวตนของตัวเองไม่ได้ และสร้างหลายๆบุคลิกออกมาแทนที่ตัวเอง
แต่ตอนนั้นเราคิดว่ามันเป็นอาการของ BPD มากกว่า DID เพราะเราไม่ได้เสียความทรงจำอะไร
และที่แย่ที่สุดคือเราเริ่มมีอาการหูแว่ว ประสาทหลอน และมีอาการ Paranoid (หวาดระแวง) รวมถึง Panic (ตื่นตะหนก)
ทำให้หยุดเรียนบ่อยมาก
ในม.ปลาย มี 3-4 เทอม เราขาดเรียนติดๆกันจนติด มส และรร.ดังกล่าวถ้าติด มส จะปัดเกรดเป็นหนึ่งทุกวิชา
ในขณะที่เทอมที่เราไม่ขาดเรียน ได้เกรด 3++
...รวมๆกันกลายเป็นว่า จบมาด้วยเกรดเฉลี่ยที่น้อยที่สุดในชีวิต
แต่ยังไง ปัจจุบันนี้ก็ จบแล้วค่ะ เพิ่งจบไปเอง
ด้วยความที่เราพบเหตุการณ์ที่แย่มากๆเกี่ยวกับโรงเรียน ช่วงที่เราแก้ มส
ทำให้เดือน พ.ค - มิ.ย. ที่ผ่านมา เราแทบไม่ออกจากบ้านเลย
ออกไปข้างนอกไม่ไหว มีอาการ "อยากฆ่า" คนอื่นจนทนไม่ได้
มันอันตรายมาก เป็นความรู้สึกเหมือนความบ้าคลั่งจะบรรทุออกมาได้ทุกเมื่อ
เราจึงหลบตัวอยู่ในห้อง หาภาพแผล ภาพ self-harm อุบัติเหตุ gore ของจริง
มาดูเพื่อระบายอารมณ์
จนหมอเพิ่มยาเรื่อย จากอยากฆ่า กลายเป็น ความหวาดกลัวสังคม ไม่กล้าเจอใคร กลัว และก็มีอาการได้ยินเสียงแว่วทั้งวัน
แต่ตอนนี้เพิ่มยาจนไม่มีอาการอยากฆ่าใครแล้วค่ะ แต่ความหวาดกลัวสังคมก็มีบ้าง เรื่อยๆ
บางวันก็หูแว่วอยู่เล็กน้อย
ทั้งๆที่ปัจจุบันนี้เราไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว
เรายังคงฝันร้ายเรื่องที่โรงเรียนอยู่ทุกวัน ตั้งแต่เพื่อนตอนประถมจนมัธยม
จริงๆ ตอนนี้เราได้รับความรักอย่างเต็มที่เลยนะคะ
เรียกได้ว่าคุณพ่อทุ่มเททุกๆอย่างเพื่อเรามากๆ
คุณพ่อรักเรามาก และรู้สึกผิดกับเรื่องสมัยก่อนมากๆด้วย
เขาอยากให้เราหาย และกลับไปเรียน
แต่มันน่าแปลกนะคะ ทั้งๆที่ตอนนี้ชีวิตเราสงบสุขมากๆ คุณพ่อซื้อทุกๆอย่างที่เราอยากได้ให้
ให้ความรักกับเราทุกๆวัน
แต่ทำไมเราถึงยังเศร้าอยู่ล่ะ?
ยอมรับนะคะ ทุกๆวันนี้เราอยากตายมากๆเลย
ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว ไม่อยากจะสู้ ไม่อยากนึกถึงอนาคต ไม่อยากเข้าสังคม ไม่อยากเรียน ไม่ยากทำงาน ไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว อยากตายมากกว่า
แต่เราก็ทำไม่ได้เพราะมันเหมือนเป็นการหักหลังความทุ่มเทของคุณพ่อ
เราสงสารคุณพ่อที่ทำเพื่อเราขนาดนี้แต่ทำไมเรายังไม่หาย?
ทำไมเราถึงยังจมกับอดีตล่ะ...?
ทั้งๆที่ตอนนี้เราควรจะมีความสุขแท้ๆ
ทำไมกัน..
ที่หนักที่สุดคือ เรามีความคิดว่า "ถ้ามีตัวตนอื่นมาใช้ชีวิตแทนเราจริงๆก็ดี"
เราอยากหายไป แต่ทำแบบนั้นไม่ได้ เราสงสารคุณพ่อของเรา
ถ้ามีใครมาแทนที่ตัวเราได้ และให้เราหลับไปตลอดกาลก็คงจะดี...
ปล. เราอาจจะใช้คำทางการแพทย์ผิดถูกบ้างนะคะ มันมาจากความเข้าใจของเราน่ะค่ะ เราอ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตเวชตอนแอดมิทบ่อยๆ ( .__.) รวมถึงมักจะเรียนรู้มาจากพยาบาลคนนึงในวอร์ดน่ะค่ะ
[ระบาย] เคยผ่านจุดตึงเครียดในชีวิตยามเด็กมา ในปัจจุบันทุกๆอย่างมันสงบสุขแล้ว แต่ทำไมเราถึงยังไม่มีความสุข?
เราก็ยังไม่แน่ใจว่าแก่นของกระทู้ที่เขียนนี้คืออะไร
มันอาจจะเป็นแค่คำระบายที่ไร้ประโยชน์ก็ได้ (แย่จัง)
[ เรายอมรับดีนะคะ ว่าชีวิตของเรามันดีกว่าคนอื่นมากมาย
มีคนมากมายลำบากกว่าเรา เขายังสู้ได้เลย ]
แต่ทำไมเราถึงสู้ไม่ได้ล่ะ?
ขอเกริ่นก่อนนะคะ ว่าเราไปพบจิตแพทย์มาตั้งแต่อายุ 14 ปี จนตอนนี้ 19 ปีแล้วค่ะ
แต่เริ่มป่วยเป็นโรคซึมเศร้า(Major Depressive Disorder)ตั้งแต่อายุ 12 ปี
และก็ถูกวินิจฉัยว่าเป็นบุคลิกภาพผิดปกติแบบก้ำกึ่ง(Borderline Personality Disorder)ด้วยค่ะ
เราเกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่มักจะทะเลาะกัน ตั้งแต่เล็กๆน้อยๆจนรุนแรงมาก
มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นตั้งแต่เป็นทารกแล้วล่ะค่ะ เนื่องด้วยตัวคุณแม่ที่ป่วยเป็น BPD เหมือนกัน และคุณพ่อที่สมัยนั้นยังใจร้อนอยู่ ประมาณว่า ไฟ กับ ไฟ ปะทะกันน่ะค่ะ
และเรามีปัญหาที่โรงเรียน ป.5 - ป.6 เป็นสองปีที่เราต้องทนโดนรุมแกล้งทุกวัน ร้องไห้ทุกวัน วันละหลายครั้ง เพื่อนยิ่งชอบใจ ครูก็ไม่ช่วย มองว่าเราเป็นเด็กมีปัญหา บอกคุณพ่อกับคุณแม่ พวกเขาก็หัวเราะบอกว่าเด็กๆแค่เล่นสนุกกัน
ตอนป.5 เราเคยเกือบฆ่าตัวตายโดยการแขวนคอค่ะ เพราะเห็นคุณพ่อคุณแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรงมาก เราร้องไห้ไม่หยุด จนหนีไปเอาเงื่อนลูกเสือมาผูกกับพัดลมจะฆ่าตัวตาย
แต่พ่อแม่มาเห็นเสียก่อน และก็หัวเราะกลบเกลื่อน บอกว่าเราไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย
ตอนป.5เรายังเด็กมาก ยังไม่รู้เกี่ยวกับความตายเลย ที่เราทำไปเพราะเครียดเท่านั้นเอง
จนป.6เราสอบเข้ารร.ดังของจังหวัดได้ พ่อกับแม่ดีใจกับเราก็จริง แต่เพื่อนๆกลับล้อเลียนบอกว่าเราเป็นเด็กเส้น เราลอกคนอื่น ไม่มีใครดีใจกับเรา
พอขึ้นม.1 เราคิดจะปรับตัวเป็นคนใหม่
แต่มันก็ไม่สำเร็จ... เรามีเรื่องกับเพื่อนเรื่อยๆ จนโดนทิ้ง
และตอนนั้นเรารับรู้ว่า เรากำลังจะถูกเพื่อนรุมแกล้งอีกครั้ง
เรารู้สึกกลัว กลัวมาก รู้สึกเหมือนตัวเองโดนคนรอบข้างโดนทำร้าย ทำไม ทำไมต้องเป็นเรา เราทำอะไรผิดกัน เราทำอะไรผิด?
ในจุดจุดนั้นที่เรารับไม่ไหวแล้ว ทั้งเรื่องครอบครัว ทั้งเรื่องเพื่อน ทำให้เราสร้างบุคลิกใหม่ออกมาคุ้มกันตัวเอง (Splitting) คือนิสัยจริงๆของเราเป็นคนขี้กลัว พูดไม่เก่ง ไม่กล้าแสดงออก แต่พอบุคลิกใหม่ออกมา เราจะตาขวางใส่คนอื่น อาละวาด ทำตัวก้าวร้าว อยากฆ่าคนอื่น อยากทำลาย เกลียดคนทั้งโลก
และด้วยความกลัวโดนแกล้ง เราไม่กล้าแสดงบุคลิกเดิมออกมา เราจะทำตามที่อีกคนสั่ง ทั้งๆที่ในใจกลัวนะ อีกบุคลิกเราจะคอยสั่งให้เราทำเรื่องร้ายๆเพื่อให้คนอื่นกลัว
มันไม่ใช่โรคหลายบุคลิก (Dissociative Identity Disorder) นะคะ แต่มันเป็นอาการนึงของ Borderline Personality Disorder นี่แหละ เราในม.ต้นไม่ได้มีอาการเสียความทรงจำ
อยู่มาวันหนึ่งก็มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้น
เมื่อตอน ม.2 จู่ๆคุณพ่อกับคุณแม่ก็นั่งรถมารับที่โรงเรียนด้วยกัน และยิ้มคุยกัน ไม่ทะเลาะกัน
พาเราไปกินอาหารด้วยกัน วันนั้นเป็นวันที่มีความสุขมากๆ
แต่...
หลังจากนั้นคุณพ่อก็ไม่กลับบ้านอีกเลย
ใช่แล้ว คุณพ่อกับคุณแม่หย่ากันวันนั้น และหลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไปมีครอบครัวใหม่
ซึ่งเราอยู่กับคุณแม่
การอยู่กับคุณแม่เป็นความทุกข์ทรมานมากๆ เขามักจะด่าเราแรงๆ ทำร้ายจิตใจเรา หลายๆครั้งก็ไม่มีเหตุผลสุดๆ จนเราต้องร้องไห้คนเดียวในห้อง ทั้งกรี๊ดลั่นห้อง ทั้งทำลายข้าวของในห้อง ทั้งทำร้ายตัวเอง ทำจนเหมือนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
แต่จริงๆคุณแม่รักเรามากนะคะ รักมากๆ เพียงแต่เวลาเขาโกรธ เขาจะเหมือนเป็นอีกคนไปเลย
เขาป่วย เราป่วย.. อยู่ด้วยกันมีแต่ความเครียด
เราก่อพฤติกรรมเสี่ยงมากมายในโรงเรียน จนในที่สุดตอนม.3เราก็ก่อเรื่องที่แย่มากลงไป (เราขอไม่บอกนะคะ มันอันตราย) จนทำให้อาจารย์หลายๆท่านรวมความเห็นให้เราไปพบจิตแพทย์
เราได้โควตเาเรียนต่อม.4รร.เดิม เราคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่
แต่มันเรื่องก็ยังไม่จบ เมื่อเราดูเหมือนอาการดีขึ้น ด้วยความไม่รู้ผู้ปกครองจึงไม่พาไปหาหมอต่อ และขาดยา ประจวบกับปัญหาที่โรงเรียนและที่บ้านเช่นเดิม
ทำให้ก่อพฤติกรรมเสี่ยงติดๆกัน จนผอ.ลงความเห็นให้เราดรอปเรียนและรักษาตัว
เราแอดมิทอยู่วอร์ดจิตเวชราวครึ่งปี ก่อนจะเกิดเรื่องทำให้เราออกจากรพ.ทั้งๆที่ไม่ได้รับการยอมรับจากแพทย์ มันเป็นเรื่องใหญ่มากๆ แต่สุดท้ายเรื่องมันก็ผ่านไปได้แม้จะวุ่นวายมากก็ตาม
เราเข้าเรียนรร.ม.ปลายที่ใหม่ ซึ่งไม่ค่อยมีชื่อเสียง และก็เหมือนเดิมค่ะ เราไม่สามารถเข้ากับเพื่อนได้ ทะเลาะกันบ่อยมาก และยังมีคนไปสืบเรื่องของเราในอดีตเอามาบอกเล่ากันอีกด้วย
และมันทำให้เราก็ขาดเรียนติดๆกันบ่อยมาก
ในระหว่างนั้นเราทะเลาะกับแม่หนักขึ้นเรื่อยๆ ความกดดัน ความเครียด ทุกๆอย่างมันเข้ามา
ในระหว่างเทอมม.4 มักจะเกิดเรื่องราวแปลกๆขึ้น
เมื่อเวลาตี 3 - ตี 4 หลายๆวันคุณแม่กับสามีใหม่มักจะได้ยินเสียงเราทำเอะอะเสียงดังในห้อง เช่น กระทืบเท้า ชกกำแพง มีเสียงก่นด่าและพูดคนเดียว ทั้งๆที่เราควรจะหลับอยู่
ตอนนั้นเรายังไม่รู้จักโรค DID และโกรธคุณแม่มากๆที่ใส่ร้าย
ซึ่งตอนนี้เราก็ยังไม่มีหลักฐานอะไรยืนยัน
ว่ามันเป็นอาการ DID (โรคหลายบุคลิก) จริงๆรึเปล่า เราละเมอ หรือว่ามีตัวตนอื่นออกมาโดยที่เราจำอะไรไม่ได้เลย?
ตอนนี้ไม่มีใครรู้ความจริงหรอก
แม้ช่วงนี้หลายๆครั้งอาจจะเกิดเรื่องแปลกๆขึ้น แต่มันไม่ได้ถี่ถึงขนาดจะถ่ายวีดีโอไปให้หมอดู
ที่สำคัญคือเราจำอะไรไม่ได้เลย เพราะงั้นเราอาจจะเพ้อเจ้อไปเองก็ได้
บางทีตอนนั้นอาจจะเกิด Dissociation นิดๆหน่อยๆผลจาก BPD
เพียงเพราะความเครียดก็ได้ แต่ไม่ได้ถึงกับโรค DID
----กลับเข้ามาเรื่องเก่า..
เรายังคงทะเลาะกับแม่เรื่อยๆ จนม.5เทอม 2 เราทนไม่ไหวจนย้ายบ้านไปอาศัยอยู่กับคุณย่า
โดยมีคุณพ่อเป็นคนรับผิดชอบ เลี้ยงดูเรา เขามาหาเราทุกวันแม้จะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน
เราได้รับความรักอย่างเต็มที่ มันเหมือนจะดี
แต่จู่ๆเมื่อขึ้นม.6 เราอาการทรุดลง เครียดมากจนแตกแยกออกเป็นหลายๆบุคลิก เพราะเกลียดตัวเองมากจนรับตัวตนของตัวเองไม่ได้ และสร้างหลายๆบุคลิกออกมาแทนที่ตัวเอง
แต่ตอนนั้นเราคิดว่ามันเป็นอาการของ BPD มากกว่า DID เพราะเราไม่ได้เสียความทรงจำอะไร
และที่แย่ที่สุดคือเราเริ่มมีอาการหูแว่ว ประสาทหลอน และมีอาการ Paranoid (หวาดระแวง) รวมถึง Panic (ตื่นตะหนก)
ทำให้หยุดเรียนบ่อยมาก
ในม.ปลาย มี 3-4 เทอม เราขาดเรียนติดๆกันจนติด มส และรร.ดังกล่าวถ้าติด มส จะปัดเกรดเป็นหนึ่งทุกวิชา
ในขณะที่เทอมที่เราไม่ขาดเรียน ได้เกรด 3++
...รวมๆกันกลายเป็นว่า จบมาด้วยเกรดเฉลี่ยที่น้อยที่สุดในชีวิต
แต่ยังไง ปัจจุบันนี้ก็ จบแล้วค่ะ เพิ่งจบไปเอง
ด้วยความที่เราพบเหตุการณ์ที่แย่มากๆเกี่ยวกับโรงเรียน ช่วงที่เราแก้ มส
ทำให้เดือน พ.ค - มิ.ย. ที่ผ่านมา เราแทบไม่ออกจากบ้านเลย
ออกไปข้างนอกไม่ไหว มีอาการ "อยากฆ่า" คนอื่นจนทนไม่ได้
มันอันตรายมาก เป็นความรู้สึกเหมือนความบ้าคลั่งจะบรรทุออกมาได้ทุกเมื่อ
เราจึงหลบตัวอยู่ในห้อง หาภาพแผล ภาพ self-harm อุบัติเหตุ gore ของจริง
มาดูเพื่อระบายอารมณ์
จนหมอเพิ่มยาเรื่อย จากอยากฆ่า กลายเป็น ความหวาดกลัวสังคม ไม่กล้าเจอใคร กลัว และก็มีอาการได้ยินเสียงแว่วทั้งวัน
แต่ตอนนี้เพิ่มยาจนไม่มีอาการอยากฆ่าใครแล้วค่ะ แต่ความหวาดกลัวสังคมก็มีบ้าง เรื่อยๆ
บางวันก็หูแว่วอยู่เล็กน้อย
ทั้งๆที่ปัจจุบันนี้เราไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว
เรายังคงฝันร้ายเรื่องที่โรงเรียนอยู่ทุกวัน ตั้งแต่เพื่อนตอนประถมจนมัธยม
จริงๆ ตอนนี้เราได้รับความรักอย่างเต็มที่เลยนะคะ
เรียกได้ว่าคุณพ่อทุ่มเททุกๆอย่างเพื่อเรามากๆ
คุณพ่อรักเรามาก และรู้สึกผิดกับเรื่องสมัยก่อนมากๆด้วย
เขาอยากให้เราหาย และกลับไปเรียน
แต่มันน่าแปลกนะคะ ทั้งๆที่ตอนนี้ชีวิตเราสงบสุขมากๆ คุณพ่อซื้อทุกๆอย่างที่เราอยากได้ให้
ให้ความรักกับเราทุกๆวัน
แต่ทำไมเราถึงยังเศร้าอยู่ล่ะ?
ยอมรับนะคะ ทุกๆวันนี้เราอยากตายมากๆเลย
ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว ไม่อยากจะสู้ ไม่อยากนึกถึงอนาคต ไม่อยากเข้าสังคม ไม่อยากเรียน ไม่ยากทำงาน ไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว อยากตายมากกว่า
แต่เราก็ทำไม่ได้เพราะมันเหมือนเป็นการหักหลังความทุ่มเทของคุณพ่อ
เราสงสารคุณพ่อที่ทำเพื่อเราขนาดนี้แต่ทำไมเรายังไม่หาย?
ทำไมเราถึงยังจมกับอดีตล่ะ...?
ทั้งๆที่ตอนนี้เราควรจะมีความสุขแท้ๆ
ทำไมกัน..
ที่หนักที่สุดคือ เรามีความคิดว่า "ถ้ามีตัวตนอื่นมาใช้ชีวิตแทนเราจริงๆก็ดี"
เราอยากหายไป แต่ทำแบบนั้นไม่ได้ เราสงสารคุณพ่อของเรา
ถ้ามีใครมาแทนที่ตัวเราได้ และให้เราหลับไปตลอดกาลก็คงจะดี...
ปล. เราอาจจะใช้คำทางการแพทย์ผิดถูกบ้างนะคะ มันมาจากความเข้าใจของเราน่ะค่ะ เราอ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตเวชตอนแอดมิทบ่อยๆ ( .__.) รวมถึงมักจะเรียนรู้มาจากพยาบาลคนนึงในวอร์ดน่ะค่ะ