เมื่อเราทั้งสองเห็นว่างานเริ่มเข้ามามากๆ การทำอาหารในครัวที่บ้าน เริ่มจะไม่ได้เรื่องแล้ว เลยต้องมองหาที่ทำอาหาร ห้องครัว หรือร้านอาหาร ให้มันเป็นกิจลักษณะ ตัวฉันนี่ไม่ลังเลเลยนะ คือเอ้าจะทำก็ทำ แต่คุณสามีก็กังวลไปต่างๆนานาๆ ว่าจะเริ่มต้นทำธุรกิจอย่างไร เช่นเริ่มจดทะเบียนการค้าอย่างไร จะไปเช่าที่เช่าทางหาห้องครัวที่ไหน เงินทุนไม่มีจะทำยังไง และสุดท้ายลูกค้าจะหามาจากที่ไหน ยิ่งช่วงนั้น (2008) เป็นเศรษฐกิจ ขาลงตกต่ำที่สุดของประเทศอเมริกา คุณแม่สามีถึงขนาดออกปากว่า โอ๊ยฉันกลัวเหลือเกิน กลัวว่าครอบครัวเธอจะอดตาย ถ้าเปิดบริษัทเคเทอริ่งจริงๆ 555 ถึงตอนนี้เชื่อว่าทุกคนก็มีคำถามเดียวกับคุณสามีใช่ไหมคะ เอาหล่ะค่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาให้คุณลุ้นกันนาน ต่อเลยนะคะ ตอนนั้นคุณสามีทำงานเป็น Executive Chef ที่ Cafeteria แห่งหนึ่งในตึกสำนักงาน (นึกออกกันไหมค่ะ ว่ามันเป็นยังไง) คือตึกสำนักงานชั้นหนึ่งเขาจะจัดสรรเป็นคาเฟทีเรีย หรือโรงอาหาร จะกั้นเป็นส่วนของห้อง Diner มีโต๊ะอาหารเอาไว้นั่กิน ตรงกลางกั้นเป็นห้องครัวด้านหน้า ชิดกำแพง และมีบาร์กว้างๆคั่นระหว่าครัวเล็กๆนั้น กับคนซื้อ บนบาร์จะมีตู้กระจก ภายในตู้กระจกก็จะมีหลุมๆ ที่เขาเอาอาหารมาวางอุ่น ลูกค้าก็จะมาเดินเข้าแถว แล้วก็ชี้ว่าจะเอาอาหารอะไร เราก็ตักใส่กล่องโฟม แล้วก็เดินไปจ่ายตังค์กับแคชเชียร์ ถัดจากห้องนี้ไป จะเป็นห้องครัวขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์เตาหุง เตาอุ่นทุกชนิด ถาด เถิด หม้อไหกระเทียม มีหมดทุกอย่าง เรียกว่าเป็นสวรรคของเชฟก็ว่าได้ค่ะ เพราะตึกนี้เขาสร้างมาตั้งแต่สมัยปี 1950 เป็นของบริษัทน้ำมัน Conoco Phillips ห้องครัวและห้องอาหารถูกใช้เป็นห้องจัดเลี้ยงรับรองมาเป็นร้อยๆพันๆงาน แต่เมื่อตึกถูกขายให้คนอื่นไป ก็ไม่ได้ใช้จัดงานใหญ่ๆอีกเลย ภายในห้องครัวใหญ่ มีห้องเล็กๆอยู่ห้องนึง เขาเรียกกันว่า Baker Room ไม่ได้ใช้งานอะไรแล้ว เอาไว้เก็บของเฉยๆ คุณสามีเลยไปคุยกับเจ้าของตึก ขอเช่าห้องนี้ค่ะ เขาเช่าในราคา 700 เหรียญต่อเดือน ทำสัญญาเช่ากันไป เสร็จแล้วก็ไปจดทะเบียนการค้า เป็นบริษัทเคเทอริ่ง LLC มีพนักงานสองคน คือเรากับสามี พอถึงวันก็ย้ายเข้าไปอยู่ที่ Baker Room ทรัพย์สมบัตินี่ไม่มีอะไรมากเลยค่ะ แต่ที่จริงก็ไม่จำเป็นเพราะทางเจ้าของอนุญาตให้ใช้ของทุกอย่างในครัวใหญ่ได้ คือจริงๆย้ายเข้าไปแต่ตัวยังได้เลย เงินลงทุนในการเปิดกิจการในครั้งนั้นทั้งเนื้อทั้งตัวมีเงินสดอยู่แค่ 3000 เหรียญเองค่ะ
ตอนเช้าคุณสามีมาต๊อกการ์ด เข้าทำงานเปิดคาเฟทีเรียตั้งแต่ตีห้า คาเฟทีเรียขายอาหารแค่ตอนเช้ากับตอนกลางวัน พอบ่ายๆสามีก็ต๊อกการ์ดออก และคาเฟทีเรียเปิดแค่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ช่วงหลังบ่ายจันทร์ถึงศุกร์ และวันเสาร์อาทิตย์ คุณสามีทำงานให้บริษัทเคเทอริ่งเรา งานช่วงนั้นก็มีงานที่ได้มาจากลูกค้า Privet Party นี่แหละ เขาติดต่อมา งานใหญ่ๆก็จะเป็นงานแต่งงาน จากนั้นก็งาน Baby Shower, Bridal Shower, งานเล็กๆน้อยๆ ตอนนั้นเรายังโฟกัสอยู่ที่การจัดงาน Sushi Night ที่เราจัดเอง เดือนละครั้ง ในวันเสาร์ ทีนี้มันก็น้อยไป และอีกอย่างช่วงนั้น รายการ Top Chef ทางช่อง Bravo กำลังเปิดรายการใหม่ๆ คนตื่นตาตื่นใจ กับอาชีพเชฟมากขึ้น เป็นช่วงที่เชฟกำลังรุ่งเรื่องมากๆ สามีว่าเมื่อก่อนคนที่ทำหน้าที่เชฟ เสมือนเป็นคนใช้ เดี๋ยวนี้อาชีพเชฟยกระดับขึ้นสูงมาก ฉันชอบดูรายการ Top Chef มากโดยเฉพาะมีการให้โจทย์มาว่าให้ทำอะไร เดี๋ยวนั้นเลย สนุกดี ฉันเลยมาถามสามีว่า ถ้าฉันให้โจทย์คุณทำอาหารชาติอะไรก็ได้ คุณทำได้ไหม เขาบอกว่าได้ ฉันเลยเปิด International Food Night ให้แก่สมาชิก Supper Club อีกหนึ่งวัน เราจะบอกเขาว่า เราจะทำอาหารประเทศอะไรแค่นั้น แต่ไม่บอกว่าเมนูอาหารมีอะไรบ้าง เขาจะมารู้ว่าเมนูคืออะไรก็ในวันงาน เราจะเสริฟ 7 คอร์สด้วยกัน พอทานอาหารเสร็จ เราจะให้เขาโหวตว่า เดือนหน้า เขาอยากให้เชฟทำอาหาร ประเทศอะไร ลูกค้าก็ชอบมาก และเขาตื่นเต้นมากกับการที่ไม่รู้ล่วงหน้าว่าจะต้องได้กินอาหารอะไร เมนูอะไร ระยะแรกๆเขาก็เสียวๆ กลัวๆว่า เมื่อมาถึงแล้ว จะกินอาหารนั้นๆได้หรือไม่ แต่ตอนนี้ไม่มีใครสงสัย และหวาดกลัวแล้ว เพราะไม่ว่าสามีทำอาหารอะไร มันก็จะอร่อยทุกอย่าง และลูกค้าก็ชื่นชอบมาก สรุปว่าเดือนนึง เราจัดงาน Private Dinner เดือนละสองครั้ง และการที่ได้ย้ายเข้ามาใช้ ห้องอาหารของที่นี่ทำให้ฉันที่ตอนนั้นท้องอยู่ได้ประมาณสามเดือนแล้ว ก็จะสะดวกสบายมาก เพราะที่ล้างจานกว้างขวาง ทำให้การล้างจาน (หน้าที่ประจำของฉัน) คือมันดีมากค่ะ ตินิดนึงว่าท้ังครัว ทั้งห้องอาหาร ที่มันกว้างมากค่ะ เราเดินเสริฟอาหาร ตั้งแต่เริ่มท้องได้สามเดือน จนถึงวันคลอดคลอดน้องเลย น้ำหนักนี่ไม่ขึ้นเลย และถึงเวลาน้องคลอดง่ายมากค่ะ ถึงเวลาก็ลื่นปรื๊ดออกมาเลย ไม่ต้องเบ่งให้เสียเวลา เพราะการที่เราได้เดินออกกำลังทุกๆวันเสาร์ ครั้งละสี่ถึงห้าชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ
ถึงตอนนั้นเรามีลูกค้า ที่เป็นแฟนตัวจริงเหนียวแน่น ที่เป็นสมาชิก Supper Clup ของเราเกือบสองร้อยกว่าคนแล้ว เราเทคแคร์เขาดีมาก เพราะมีความคิดและคติที่ว่า เราจะทำตัวเราเองให้เขาคิดว่า เราเป็นเชฟส่วนตัวของเขา พอเขามีงานอะไรก็เรียกใช้เรา ลองคิดสิคะว่า คนหนึ่งคนในช่วงชีวิตหนึ่ง เขาจะต้องจัดงานอะไรบ้าง เริ่มจากงานวันเกิดของตัวเอง งานวันเกิดคนในครอบครัว และงานวันเกิดเพื่อนฝูงคนรู้จัก ญาติพี่น้อง พอลูกหลานโตพอที่จะแต่งงานก็มีงานแต่งงาน ในงานแต่งงานงานหนึ่ง นอกจากจะมี Reception Party ก็ต้องพ่วง Reheasal Party และ Bridal Party พอลูกหลานแต่งงานไป ก็มีลูก เขาก็จัดงาน Baby Shower พอลูกจบปริญญา ก็มีงาน Graduation Party พอแก่ตัวลงอยากเจอพี่น้องก็ต้องจัดงาน Reunion Party และสุดท้ายก็มาจบที่งานศพ Feneral Memorial นี่แหละคะ ที่ทำไมทั้งฉันและคุณสามี เน้นมากในเรื่องปริมาณและคุณภาพของอาหาร ทางบริษัทเราไม่มีเมนูประจำ ทุกเมนูคิดขึ้นและจัดสรร เพื่อให้เข้ากับเงินและกับงานนั้นๆมากที่สุด ของข้าว ผลิตภัณฑ์อาหารที่สั่งซื้อก็สั่งมาเพื่องานนั้นๆค่ะ ของจึงใหม่สดเสมอ และทุกอย่างคุณสามีทำเองกับมืออย่างเช่นแมชโปเตโต้ หรือว่ามันบด ก็ไม่ได้ซื้อผงสำเร็จมาทำค่ะ ทำทุกอย่างทำเองจากต้นจนจบ เพราะคุณสามีถือมากในเรื่องคุณภาพของอาหาร เพราะเขาใช้ชื่อเขารับประกันคุณภาพ ถ้าอะไรไม่ดีนี่ไม่ทำเลย สุดท้ายถ้าวันงานอาหารเหลือเยอะ ซึ่งเป็นประจำเกือบทุกงานค่ะ อาหารจะเหลือ เราจะห่อให้เขาเอากลับบ้าน แต่ถ้าเขาไม่อยากเอากลับบ้าน เราจะบอกเขาว่าเราจะเอาไปบริจาคให้ทางโรงทาน และบ้านพักคนที่ไม่มีที่อยู่และเร่ร่อน เราไม่เคยเก็บของจากงานหนึ่งเอาไปขายอีกงานหนึ่ง ซึ่งถ้าทำแบบนั้นคุณภาพของอาหารและรสชาดจะไม่ดี เรื่องเงินทองค่าจ้าง เท่าไหนก็เท่านั้น จ่ายล่วงหน้าสองอาทิตย์ พอถึงวันงาน เราก็ทำงานอย่างจริงจัง ฉันนี่จู้จี้มากนะ โต๊ะบัฟเฟต์ต้องเสร็จเรียบร้อยก่อนเวลางานอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ถ้าช้ากว่านั้น ลูกน้องหูชาค่ะ 555 ถ้าไปทำอาหารไปรเวทดินเนอร์ ที่บ้านใครนะคะ ตอนมาครัวที่บ้านเขาสะอาดแบบไหน ตอนกลับเราทำความสะอาดให้เหมือนเดิม ไม่เคยทิ้งอะไรให้เป็นภาระของเจ้าของบ้านเลย แต่งานที่เราได้รับส่วนใหญ่จะเป็นงานเล็กๆค่ะ แบบ 50 คนถึง 100 คน ซึ่งถึงตอนนี้เราสองคนก็มีจุดหมายใหม่ มุ่งไปยังงานใหญ่ๆ ที่ไม่ใช่อะไรที่ไหน ก็คืองานแต่งงานค่ะ
ถึงตอนนี้งานไปรเวทดินเน่อร์ ก็มีเพิ่มมากขึ้นแล้ว แถมด้วยงานที่เราจัดกันเองเดือนละสองครั้ง แต่รายได้ของทางบริษัทก็ยังไม่มั่นคงค่ะ เราทั้งสองก็ยังคงทำงานประจำกันต่อไป ช่วงนั้นฉันได้เลื่อนตำแหน่งจากฟร้อนท์เดสมาอยู่แผนกบัญชี ทำงานเป็นเวลา 8-5 จันทร์ถึงศุกร์ เสาร์อาทิตย์หยุด เลยมีเวลาไปช่วยงานเคเทอริ่งได้เต็มที่ ตอนนั้นนั่งคิดๆไปว่าเราจะเข้าสู่ Wedding Business กับเขายังไงหว่า เราก็เลยไปตีซี้กับแผนกเซลล์ อยากรู้ว่าเขาจัดงานแต่งงานที่โรงแรม ทำอะไรบ้าง ขายเมนูอะไร ราคาเท่าไหร่ ก็พอได้ความรู้มาบ้าง แต่ตอนนั้นปี 2009 เศรษฐกิจขาลง ก็ดิ่งลงไปเรื่อยๆ เขาก็บ่นๆกันว่าช่วงนี้ ไม่มีลูกค้าบุ๊คงานแต่งงานเลย ฉันนี่ก็เริ่มใจไม่ดี เศรษฐิกิจแบบนี้ บริษัทเราจะไปไหวไหมหนอ สงสัยคงต้องอดตายเหมือนที่คุณแม่สามีกล่าวไว้แน่ๆ คิดไปคิดมา ก็เอาว่ะ อย่าเพิ่งท้อ เรียกกำลังใจของตัวเองกลับคืนมา แล้วลองเข้ากูเกิ้ลค่ะ ค้นหาดูว่าใครทำอะไร ยังไงในแถวๆบ้านเรานี่แหละ ก็พอดีไปเจอกับกลุ่ม Wedding Merchants Group เจ้าของชื่อวิกกี้ งานหลักของเขาคือการจัด Wedding Show ปีละสองครั้ง ในเดือนมกราคม และสิงหาคม ส่วนเดือนอื่นๆ เดือนละครั้ง เขาจัดการประชุมมีตติ้ง Vendors ที่เกี่ยวกับธุรกิจงานแต่งงาน เขาเก็บตังค์ค่าไปร่วมมีตติ้งคนละ 15 เหรียญ และก็เชิญชวนคนที่มามีตติ้ง เอาขนม นมเนย ของฝากของแจก โบชัวร์ นามบัตรเอาไปแลกเปลี่ยนกัน เพื่อจะได้แนะนำสนับสนุนลูกค้าให้แก่กัน ฉันก็ชวนสามีไปร่วมงานเป็นครั้งแรก ไปถึงทุกๆคนก็เป็นกันเอง แนะนำตัว และพูดคุยอย่างสนิทสนมมากๆ เพราะเขาเจนเวที และคุ้นเคยกับธุรกิจงานแต่งงานมาก พอได้จังหวะ ฉันไม่รอช้ายิงคำถามที่ค้างคาใจไปในทันทีว่า ในช่วงเศรษฐกิจขาลงแบบนี้ คุณๆมีความคิดยังไงกับธุรกิจงานแต่งงาน และระแวงเกี่ยวกับการไม่มีลูกค้าบ้างไหม คำตอบที่ได้ก็คือ "ไม่ว่าเศรษฐกิจมันจะขึ้นหรือลง เด็กก็เกิดทุกวัน คนก็เจาะเจอรักกัน และหวังว่าจะได้แต่งงานกันทุกวันอยู่แล้ว แม้ในช่วงนี้เป็นช่วงเศรษฐกิจขาลง แต่ความต้องการในเรื่องการแต่งงานยังมีอยู่เหมือนเดิม แต่เขาอาจจะเปลี่ยนวิธีการจัดงานแบบเก่าๆให้เป็นแบบใหม่" พอฟังจบ... ดนตรีมาค่ะ...ตึง ตึง ตึง ฮาาาาาาเรลูย่า ฮาเรลูย่า ฮาเรลูย่า (555 เคยได้ยินกันไหมคะ)
ถ้าทุกคนในเวดดิ้งกรุ๊ปมั่นใจว่า แวดวงงานแต่งงานจะไม่ซบเซา เราก็มีกำลังใจเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่า พอเราสองคนออกจากห้องมีตติ้งก็กระโดดกอดกันค่ะ เพราะดีใจมีคนให้เกาะแล้ว 5555 คือมันมีทั้งดีใจและโล่งใจ ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ยังมีคนอีกมากมายที่ทำงานในแวดวงนี้ และพร้อมที่จะให้คำแนะนำ และสนับสนุนเราอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเราทั้งสองคนก็ลงทะเบียนเช่าบู๊ทออกงาน Wedding Show กับเขาด้วย เพราะเป็นทางเดียวที่เราจะนำบริษัทของเราเข้าสู่วงการธุรกิจงานแต่งงาน และเปิดเข้าสู่กลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการเกี่ยวกับงานแต่งงานโดยตรง แต่โจทย์ที่จะต้องกลับบ้านไปคิดก็คือ ลูกค้าที่มีความต้องการที่จะแต่งงานในช่วงเศรษฐกิจขาลงนี่ เขาต้องการงานแต่งงานกันแบบไหนหนอ ที่มันจะเป็นแบบใหม่ ไม่เหมือนใคร และตอบโจทย์การแต่งงานในช่วงนี้ได้ ทีนี้เราก็ไปตีซี้กับแผนกเซลล์อีกครั้ง ขอดูเมนูเขาว่า เขาขายอาหารกันอย่างไร
ที่โรงแรมเขาจะมีห้องบอลลูมไว้ให้เช่าจัดงาน โดยมีข้อแม้ว่าลูกค้าจะต้องซื้ออาหารและเครื่องดื่มจากโรงแรม เมนูอาหารก็เป็น 3 คอร์ส คือมีสลัด เมนคอร์ส และอาหารหวาน ส่วนใหญ่ก็คือเค้กนั่นเอง ราคาค่าอาหารจัดไว้หัวละตั้งแต่ 45 เหรียญขึ้นไปตามแต่อาหารเมนคอร์สจะถูกหรือแพง เขามีอยู่ด้วยกันแค่สามเมนู A B C ลูกค้าอยากได้เมนูไหนก็เลือกไป เราก็เอาเมนูมานั่งดู อยู่หลายวัน แล้วก็คิดออกว่า โดยทั่วไปทางบริษัทเคเทอริ่งส่วนใหญ่ จะเป็นคนกำหนดเมนูตายตัว ว่าจะมีอาหารอะไรในเมนู A B C และกำหนดราคาตายตัวว่าเมนูไหนราคาเท่าไหร่ ซึ่งในช่วงเศรษฐกิจขาลงนั้น ถ้าราคาอาหารต่อหัวแพงเกินไป ลูกค้าก็จะเอาปัญญาที่ไหนมาซื้อกัน ในช่วงเวลาแบบนี้ลูกค้าน่าจะอยากได้ความเป็น Flexible ยืดหยุ่น และต่อรองในเรื่องราคาได้ ตรงนี้คือที่มาของคอนเซ็ปของบริษัทเราที่ว่า "เราจะไม่เป็นคนกำหนดงานของลูกค้า ว่าลูกค้าจะกินอะไร และต้องจ่ายเท่าไหร่ แต่เราจะให้ลูกค้าเป็นคนกำหนดว่าในงานของเขา เขาอยากกินอะไร และเขาอยากจะจ่ายเท่าไหร่" ในเมื่อเราคุยว่าเชฟของเราเก่งนักเก่งหนา มีความสามรถทำอาหารได้ทุกชนิด อย่างที่เรียกกันว่า Sky is your limite เราก็สมควรที่จะ chellence เชฟของเรา ผลักดันให้เขามีโอกาสได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม กับโจทย์การทำอาหารยากๆด้วยค่ะ
กรุณาติดตามตอนต่อไปนะคะ....
เล่าได้เล่าดี ตอนเคเทอริ่งที่รัก ตอนที่ 2
ตอนเช้าคุณสามีมาต๊อกการ์ด เข้าทำงานเปิดคาเฟทีเรียตั้งแต่ตีห้า คาเฟทีเรียขายอาหารแค่ตอนเช้ากับตอนกลางวัน พอบ่ายๆสามีก็ต๊อกการ์ดออก และคาเฟทีเรียเปิดแค่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ช่วงหลังบ่ายจันทร์ถึงศุกร์ และวันเสาร์อาทิตย์ คุณสามีทำงานให้บริษัทเคเทอริ่งเรา งานช่วงนั้นก็มีงานที่ได้มาจากลูกค้า Privet Party นี่แหละ เขาติดต่อมา งานใหญ่ๆก็จะเป็นงานแต่งงาน จากนั้นก็งาน Baby Shower, Bridal Shower, งานเล็กๆน้อยๆ ตอนนั้นเรายังโฟกัสอยู่ที่การจัดงาน Sushi Night ที่เราจัดเอง เดือนละครั้ง ในวันเสาร์ ทีนี้มันก็น้อยไป และอีกอย่างช่วงนั้น รายการ Top Chef ทางช่อง Bravo กำลังเปิดรายการใหม่ๆ คนตื่นตาตื่นใจ กับอาชีพเชฟมากขึ้น เป็นช่วงที่เชฟกำลังรุ่งเรื่องมากๆ สามีว่าเมื่อก่อนคนที่ทำหน้าที่เชฟ เสมือนเป็นคนใช้ เดี๋ยวนี้อาชีพเชฟยกระดับขึ้นสูงมาก ฉันชอบดูรายการ Top Chef มากโดยเฉพาะมีการให้โจทย์มาว่าให้ทำอะไร เดี๋ยวนั้นเลย สนุกดี ฉันเลยมาถามสามีว่า ถ้าฉันให้โจทย์คุณทำอาหารชาติอะไรก็ได้ คุณทำได้ไหม เขาบอกว่าได้ ฉันเลยเปิด International Food Night ให้แก่สมาชิก Supper Club อีกหนึ่งวัน เราจะบอกเขาว่า เราจะทำอาหารประเทศอะไรแค่นั้น แต่ไม่บอกว่าเมนูอาหารมีอะไรบ้าง เขาจะมารู้ว่าเมนูคืออะไรก็ในวันงาน เราจะเสริฟ 7 คอร์สด้วยกัน พอทานอาหารเสร็จ เราจะให้เขาโหวตว่า เดือนหน้า เขาอยากให้เชฟทำอาหาร ประเทศอะไร ลูกค้าก็ชอบมาก และเขาตื่นเต้นมากกับการที่ไม่รู้ล่วงหน้าว่าจะต้องได้กินอาหารอะไร เมนูอะไร ระยะแรกๆเขาก็เสียวๆ กลัวๆว่า เมื่อมาถึงแล้ว จะกินอาหารนั้นๆได้หรือไม่ แต่ตอนนี้ไม่มีใครสงสัย และหวาดกลัวแล้ว เพราะไม่ว่าสามีทำอาหารอะไร มันก็จะอร่อยทุกอย่าง และลูกค้าก็ชื่นชอบมาก สรุปว่าเดือนนึง เราจัดงาน Private Dinner เดือนละสองครั้ง และการที่ได้ย้ายเข้ามาใช้ ห้องอาหารของที่นี่ทำให้ฉันที่ตอนนั้นท้องอยู่ได้ประมาณสามเดือนแล้ว ก็จะสะดวกสบายมาก เพราะที่ล้างจานกว้างขวาง ทำให้การล้างจาน (หน้าที่ประจำของฉัน) คือมันดีมากค่ะ ตินิดนึงว่าท้ังครัว ทั้งห้องอาหาร ที่มันกว้างมากค่ะ เราเดินเสริฟอาหาร ตั้งแต่เริ่มท้องได้สามเดือน จนถึงวันคลอดคลอดน้องเลย น้ำหนักนี่ไม่ขึ้นเลย และถึงเวลาน้องคลอดง่ายมากค่ะ ถึงเวลาก็ลื่นปรื๊ดออกมาเลย ไม่ต้องเบ่งให้เสียเวลา เพราะการที่เราได้เดินออกกำลังทุกๆวันเสาร์ ครั้งละสี่ถึงห้าชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ
ถึงตอนนั้นเรามีลูกค้า ที่เป็นแฟนตัวจริงเหนียวแน่น ที่เป็นสมาชิก Supper Clup ของเราเกือบสองร้อยกว่าคนแล้ว เราเทคแคร์เขาดีมาก เพราะมีความคิดและคติที่ว่า เราจะทำตัวเราเองให้เขาคิดว่า เราเป็นเชฟส่วนตัวของเขา พอเขามีงานอะไรก็เรียกใช้เรา ลองคิดสิคะว่า คนหนึ่งคนในช่วงชีวิตหนึ่ง เขาจะต้องจัดงานอะไรบ้าง เริ่มจากงานวันเกิดของตัวเอง งานวันเกิดคนในครอบครัว และงานวันเกิดเพื่อนฝูงคนรู้จัก ญาติพี่น้อง พอลูกหลานโตพอที่จะแต่งงานก็มีงานแต่งงาน ในงานแต่งงานงานหนึ่ง นอกจากจะมี Reception Party ก็ต้องพ่วง Reheasal Party และ Bridal Party พอลูกหลานแต่งงานไป ก็มีลูก เขาก็จัดงาน Baby Shower พอลูกจบปริญญา ก็มีงาน Graduation Party พอแก่ตัวลงอยากเจอพี่น้องก็ต้องจัดงาน Reunion Party และสุดท้ายก็มาจบที่งานศพ Feneral Memorial นี่แหละคะ ที่ทำไมทั้งฉันและคุณสามี เน้นมากในเรื่องปริมาณและคุณภาพของอาหาร ทางบริษัทเราไม่มีเมนูประจำ ทุกเมนูคิดขึ้นและจัดสรร เพื่อให้เข้ากับเงินและกับงานนั้นๆมากที่สุด ของข้าว ผลิตภัณฑ์อาหารที่สั่งซื้อก็สั่งมาเพื่องานนั้นๆค่ะ ของจึงใหม่สดเสมอ และทุกอย่างคุณสามีทำเองกับมืออย่างเช่นแมชโปเตโต้ หรือว่ามันบด ก็ไม่ได้ซื้อผงสำเร็จมาทำค่ะ ทำทุกอย่างทำเองจากต้นจนจบ เพราะคุณสามีถือมากในเรื่องคุณภาพของอาหาร เพราะเขาใช้ชื่อเขารับประกันคุณภาพ ถ้าอะไรไม่ดีนี่ไม่ทำเลย สุดท้ายถ้าวันงานอาหารเหลือเยอะ ซึ่งเป็นประจำเกือบทุกงานค่ะ อาหารจะเหลือ เราจะห่อให้เขาเอากลับบ้าน แต่ถ้าเขาไม่อยากเอากลับบ้าน เราจะบอกเขาว่าเราจะเอาไปบริจาคให้ทางโรงทาน และบ้านพักคนที่ไม่มีที่อยู่และเร่ร่อน เราไม่เคยเก็บของจากงานหนึ่งเอาไปขายอีกงานหนึ่ง ซึ่งถ้าทำแบบนั้นคุณภาพของอาหารและรสชาดจะไม่ดี เรื่องเงินทองค่าจ้าง เท่าไหนก็เท่านั้น จ่ายล่วงหน้าสองอาทิตย์ พอถึงวันงาน เราก็ทำงานอย่างจริงจัง ฉันนี่จู้จี้มากนะ โต๊ะบัฟเฟต์ต้องเสร็จเรียบร้อยก่อนเวลางานอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ถ้าช้ากว่านั้น ลูกน้องหูชาค่ะ 555 ถ้าไปทำอาหารไปรเวทดินเนอร์ ที่บ้านใครนะคะ ตอนมาครัวที่บ้านเขาสะอาดแบบไหน ตอนกลับเราทำความสะอาดให้เหมือนเดิม ไม่เคยทิ้งอะไรให้เป็นภาระของเจ้าของบ้านเลย แต่งานที่เราได้รับส่วนใหญ่จะเป็นงานเล็กๆค่ะ แบบ 50 คนถึง 100 คน ซึ่งถึงตอนนี้เราสองคนก็มีจุดหมายใหม่ มุ่งไปยังงานใหญ่ๆ ที่ไม่ใช่อะไรที่ไหน ก็คืองานแต่งงานค่ะ
ถึงตอนนี้งานไปรเวทดินเน่อร์ ก็มีเพิ่มมากขึ้นแล้ว แถมด้วยงานที่เราจัดกันเองเดือนละสองครั้ง แต่รายได้ของทางบริษัทก็ยังไม่มั่นคงค่ะ เราทั้งสองก็ยังคงทำงานประจำกันต่อไป ช่วงนั้นฉันได้เลื่อนตำแหน่งจากฟร้อนท์เดสมาอยู่แผนกบัญชี ทำงานเป็นเวลา 8-5 จันทร์ถึงศุกร์ เสาร์อาทิตย์หยุด เลยมีเวลาไปช่วยงานเคเทอริ่งได้เต็มที่ ตอนนั้นนั่งคิดๆไปว่าเราจะเข้าสู่ Wedding Business กับเขายังไงหว่า เราก็เลยไปตีซี้กับแผนกเซลล์ อยากรู้ว่าเขาจัดงานแต่งงานที่โรงแรม ทำอะไรบ้าง ขายเมนูอะไร ราคาเท่าไหร่ ก็พอได้ความรู้มาบ้าง แต่ตอนนั้นปี 2009 เศรษฐกิจขาลง ก็ดิ่งลงไปเรื่อยๆ เขาก็บ่นๆกันว่าช่วงนี้ ไม่มีลูกค้าบุ๊คงานแต่งงานเลย ฉันนี่ก็เริ่มใจไม่ดี เศรษฐิกิจแบบนี้ บริษัทเราจะไปไหวไหมหนอ สงสัยคงต้องอดตายเหมือนที่คุณแม่สามีกล่าวไว้แน่ๆ คิดไปคิดมา ก็เอาว่ะ อย่าเพิ่งท้อ เรียกกำลังใจของตัวเองกลับคืนมา แล้วลองเข้ากูเกิ้ลค่ะ ค้นหาดูว่าใครทำอะไร ยังไงในแถวๆบ้านเรานี่แหละ ก็พอดีไปเจอกับกลุ่ม Wedding Merchants Group เจ้าของชื่อวิกกี้ งานหลักของเขาคือการจัด Wedding Show ปีละสองครั้ง ในเดือนมกราคม และสิงหาคม ส่วนเดือนอื่นๆ เดือนละครั้ง เขาจัดการประชุมมีตติ้ง Vendors ที่เกี่ยวกับธุรกิจงานแต่งงาน เขาเก็บตังค์ค่าไปร่วมมีตติ้งคนละ 15 เหรียญ และก็เชิญชวนคนที่มามีตติ้ง เอาขนม นมเนย ของฝากของแจก โบชัวร์ นามบัตรเอาไปแลกเปลี่ยนกัน เพื่อจะได้แนะนำสนับสนุนลูกค้าให้แก่กัน ฉันก็ชวนสามีไปร่วมงานเป็นครั้งแรก ไปถึงทุกๆคนก็เป็นกันเอง แนะนำตัว และพูดคุยอย่างสนิทสนมมากๆ เพราะเขาเจนเวที และคุ้นเคยกับธุรกิจงานแต่งงานมาก พอได้จังหวะ ฉันไม่รอช้ายิงคำถามที่ค้างคาใจไปในทันทีว่า ในช่วงเศรษฐกิจขาลงแบบนี้ คุณๆมีความคิดยังไงกับธุรกิจงานแต่งงาน และระแวงเกี่ยวกับการไม่มีลูกค้าบ้างไหม คำตอบที่ได้ก็คือ "ไม่ว่าเศรษฐกิจมันจะขึ้นหรือลง เด็กก็เกิดทุกวัน คนก็เจาะเจอรักกัน และหวังว่าจะได้แต่งงานกันทุกวันอยู่แล้ว แม้ในช่วงนี้เป็นช่วงเศรษฐกิจขาลง แต่ความต้องการในเรื่องการแต่งงานยังมีอยู่เหมือนเดิม แต่เขาอาจจะเปลี่ยนวิธีการจัดงานแบบเก่าๆให้เป็นแบบใหม่" พอฟังจบ... ดนตรีมาค่ะ...ตึง ตึง ตึง ฮาาาาาาเรลูย่า ฮาเรลูย่า ฮาเรลูย่า (555 เคยได้ยินกันไหมคะ)
ถ้าทุกคนในเวดดิ้งกรุ๊ปมั่นใจว่า แวดวงงานแต่งงานจะไม่ซบเซา เราก็มีกำลังใจเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่า พอเราสองคนออกจากห้องมีตติ้งก็กระโดดกอดกันค่ะ เพราะดีใจมีคนให้เกาะแล้ว 5555 คือมันมีทั้งดีใจและโล่งใจ ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ยังมีคนอีกมากมายที่ทำงานในแวดวงนี้ และพร้อมที่จะให้คำแนะนำ และสนับสนุนเราอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเราทั้งสองคนก็ลงทะเบียนเช่าบู๊ทออกงาน Wedding Show กับเขาด้วย เพราะเป็นทางเดียวที่เราจะนำบริษัทของเราเข้าสู่วงการธุรกิจงานแต่งงาน และเปิดเข้าสู่กลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการเกี่ยวกับงานแต่งงานโดยตรง แต่โจทย์ที่จะต้องกลับบ้านไปคิดก็คือ ลูกค้าที่มีความต้องการที่จะแต่งงานในช่วงเศรษฐกิจขาลงนี่ เขาต้องการงานแต่งงานกันแบบไหนหนอ ที่มันจะเป็นแบบใหม่ ไม่เหมือนใคร และตอบโจทย์การแต่งงานในช่วงนี้ได้ ทีนี้เราก็ไปตีซี้กับแผนกเซลล์อีกครั้ง ขอดูเมนูเขาว่า เขาขายอาหารกันอย่างไร
ที่โรงแรมเขาจะมีห้องบอลลูมไว้ให้เช่าจัดงาน โดยมีข้อแม้ว่าลูกค้าจะต้องซื้ออาหารและเครื่องดื่มจากโรงแรม เมนูอาหารก็เป็น 3 คอร์ส คือมีสลัด เมนคอร์ส และอาหารหวาน ส่วนใหญ่ก็คือเค้กนั่นเอง ราคาค่าอาหารจัดไว้หัวละตั้งแต่ 45 เหรียญขึ้นไปตามแต่อาหารเมนคอร์สจะถูกหรือแพง เขามีอยู่ด้วยกันแค่สามเมนู A B C ลูกค้าอยากได้เมนูไหนก็เลือกไป เราก็เอาเมนูมานั่งดู อยู่หลายวัน แล้วก็คิดออกว่า โดยทั่วไปทางบริษัทเคเทอริ่งส่วนใหญ่ จะเป็นคนกำหนดเมนูตายตัว ว่าจะมีอาหารอะไรในเมนู A B C และกำหนดราคาตายตัวว่าเมนูไหนราคาเท่าไหร่ ซึ่งในช่วงเศรษฐกิจขาลงนั้น ถ้าราคาอาหารต่อหัวแพงเกินไป ลูกค้าก็จะเอาปัญญาที่ไหนมาซื้อกัน ในช่วงเวลาแบบนี้ลูกค้าน่าจะอยากได้ความเป็น Flexible ยืดหยุ่น และต่อรองในเรื่องราคาได้ ตรงนี้คือที่มาของคอนเซ็ปของบริษัทเราที่ว่า "เราจะไม่เป็นคนกำหนดงานของลูกค้า ว่าลูกค้าจะกินอะไร และต้องจ่ายเท่าไหร่ แต่เราจะให้ลูกค้าเป็นคนกำหนดว่าในงานของเขา เขาอยากกินอะไร และเขาอยากจะจ่ายเท่าไหร่" ในเมื่อเราคุยว่าเชฟของเราเก่งนักเก่งหนา มีความสามรถทำอาหารได้ทุกชนิด อย่างที่เรียกกันว่า Sky is your limite เราก็สมควรที่จะ chellence เชฟของเรา ผลักดันให้เขามีโอกาสได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม กับโจทย์การทำอาหารยากๆด้วยค่ะ
กรุณาติดตามตอนต่อไปนะคะ....