‘ฝรั่งเศส’ประเทศที่อุดมไปด้วยประวัติศาสตร์ สถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังอย่างหอไอเฟล ตึกราบ้านช่องที่uniqueไม่เหมือนใคร รวมไปถึงธรรมชาติที่งดงามและยังไม่ถูกรบกวน จนหลายๆคนฝันอยากไปเยือน
สวัสดีครับทุกคน กระทู้นี้จะมาเขียนเล่าเรื่อง+แนะนำเที่ยวฝรั่งเศสกันครับ ชอบไม่ชอบยังไงคอมเม้นท์บอกได้เลยนะครับ

Notes:
- จะเข้ายุโรปได้ ต้องทำ visa เชงเก้นก่อนไปนะครับ ทำกับ TLS Contact ได้เลยครับ สะดวกและรวดเร็วมาก
- รูปทุกรูปถ่ายด้วย fujifilm X-T10 นะครับ เก่าแต่ยังพอเก๋าอยู่๕๕๕
- ไปเที่ยวครั้งนี้ผมพก sony rx100 m5 ไปไว้สำหรับถ่ายวีดีโอด้วยครับ สำหรับคนที่อยากดูเป็นวีดีโอ (ได้คนละอารมณ์ครับ แนะนำให้ทั้งอ่านและดู แฮะๆ) ติดตามได้ที่ Channel: Polpum Onnuch
อันนี้จะเป็นตอนแรกนะครับ จะทยอยอัพเรื่อยๆ (ถ้าตัดต่อทัน๕๕๕):
https://www.youtube.com/watch?v=7x7sM23fhKY
- ติดตามดูรูปสวยๆ (หรือไม่สวย) ได้ที่ ig: pol.mch นะครับ
ทริปนี้ผมไปกับแม่ครับ วันที่ 8-18 กรกฎาคม แพลนคร่าวๆคือ เที่ยวใน Paris สามวัน จากนั้นนั่งรถไฟไป Marseille (มาค์เซล์) อีกห้าวันครับ (พอดีแม่มีเพื่อนที่อยู่ Marseille เลยไปอาศัยบ้านเขาอยู่แล้วขับรถเที่ยวกันครับ)
ความดีงามของทริปนี้คือมันตรงกับวันชาติฝรั่งเศส และวันที่ฝรั่งเศสได้แชมป์บอลโลกพอดี ได้เก็บบรรยากาศกันเต็มๆเลยครับ ครบรสสุด
ออกเดินทางจากกรุงเทพวันที่ 8 กรกฎาคม ประมาณ11โมงเช้าได้ครับ โดยสายการบิน British Airways ไปเปลี่ยนเครื่องที่ London, ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ15ชั่วโมงครับ (รวม Lay over) ถึงสนามบิน Charles de Gaulle ที่ Paris ก็ร่วมๆเที่ยงคืนละครับ เพลียโคตร จากสนามบินก็นั่งรถไฟไปสอง-สามต่อก็ถึงโรงแรมที่จองไว้ครับ ชื่อ Ibis Hotel ที่ผมพักจะเป็นสาขา Pere Lachaise โรงแรมในเครือนี้มีอยู่เกลื่อนกลาดครับ ลองหาสาขาที่สะดวกดูสำหรับผมผมว่าดีใช้ได้เลยนะ
วันที่ 9 กรกฎาคม
ตื่นเช้ามากินอาหารเช้าที่โรงแรม แล้วรีบบึ่งออกไปเที่ยวครับ การเดินทางในปารีสผมใช้ Metro(รถไฟใต้ดิน)ครับ จะสะดวกที่สุด มีpassให้ซื้อตามจำนวนวันที่ต้องการ และแน่นอนว่าในเมโทรนี้เองขึ้นชื่อเรื่อง pickpocketing หรือการโขมยของนะครับ เพราะฉะนั้นต้องระวังตัวตลอดเวลานะครับ กระเป๋าเอามาไว้ด้านหน้าตัวเราดีกว่า ผมเห็นมากับตาแล้วครับpicpocketเนี่ย๕๕๕ คือมีผู้ชายคนนึงเขาเดินเข้ารถไฟมาแล้วแกล้งทำเป็นรองเท้าหลุดไว้ใกล้ๆอีกคนหนึ่ง แล้วก็ทำทีว่าจะไปเก็บรองเท้าแต่มือนี่ไปแล้วครับ ไปเข้ากระเป๋าคนอื่นเขา๕๕๕ แต่ดีที่เขารู้ทันกันเลยไม่มีใครถูกขโมยครับ แต่เอาจริงๆแล้วอยู่ปารีสมาสามวันผมไม่โดนอะไรเลยครับ ปลอดภัยกว่าที่คิดไว้แฮะ
[เสริมนิดนึง คือปารีสเนี่ยมันจะแบ่งเป็นโซนๆ 1,2,3,4,.. แต่ละโซนความอันตรายก็จะไม่เท่ากันครับ (แต่ผมจำไม่ได้แล้วว่าโซนไหนอันตรายยังไง “- -)]
ที่แรกที่มาเที่ยวกันคือ trocadero ครับ เป็นสวนสาธารณะที่เราจะสามารถมองเห็นวิวหอไอเฟลงามๆกันได้ การเดินทางนั้นก็นั่งmetroมาลงที่สถานี trocadero ได้เลยครับสะดวกมากๆ

ลงmetroต่อมาสองสถานี เดินอีกเล็กน้อยก็มาถึงตัวหอไอเฟลครับ คนต่อแถวจะขึ้นไปเยอะมากกกก ผมไม่สู้เลยขอเดินเล่นรอบๆเอาเป็นพอครับ๕๕๕๕ โดยรอบก็จะมีสวนสาธารณะ มาพักปิกนิคกินข้าวกลางวันกันได้ครับ แต่ บริเวณนั้นฝุ่นมหาศาล ถ้ามาตอนลมแรงๆนี่เละ

จากบริเวณนั้นเดินมาขึ้นเรือล่องแม่น้ำ Seine (เซน, แซน) ชมเมืองปารีส คิวยาวนิดนึงแต่รอไม่นานมากก็ได้ขึ้นครับ ตัวเรือจะมีสองชั้น ถ้านั่งชั้นบนจะเห็นวิวดีมาก รับลมรับแดดเต็มๆ แต่ไม่ได้ยินเขาบรรยายนะครับ๕๕๕
นั่งเรือมาเรื่อยๆก็จะผ่านสถานที่สำคัญต่างๆ เช่นสะพาน Alexandre III, พิพิธภัณฑ์ Louvre, โบสถ์ Notre Dame, อาคารรัฐสภา และอื่นๆอีกมากมายครับ

บรรยากาศเมืองปารีสนี่ดีมากเลยครับ ตึกราบ้านช่อง สถาปัตยากรรมต่างๆ ยังคงอนุรักษ์ไว้แย่างดี เพลงaccordionนี่เล่นวนอยู่ในหัวเลยครับ๕๕๕๕ มีบางช่วงตอนนั่งเรือนึกถึงการ์ตูนเรื่อง ratatouilleยังไงไม่รู้๕๕๕
ที่ต่อมาคือวิหาร Notre Dame ครับ นั่งเมโทรมาลงที่สถานี Saint Michel Notre Dame ครับ เป็นโบสถ์สไตล์ Gothic ที่สวยที่สุดเลยก็ว่าได้ ใหญ่โตหรูหราอลังการมากๆ เราสามารถขึ้นไปชั้นบนของโบสถ์เพื่อชมวิวเมืองปารีสได้แต่แนะนำว่าให้จองมาก่อนนะครับไม่งั้นเต็ม(แบบผม)

ฟ้ายังไม่มืดก็ไปต่อกันครับที่ประตูชัย (Arc de Triomph) ซึ่งตั้งอยู่บนถนน Champs-Elysees ที่อุดมไปด้วยร้านแบรนด์เนมต่างๆนาๆ (ถนนราชดำเนินเราก็ถอดแบบมาจากอันนี้นะ) ประตูชัยแห่งนี้สร้างมาเพื่อเป็นเกียรติให้ทหารในสงครามโลกครั้งที่1ครับ มีพิพิธภัณฑ์ให้เข้าไปชมด้วย แต่เสียเงินเข้านะครับ

อีกที่นึงที่อยากไปมากๆ คือไปชมวิวพระอาทิตย์ตกหลังหอไอเฟลและเมืองปารีสแบบ panoramic ที่ตึก Montparnasse ครับ คือที่ปารีสนี่มีกฎหมายห้ามสร้างตึกสูงนะครับ แต่ตึกนี้คงเป็นข้อยกเว้น จะได้ชมวิวกันได้(มั้ง) เพราะมีถึง 60 ชั้น เสียค่าขึ้นชม 23 ยูโรสำหรับผู้ใหญ่ แต่เด็กๆจะได้ลดนะครับ
ขึ้นลิฟท์มาถึงชั้น 56 แล้วเดินขึ้นบันไดต่อไปที่ดาดฟ้าชั้น60ครับ ขึ้นมาแล้วหัวใจจะวายครับ เพราะเหนื่อย /ไม่ใช่สิ วิวนี่เรียกได้ว่าอลังการมากๆครับทุกคน พระอาทิตย์ค่อยๆลาลับขอบฟ้า สาดแสงสีทองอมชมพูไปทั่วเมือง หอไอเฟลเวลานี้นี่ดูศักดิ์สิทธิ์สุดๆ จนพระอาทิตย์ตกไป(เวลาประมาณสี่ทุ่มครับ ช้ามาก) หอไอเฟลก็เปิดไฟขึ้นมา ตั้งสวยเด่นเป็นประกายท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆลาลับขอบฟ้าไป วิวที่ได้มานี้เรียกว่าคุ้มเลยครับ ตายตาหลับละ๕๕๕

วันที่ 10 กรกฎาคม
วันนี้ตื่นเช้ามากินอาหารเช้าแบบฝรั่งเศสที่ร้านใกล้ๆโรงแรมครับ ที่นี่เขาจะกินขนมปังbaguette(บักเกต)ทาเนยทาแยมแล้วจุ่มกาแฟให้นุ่มแล้วเอาเข้าปากครับ อร่อยดีเหมือนกัน
กินเสร็จก็ไปเดินหาซื้อแซนวิชสำหรับอาหารกลางวันกันครับ เดินไปถ่ายรูปไป เมืองน่ารักดี

วันนี้ไปพระราชวังVersailles(แวร์ซาย)ทั้งวันครับ นั่งรถไฟ RER ออกมานอกเมือง ลงที่สถานี Versailles Château-Rive Gauche (ไม่ใช่เมโทรนะครับ ต้องซื้อตั๋วแยก) พระราชวังตั้งอยู่ที่เมืองชื่อแวร์ซาย เป็นเมืองเล็กๆ (ถ้าอยากฟังพวกประวัติศาสตร์เพิ่ม ดูในคลิปนะครับผม กลัวจะยาว) เดินมาสักหน่อยก็จะถึง(ประมาณก่อนเที่ยงหน่อยนึง)
คนต่อแถวเข้าพระราชวังเป็นสิบแปดล้านคนได้มั้งครับ ต้องต่อสองชั่วโมงถึงจะได้เข้า เลยตัดสินใจไปชมสวนก่อนดีกว่า คิวสั้นกว่า

สวนใหญ่มากและเต็มไปด้วยรูปปั้น น้ำพุ ประติมากรรมต่างๆนานา

เดินสวนเสร็จก็บ่ายสามกว่าละครับ ออกมาดูแถวเข้าพระราชวัง คนลดลงไปเยอะครับ ต่อคิวเกือบๆชั่วโมงก็ได้เข้า ภายในเป็นห้องจัดแสดงต่างๆ ทั้งสิ่งของเครื่องใช้ของราชวงศ์, ห้องบรรทมพระเจ้าหลุยส์ที่ 14, รูปวาดมากมาย

และไฮไลต์ของที่นี่คือห้องโถงกระจก (Hall of Mirror) สวยงามมากๆครับ และที่นี่นี่แหละครับ สนธิสัญญาแวร์ซายได้ถูกเซ็นขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่1จบลง

เดินในวังนี้แล้วรู้สึกได้ถึงความหรูหราฟุ่มเฟือยตามสไตล์ของยุคRenaissanceครับ มันก็เลยเป็นเหตุให้ประชาชนไม่พอใจพวกราชวงศ์ที่ใช้เงินภาษีอย่างฟุ่มเฟือยจนเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสขึ้นครับ
กว่าจะเดินชมเสร็จก็ห้าโมงเย็นเกือบหกโมงละครับ (แต่แดดยังจ้าเหมือนบ่ายสองบ้านเราเลย๕๕๕) ออกมาแถวคนที่ต่อรอเข้าพระราชวังเหลือแค่ไม่ถึง10คนครับ โอ้ว...เพราะฉะนั้นถ้าจะมาแวร์ซายไม่ต้องมาทั้งวันแบบที่เขานิยมทำกันก็ได้ครับ มาตอนสี่โมงครึ่งถึงห้าโมงไม่ต้องต่อแถว เดินชมอย่างมากก็ชั่วโมงนิดๆเสร็จครับ แล้วไปเดินสวนต่อเพราะตัวสวนจะปิดช้ากว่าตัวพระราชวังครับ เวลาตอนเช้า-บ่ายไปเที่ยวที่อื่นได้อีก (หน้าร้อนที่นี่จะปิดช้าครับ อย่าลืมเช็คเวลากันด้วย, วันจันทร์ตัวพระราชวังเขาจะปิดนะครับ แต่สวนเปิดทุกวัน)
วันที่10เป็นวันที่มีบอลนัดฝรั่งเศส-เบลเยี่ยมตอนสองทุ่มครับ เวลาเหลือนิดหน่อยมาช้อปกันต่อที่ Lafayette เป็นห้างขนาดใหญ่ขายของแบรนด์เนม มีทั้งของผู้หญิงและผู้ชายครับ เสร็จแล้วรีบกลับโรงแรมไปเชียร์บอล๕๕๕๕ คนที่นี่เชียร์บอลกันลั่นเมืองเลยครับ บีบแตรกันสนั่น เสียดายไม่ได้ถ่ายเอาไว้
บอลจบออกมาเดินถ่ายรูปแถวโรงแรมนิดหน่อย เป็นอันจบวันครับ

วันที่ 11 กรกฎาคม
ไปตามรอย Davinci Code ที่พิพิธภัณฑ์Louvre แต่เช้าครับ นั่งmetroไปลงที่สถานี Musee du Louvre มีทางเชื่อมเข้าไปในพิพิธภัณฑ์เลยครับ ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บงานศิลปะของศิลปินชื่อดังต่างๆเช่น Leonado Davinci, Michelangelo, รูปวาด, ประติมากรรมทางประวัติศาสตร์มากมายครับ ถ้าจะเดินให้ครบต้องใช้เวลามากกว่า2วันเลยทีเดียว
[ท่องเที่ยว] ฝรั่งเศส: เมืองใหญ่, ธรรมชาติ, ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, ความโรแมนติก (และ แชมป์บอลโลก!)
สวัสดีครับทุกคน กระทู้นี้จะมาเขียนเล่าเรื่อง+แนะนำเที่ยวฝรั่งเศสกันครับ ชอบไม่ชอบยังไงคอมเม้นท์บอกได้เลยนะครับ
- จะเข้ายุโรปได้ ต้องทำ visa เชงเก้นก่อนไปนะครับ ทำกับ TLS Contact ได้เลยครับ สะดวกและรวดเร็วมาก
- รูปทุกรูปถ่ายด้วย fujifilm X-T10 นะครับ เก่าแต่ยังพอเก๋าอยู่๕๕๕
- ไปเที่ยวครั้งนี้ผมพก sony rx100 m5 ไปไว้สำหรับถ่ายวีดีโอด้วยครับ สำหรับคนที่อยากดูเป็นวีดีโอ (ได้คนละอารมณ์ครับ แนะนำให้ทั้งอ่านและดู แฮะๆ) ติดตามได้ที่ Channel: Polpum Onnuch
อันนี้จะเป็นตอนแรกนะครับ จะทยอยอัพเรื่อยๆ (ถ้าตัดต่อทัน๕๕๕): https://www.youtube.com/watch?v=7x7sM23fhKY
- ติดตามดูรูปสวยๆ (หรือไม่สวย) ได้ที่ ig: pol.mch นะครับ
ทริปนี้ผมไปกับแม่ครับ วันที่ 8-18 กรกฎาคม แพลนคร่าวๆคือ เที่ยวใน Paris สามวัน จากนั้นนั่งรถไฟไป Marseille (มาค์เซล์) อีกห้าวันครับ (พอดีแม่มีเพื่อนที่อยู่ Marseille เลยไปอาศัยบ้านเขาอยู่แล้วขับรถเที่ยวกันครับ)
ความดีงามของทริปนี้คือมันตรงกับวันชาติฝรั่งเศส และวันที่ฝรั่งเศสได้แชมป์บอลโลกพอดี ได้เก็บบรรยากาศกันเต็มๆเลยครับ ครบรสสุด
ออกเดินทางจากกรุงเทพวันที่ 8 กรกฎาคม ประมาณ11โมงเช้าได้ครับ โดยสายการบิน British Airways ไปเปลี่ยนเครื่องที่ London, ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ15ชั่วโมงครับ (รวม Lay over) ถึงสนามบิน Charles de Gaulle ที่ Paris ก็ร่วมๆเที่ยงคืนละครับ เพลียโคตร จากสนามบินก็นั่งรถไฟไปสอง-สามต่อก็ถึงโรงแรมที่จองไว้ครับ ชื่อ Ibis Hotel ที่ผมพักจะเป็นสาขา Pere Lachaise โรงแรมในเครือนี้มีอยู่เกลื่อนกลาดครับ ลองหาสาขาที่สะดวกดูสำหรับผมผมว่าดีใช้ได้เลยนะ
วันที่ 9 กรกฎาคม
ตื่นเช้ามากินอาหารเช้าที่โรงแรม แล้วรีบบึ่งออกไปเที่ยวครับ การเดินทางในปารีสผมใช้ Metro(รถไฟใต้ดิน)ครับ จะสะดวกที่สุด มีpassให้ซื้อตามจำนวนวันที่ต้องการ และแน่นอนว่าในเมโทรนี้เองขึ้นชื่อเรื่อง pickpocketing หรือการโขมยของนะครับ เพราะฉะนั้นต้องระวังตัวตลอดเวลานะครับ กระเป๋าเอามาไว้ด้านหน้าตัวเราดีกว่า ผมเห็นมากับตาแล้วครับpicpocketเนี่ย๕๕๕ คือมีผู้ชายคนนึงเขาเดินเข้ารถไฟมาแล้วแกล้งทำเป็นรองเท้าหลุดไว้ใกล้ๆอีกคนหนึ่ง แล้วก็ทำทีว่าจะไปเก็บรองเท้าแต่มือนี่ไปแล้วครับ ไปเข้ากระเป๋าคนอื่นเขา๕๕๕ แต่ดีที่เขารู้ทันกันเลยไม่มีใครถูกขโมยครับ แต่เอาจริงๆแล้วอยู่ปารีสมาสามวันผมไม่โดนอะไรเลยครับ ปลอดภัยกว่าที่คิดไว้แฮะ
[เสริมนิดนึง คือปารีสเนี่ยมันจะแบ่งเป็นโซนๆ 1,2,3,4,.. แต่ละโซนความอันตรายก็จะไม่เท่ากันครับ (แต่ผมจำไม่ได้แล้วว่าโซนไหนอันตรายยังไง “- -)]
ที่แรกที่มาเที่ยวกันคือ trocadero ครับ เป็นสวนสาธารณะที่เราจะสามารถมองเห็นวิวหอไอเฟลงามๆกันได้ การเดินทางนั้นก็นั่งmetroมาลงที่สถานี trocadero ได้เลยครับสะดวกมากๆ
ลงmetroต่อมาสองสถานี เดินอีกเล็กน้อยก็มาถึงตัวหอไอเฟลครับ คนต่อแถวจะขึ้นไปเยอะมากกกก ผมไม่สู้เลยขอเดินเล่นรอบๆเอาเป็นพอครับ๕๕๕๕ โดยรอบก็จะมีสวนสาธารณะ มาพักปิกนิคกินข้าวกลางวันกันได้ครับ แต่ บริเวณนั้นฝุ่นมหาศาล ถ้ามาตอนลมแรงๆนี่เละ
จากบริเวณนั้นเดินมาขึ้นเรือล่องแม่น้ำ Seine (เซน, แซน) ชมเมืองปารีส คิวยาวนิดนึงแต่รอไม่นานมากก็ได้ขึ้นครับ ตัวเรือจะมีสองชั้น ถ้านั่งชั้นบนจะเห็นวิวดีมาก รับลมรับแดดเต็มๆ แต่ไม่ได้ยินเขาบรรยายนะครับ๕๕๕
นั่งเรือมาเรื่อยๆก็จะผ่านสถานที่สำคัญต่างๆ เช่นสะพาน Alexandre III, พิพิธภัณฑ์ Louvre, โบสถ์ Notre Dame, อาคารรัฐสภา และอื่นๆอีกมากมายครับ
บรรยากาศเมืองปารีสนี่ดีมากเลยครับ ตึกราบ้านช่อง สถาปัตยากรรมต่างๆ ยังคงอนุรักษ์ไว้แย่างดี เพลงaccordionนี่เล่นวนอยู่ในหัวเลยครับ๕๕๕๕ มีบางช่วงตอนนั่งเรือนึกถึงการ์ตูนเรื่อง ratatouilleยังไงไม่รู้๕๕๕
ที่ต่อมาคือวิหาร Notre Dame ครับ นั่งเมโทรมาลงที่สถานี Saint Michel Notre Dame ครับ เป็นโบสถ์สไตล์ Gothic ที่สวยที่สุดเลยก็ว่าได้ ใหญ่โตหรูหราอลังการมากๆ เราสามารถขึ้นไปชั้นบนของโบสถ์เพื่อชมวิวเมืองปารีสได้แต่แนะนำว่าให้จองมาก่อนนะครับไม่งั้นเต็ม(แบบผม)
ฟ้ายังไม่มืดก็ไปต่อกันครับที่ประตูชัย (Arc de Triomph) ซึ่งตั้งอยู่บนถนน Champs-Elysees ที่อุดมไปด้วยร้านแบรนด์เนมต่างๆนาๆ (ถนนราชดำเนินเราก็ถอดแบบมาจากอันนี้นะ) ประตูชัยแห่งนี้สร้างมาเพื่อเป็นเกียรติให้ทหารในสงครามโลกครั้งที่1ครับ มีพิพิธภัณฑ์ให้เข้าไปชมด้วย แต่เสียเงินเข้านะครับ
อีกที่นึงที่อยากไปมากๆ คือไปชมวิวพระอาทิตย์ตกหลังหอไอเฟลและเมืองปารีสแบบ panoramic ที่ตึก Montparnasse ครับ คือที่ปารีสนี่มีกฎหมายห้ามสร้างตึกสูงนะครับ แต่ตึกนี้คงเป็นข้อยกเว้น จะได้ชมวิวกันได้(มั้ง) เพราะมีถึง 60 ชั้น เสียค่าขึ้นชม 23 ยูโรสำหรับผู้ใหญ่ แต่เด็กๆจะได้ลดนะครับ
ขึ้นลิฟท์มาถึงชั้น 56 แล้วเดินขึ้นบันไดต่อไปที่ดาดฟ้าชั้น60ครับ ขึ้นมาแล้วหัวใจจะวายครับ เพราะเหนื่อย /ไม่ใช่สิ วิวนี่เรียกได้ว่าอลังการมากๆครับทุกคน พระอาทิตย์ค่อยๆลาลับขอบฟ้า สาดแสงสีทองอมชมพูไปทั่วเมือง หอไอเฟลเวลานี้นี่ดูศักดิ์สิทธิ์สุดๆ จนพระอาทิตย์ตกไป(เวลาประมาณสี่ทุ่มครับ ช้ามาก) หอไอเฟลก็เปิดไฟขึ้นมา ตั้งสวยเด่นเป็นประกายท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆลาลับขอบฟ้าไป วิวที่ได้มานี้เรียกว่าคุ้มเลยครับ ตายตาหลับละ๕๕๕
วันที่ 10 กรกฎาคม
วันนี้ตื่นเช้ามากินอาหารเช้าแบบฝรั่งเศสที่ร้านใกล้ๆโรงแรมครับ ที่นี่เขาจะกินขนมปังbaguette(บักเกต)ทาเนยทาแยมแล้วจุ่มกาแฟให้นุ่มแล้วเอาเข้าปากครับ อร่อยดีเหมือนกัน
กินเสร็จก็ไปเดินหาซื้อแซนวิชสำหรับอาหารกลางวันกันครับ เดินไปถ่ายรูปไป เมืองน่ารักดี
วันนี้ไปพระราชวังVersailles(แวร์ซาย)ทั้งวันครับ นั่งรถไฟ RER ออกมานอกเมือง ลงที่สถานี Versailles Château-Rive Gauche (ไม่ใช่เมโทรนะครับ ต้องซื้อตั๋วแยก) พระราชวังตั้งอยู่ที่เมืองชื่อแวร์ซาย เป็นเมืองเล็กๆ (ถ้าอยากฟังพวกประวัติศาสตร์เพิ่ม ดูในคลิปนะครับผม กลัวจะยาว) เดินมาสักหน่อยก็จะถึง(ประมาณก่อนเที่ยงหน่อยนึง)
คนต่อแถวเข้าพระราชวังเป็นสิบแปดล้านคนได้มั้งครับ ต้องต่อสองชั่วโมงถึงจะได้เข้า เลยตัดสินใจไปชมสวนก่อนดีกว่า คิวสั้นกว่า
เดินสวนเสร็จก็บ่ายสามกว่าละครับ ออกมาดูแถวเข้าพระราชวัง คนลดลงไปเยอะครับ ต่อคิวเกือบๆชั่วโมงก็ได้เข้า ภายในเป็นห้องจัดแสดงต่างๆ ทั้งสิ่งของเครื่องใช้ของราชวงศ์, ห้องบรรทมพระเจ้าหลุยส์ที่ 14, รูปวาดมากมาย
และไฮไลต์ของที่นี่คือห้องโถงกระจก (Hall of Mirror) สวยงามมากๆครับ และที่นี่นี่แหละครับ สนธิสัญญาแวร์ซายได้ถูกเซ็นขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่1จบลง
เดินในวังนี้แล้วรู้สึกได้ถึงความหรูหราฟุ่มเฟือยตามสไตล์ของยุคRenaissanceครับ มันก็เลยเป็นเหตุให้ประชาชนไม่พอใจพวกราชวงศ์ที่ใช้เงินภาษีอย่างฟุ่มเฟือยจนเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสขึ้นครับ
กว่าจะเดินชมเสร็จก็ห้าโมงเย็นเกือบหกโมงละครับ (แต่แดดยังจ้าเหมือนบ่ายสองบ้านเราเลย๕๕๕) ออกมาแถวคนที่ต่อรอเข้าพระราชวังเหลือแค่ไม่ถึง10คนครับ โอ้ว...เพราะฉะนั้นถ้าจะมาแวร์ซายไม่ต้องมาทั้งวันแบบที่เขานิยมทำกันก็ได้ครับ มาตอนสี่โมงครึ่งถึงห้าโมงไม่ต้องต่อแถว เดินชมอย่างมากก็ชั่วโมงนิดๆเสร็จครับ แล้วไปเดินสวนต่อเพราะตัวสวนจะปิดช้ากว่าตัวพระราชวังครับ เวลาตอนเช้า-บ่ายไปเที่ยวที่อื่นได้อีก (หน้าร้อนที่นี่จะปิดช้าครับ อย่าลืมเช็คเวลากันด้วย, วันจันทร์ตัวพระราชวังเขาจะปิดนะครับ แต่สวนเปิดทุกวัน)
วันที่10เป็นวันที่มีบอลนัดฝรั่งเศส-เบลเยี่ยมตอนสองทุ่มครับ เวลาเหลือนิดหน่อยมาช้อปกันต่อที่ Lafayette เป็นห้างขนาดใหญ่ขายของแบรนด์เนม มีทั้งของผู้หญิงและผู้ชายครับ เสร็จแล้วรีบกลับโรงแรมไปเชียร์บอล๕๕๕๕ คนที่นี่เชียร์บอลกันลั่นเมืองเลยครับ บีบแตรกันสนั่น เสียดายไม่ได้ถ่ายเอาไว้
บอลจบออกมาเดินถ่ายรูปแถวโรงแรมนิดหน่อย เป็นอันจบวันครับ
วันที่ 11 กรกฎาคม
ไปตามรอย Davinci Code ที่พิพิธภัณฑ์Louvre แต่เช้าครับ นั่งmetroไปลงที่สถานี Musee du Louvre มีทางเชื่อมเข้าไปในพิพิธภัณฑ์เลยครับ ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บงานศิลปะของศิลปินชื่อดังต่างๆเช่น Leonado Davinci, Michelangelo, รูปวาด, ประติมากรรมทางประวัติศาสตร์มากมายครับ ถ้าจะเดินให้ครบต้องใช้เวลามากกว่า2วันเลยทีเดียว