แชร์ประสบการณ์ขอวีซ่าอเมริกาล่าสุด(ก.ค. 2018) สำหรับคนที่เคยถูกปฎิเสธวีซ่าและผ่านในที่สุด

สวัสดีค่ะ เราอยากจะมาเล่าประสบการณ์การขอวีซ่าอเมริกา ล่าสุดเดือนก.ค. 2018 ซึ่งเราต้องขอเกริ่นก่อนว่า เราเคยได้วีซ่าท่องเที่ยวB1/B2 10ปีมาแล้วเมื่อปี2015 และได้ไปอยู่เมกามาเต็ม6เดือน จากนั้นได้กลับมาapply student visa ที่ไทยทันที เพื่อจะขอกลับไปเรียนที่นั่น ด้วยความคิดว่า เราเคยไปมาแล้ว น่าจะได้ง่ายๆ แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด ตอนนั้นเราถูกปฏิเสธวีซ่านักเรียนติดกันถึง3ครั้ง และถูกยกเลิกวีซ่าท่องเที่ยว10ปีทันที

ตอนนั้นรู้สึกแย่และเครียดมากๆ รู้สึกเหมือนเราทำอะไรผิดร้ายแรงมาก และเริ่มที่จะหาข้อมูลโดยการอ่านเคสเยอะมากๆ รวมไปถึงถามคนที่มีความรู้และประสบการณ์เรื่องวีซ่าอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ญาติ หรือคนรู้จักที่ทำงานในสถานทูต ไปจนกระทั่งเอเจนซี่ต่างๆ และในกลุ่มfacebook ที่แชร์ประสบการณ์/ความคิดเห็นเรื่องการขอวีซ่าอเมริกา ซึ่งเสียงส่วนมากประมาน90%บอกว่า เราอาจจะต้องทิ้งช่วงนานเป็นสิบๆปี หรืออาจจะไม่มีวันได้วีซ่าอีก เพราะการโดนปฏิเสธวีซ่าติดกันถึง3ครั้งถือว่าโอกาสได้ใหม่ค่อนข้างยากมาก ช่วงนั้นยอมรับเลยค่ะว่าจิตตกมากๆ

หลังจากถูกปฏิเสธวีซ่าอเมริกา เราจึงไปเรียนที่ออสเตรเลียแทน เมื่อเรียนจบแล้วก็กลับมาไทย และได้งานทำที่บริษัทเอกชนที่มีชื่อเสียงแห่งนึง เวลาผ่านไป3ปี เราไม่เคยหยุดคิดเรื่องวีซ่าได้เลย  มันเหมือนกับเป็นอะไรที่ค้างคาใจมาก แต่เราก็เข้าใจการตัดสินใจของ จนท. ในเวลานั้นว่า เราเองก็เข้าข่ายที่เค้าจะสงสัยได้ว่าจะขอวีซ่านักเรียนบังหน้า เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง หรือเพื่อไปหาโอกาสโดดไปอยู่อเมริกา เพราะตอนที่โดนปฏิเสธนั้น โดนเค้นหนักมากว่าไปทำอะไร? ไปทำงานใช่ไหม? ทำไมไปอยู่นาน? และไปอยู่กับใคร?(เราจะขอข้ามรายละเอียดการขอวีซ่ารอบแรกไปนะคะ เพราะมันจะยาวมากๆ) ซึ่งตอนนั้นที่ไปอยู่อเมริกาเราไปอยู่กับแฟนและทำงานจริง แต่เราก็แถไป ยืนยันหนักแน่นว่าไปท่องเที่ยว ไม่ได้ทำงาน และไม่มีคนรู้จัก แต่มันคงฟังไม่ขึ้นจริงๆค่ะจึงถูกปฏิเสธวีซ่า

ที่เราตัดสินใจไปขอวีซ่าในปีนี้ก็เพราะว่า พอดีน้องชายเราเรียนจบตรี และได้ทุนเรียนโทที่University of San Francisco เราจึงถือโอกาสนี้ ไปขอวีซ่าอีกครั้ง โดยครั้งนี้ไปขอกับคุณพ่อ 2คน โดยให้เหตุผลว่าจะไปท่องเที่ยวและไปเยี่ยมน้องชาย

เอาล่ะเล่ามาถึงตรงนี้แล้ว ก็ได้เวลาเข้าเรื่องสักที

เอกสารที่เราเตรียมไปในวันสัมภาษณ์มีดังนี้
1.DS-160
2.Appointment confirmation ที่นัดกับทางสถานทูต
3.ใบเสร็จการจ่ายเงิน
4.passportเล่มปัจจุบัน+รูปถ่าย
5.ทะเบียนบ้านตัวจริง
6.สำเนาบัตรประชาชน
7.หนังสือรับรองเงินเดือนออกโดยบริษัท
8.statementย้อนหลัง6เดือน+bookbank อัพเดทล่าสุด
9.slipเงินเดือนตั้งแต่เดือนแรกที่ทำงานถึงปัจจุบัน
10.ปริ้นตัวอย่างงานที่ทำปัจจุบันที่จะให้ทางสถานทูตเห็นภาพชัดเจนว่าตำแหน่งงานที่ทำนั้นมีหน้าที่อะไร
11.เอกสารเกี่ยวกับการศึกษาที่เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด(transcript,ใบจบ,ใบปริญญา ตั้งแต่มัธยมศึกษา ปริญญาตรี และ ปริญญาโท)
12.lttinerary,ใบจองตั๋วเครื่องบิน(แบบยังไม่คอนเฟิร์มจ่ายเงิน) และโรงแรมที่จะไปพัก ระบุวันไป-กลับให้ชัดเจน
13.เอกสารของคุณพ่อ และธุรกิจของที่บ้าน รวมไปถึง statementของคุณพ่อกับธุรกิจที่บ้าน
14.company profileและรูปงานต่างๆของธุรกิจที่บ้าน
15.เอกสารการเรียนของน้องชาย(เผื่อเค้าขอดู)

ที่เตรียมไปก็ประมาณนี้ค่ะ เราได้รอบสัมภาษณ์เวลา 9:00น. คืนนั้นตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเลยค่ะ นอนอ่านเคสเยอะมาก จนตี4 ก็ไปอาบน้ำแต่งตัว เราไปถึงเร็วกว่าเวลาประมาน2ชั่วโมงได้ ก็ไปนั่งทานข้าวดื่มกาแฟรอกับคุณพ่อ เราขับรถไปจอดที่ตึกฝั่งตรงข้ามสถานทูต รู้สึกจะชื่อ glasshouse at sindhorn พอใกล้เวลาก็เดินข้ามถนนไปยื่นเอกสาร จะมี จนท. ยืนเช็ครายชื่อและดูคิวให้เรา โดยเค้าจะให้เราเอาหน้าแรกของ ds-160 ออกมาคู่กับpassport และให้บัตรผ่านเรามา หลังจากนั้นก็ให้ไปยืนต่อคิวรอx-ray โดยจะมียามหลายคนมาวุ่นวายกับเรา ห้ามเอา กป.เข้าไป และบังคับปิดมือถือและเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด ต้องปิดต่อหน้าให้เขาเห็นด้วย โดยสิ่งที่อนุญาติให้เอาเข้าไปมีแค่ กระเป๋าสตางค์ และมือถือต้องฝากไว้โดยใช้บัตรประชาชนรับฝาก

เมื่อผ่านด่านนี้ไปแล้วก็จะต้องไปนั่งรอเรียกตามรอบคิวนัดสัมภาษณ์ วันนั้นคนเยอะพอสมควร เรียกได้ว่าเก้าอี้ที่นั่งที่เค้าเตรียมไว้เต็มจนต้องมายืนแถวขอบกำแพงตรงหน้าร้านกาแฟเลยทีเดียว
รอประมาณชั่วโมงนิดๆเค้าก็เรียกรอบสัมภาษณ์9:00น. มายื่นเอกสาร และจะให้เลขemsติดไว้ที่เล่มpassportของเรา เค้าแนะนำให้เราจดเลขemsไว้ เพื่อเอาไว้เช็ควีซ่าในกรณีที่วีซ่าผ่าน แต่ถ้าไม่ผ่านเค้าจะคืนเล่มpassportให้พร้อมก้บกระดาษสีขาวใบประมาณA5 มาให้

เมื่อผ่านด่านนี้ไปก็จะต้องเดินขึ้นบันไดเข้าไปด้านในเพื่อสัมภาษณ์แล้ว ใจเริ่มเต้นรัวๆ มือเย็นมากๆ มันเดจาวูมาก เราเคยมาและครั้งสุดท้ายที่มาก็ถูกปฏิเสธ มันมีความหลอนความกลัวอยู่มากกว่าคนที่ไม่เคยมา หรือมาขอเป็นครั้งแรกอยู่แล้ว พอเข้าไปก็ไปต่อคิว เค้าจะกั้นแถวไว้ขดเป็นงู และจะมีช่องสัมภาษณ์เป็นเลขเบอร์ต่างๆอยู่ ลักษณะคล้ายๆช่องซื้อตั๋วรถทัวร์ มีกระจกกั้นแบบนั่นเลยค่ะ ด่านแรกจะเจอ จนท.คนไทยก่อนค่ะ จะให้เราแสกนนิ้วมือและถามข้อมูลเล็กน้อย เช่น เคยเปลี่ยนชื่อไหม เคยมาขอวีซ่าไหม ประมาณนี้ค่ะ เสร็จแล้วก็จะให้ไปต่อช่อง10 จะเป็นฝรั่งยืนแสกนบาร์โคดหน้า ds-160 และให้เราแสกนนิ้วอีกรอบ ระหว่างนี้เราจะเห็นการสัมภาษณ์ของคนก่อนหน้าตลอดทาง และวันนั้นเราเห็นคนถูกปฏิเสธเยอะมาก เดินถือpassportกลับบ้านกันหลายต่อหลายคน

และแล้วก็มาถึงด่านปราบเซียนที่ทำให้ใจเต้นรัวมาก วันนั้นมี จนท.อยู่3ช่อง ช่องแรกเป็นผู้ชาย white American ถัดมาเป็นผู้หญิงผิวสี และช่องริมขวาสุดเป็นผู้หญิง Asian American ทั้ง3คน หน้าตึงหมด ไม่รู้เลยว่าจะอยากได้คนไหน เพราะดูไม่ออกจริงๆTT
แถวเริ่มสั้นขึ้นเรื่อยๆ คนก่อนหน้าก็ถูกปฏิเสธต่อหน้าต่อตา ใจเริ่มไม่ค่อยดี จน จนท.ผู้หญิงAsian American ช่องริมขวาเรียกคิวเราเข้าไปกับคุณพ่อ

จนท. (ยิ้มและนิ่ง)

คุณพ่อ : สวัสดีครับ(ยกมือไหว้)

เรา: (ยืนนิ่งๆ ยิ้มเบาๆ กลบความกังวล)

จนท. (คุยกับคุณพ่อ) จะไปทำอะไรที่อเมริกาคะ?

คุณพ่อ : ไปเยี่ยมลูกชายครับ เค้าเรียนปริญญาโทที่University of San francisco

จนท. ไปกับใครคะ

คุณพ่อ: ไปกับลูกสาวครับ (ชี้มาที่เรา)

จนท. มีลูกกี่คนคะ

คุณพ่อ: 3 คนครับ คนนี้คนโต(ชี้เรา) ลูกสาวคนกลาง และลูกชายคนเล็ก ที่เรียนอยู่ที่ซานฟรานครับ

จนท. ภรรยากับลูกสาวอีกคนไม่มาด้วยหรอคะ

คุณพ่อ: เดี๋ยวค่อยมาทีหลังครับ เพราะเวลาเดินทางต้องสลับกันไป เนื่องจากต้องมีคนดูแลธุรกิจของที่บ้านครับ

จนท.(พิมข้อมูลลงคอมแล้วหันมามองหน้าเรา) Have you ever been to America?

เราเศร้าคิดในใจเอาแล้วววว โดนจี้อย่างที่คิดไว้เลย) yes,I’ve been there in 2015.

จนท. You’ve been there for 6 months, what have you been doing there?

เรา: I’ve been traveling, then I came back to apply U.S. student visa but I was denied by the U.S embassy then I went to study in Australia instead. After that I came back to Thailand and started the career at .....(ชื่อบริษัท) since then.

จนท. (มองหน้าแล้วมองจอคอม) Ok, I understand that you have progress in your life, but what have you been doing there for 6 months and where did you stay?

เรา.(คิดในใจ กรูจะตายม้ายย อุตส่าเบี่ยงประเด็นก็โดนลากกลับเข้าเรื่องอีกจนได้ เอาวะสู้อีกตั้งนึง สูดหายใจเข้าลึกๆและตอบนางไปว่า)
I stayed at hotels and motels depended on the place I’ve been at the time. I was just traveling indeed, I was a type of teenagers who love traveling, explore new things and find some inspirations but at the end of the day I realized that I should’t waste my time so I came back to catch up education and start the career, refer to my past work I would say that I have a really good performance for my career path and I do really enjoy my work and I want to settle in Thailand. ระหว่างตอบไป จนท.จ้องตาตลอด เราก็มองหน้าเค้าตลอดเวลา ไม่มองลอกแลกให้เค้าสงสัยว่าเรากำลังโกหกหรือป่าว

จนท. (พิมข้อมูลลงคอมรัวๆ) where have you been traveling in the U.S?

เรา: I mostly spend time in LA then I went to Las Vegas and San diego.

จนท. And you were alone? Do you know anyone in the U.S?

เรา: yes I was alone, I’ve met some people but I don’t consider them as a ‘friend’ because I don’t have their contact.

จนท. (เงียบหน้าตึงและพิมข้อมูลลงคอมแบบรัวๆ) how old were you when you were there?

เรา: 22-23 ish, I think.

จนท.(พิมข้อมูลลงคอม) When are you going to visit your brother?

เรา: According to the letter from my company, offered the day off from 24-31 Dec. 2018 which is about 1 week.Here is the company letter(ยื่นจดหมายรับรองจากบริษัทผ่านช่องกระจกไป) I also have travel lttinerary with me, would you like to see it?

จนท. It’s okay, Can you say the exactly date  again?

เรา: sure, it’s 24-31. Dec. 2018 and I have to resume to work on 2 Jan.2019

จนท. (พิมข้อมูลลงคอม ไม่มองหน้าเราเลย) จากนั้นนางก็พูดว่า just a moment please แล้วนางก็ปิดไมค์ จากนั้นก็เดินหายไป

เรากับพ่อยืนมองหน้ากัน ในใจตอนนั้นคิดว่า ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เราทำดีที่สุดแล้ว
แปบนึงนางก็เดินกลับมาหยิบเอกสารds-160 กับpassportของเรากับพ่อ เตาะลงโต๊ะ1ทีทำท่าเหมือนจะยืนคืน พร้อมกับเปิดไมค์แล้วพูดว่า

จนท. Congratulations, you’re visa is approved. Enjoy your trip.

เรา: (ยิ้มกว้างมาก กว้างแบบปากจะฉีก แล้วบอกนางว่า) Thank you so much! Have a good day ยิ้ม

จนท. ยิ้มกลับแล้วตอบว่า Thank you, you too.

ส่วนเอกสารอื่นๆที่เตรียมไปไม่ขอดูเลยค่ะ

หลังจากนั้น2วัน วีซ่าของเรากับพ่อถูกส่งมาถึงบ้าน ได้รับ10ปี เป็นอันจบเรื่อง

เราอยากจะให้กำลังใจเพื่อนๆที่ถูกปฏิเสธวีซ่าทุกคนจากใจจริง ว่าอย่าหมดหวังนะคะ อย่าไปฟังความคิดเห็นในแง่ลบๆมาก ทุกอย่างอยู่ที่การเตรียมตัว และprofileเราคือกุญแจสำคัญ และที่สำคัญที่สุดคือต้องนิ่งและใจเย็นๆ คอยดูจังหวะและโอกาสที่เหมาะสม เวลาถูกปฏิเสธวีซ่า ทางสถานทูตจะไม่บอกเหตุผลเราว่าทำไมเค้าถึงปฏิเสธวีซ่าเรา เค้าจะบอกแค่เราคุณสมบัติไม่ผ่านเกณฑ์ เราเชื่อว่าทุกคนคงอยากหาคำตอบ และมีแต่คำถามในใจมากมายว่าทำไมถึงไม่ได้ เราเข้าใจเพราะเราเองก็เป็นแบบนั้นค่ะ เราอยากให้เพื่อนๆตั้งสติ และมองดูตัวเองว่าบกพร่องอะไร ผิดพลาดตรงไหนอย่างเป็นกลางและไม่เข้าข้างตัวเอง และให้แก้จุดบกพร่องนั้น และที่สำคัญที่สุด ควรเว้นระยะ อย่างน้อย6เดือนขึ้นไปแล้วค่อยไปขอใหม่นะคะ

เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เรื่องของเราจะช่วยเพื่อนๆได้ไม่มากก็น้อยนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ ขอให้วีซ่าผ่านกันทุกคนนะคะ^^
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  วีซ่า เรียนต่อต่างประเทศ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่