เมื่อมิตรภาพของเพื่อน กับ สีเสื้อที่มันคนละสีกัน

สวัสดีครับ
วันนี้ผมได้อ่านบทความนึง จากเพจในเฟซบุ๊ค ที่เขียนได้ค่อนข้างดี
เลยอยากเอามาแบ่งปัน ให้เพื่อนๆที่อาจจะยังไม่ได้อ่าน ลองอ่านกันดูครับ
เรื่องราวของมิตรภาพ เพื่อน และอาชีพนักฟุตบอล ลองอ่านกันดูนะครับ

-----------------------------------------

แค่เชียร์คนละทีมก็ด่ากัน แทบจะฆ่ากันตาย เหตุการณ์แบบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นที่ไทยประเทศเดียวหรอกครับ
หลายที่ในโลกก็เป็น บางคนเสียเพื่อนไปเพราะอยู่ทีมตรงข้ามกัน โดนเยาะเย้ย ถากถาง เจอปากหมาใส่จนทนไม่ไหว เลิกคบมันเลยดีกว่า
ทำให้เกิดคำถามว่า กีฬามันมีเอาไว้สร้างมิตร หรือ มีไว้เพิ่มศัตรูกันแน่นะ?

----------------------------------------

ในสมัยเป็นนักเตะเยาวชน คนที่ริโอ เฟอร์ดินานด์ สนิทด้วยมากที่สุด คือแฟรงค์ แลมพาร์ด
ทั้งคู่เป็นคนอังกฤษเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นเป็นคนลอนดอนเหมือนกัน บ้านอยู่ไม่ห่างกันเลย จากนั้นก็มาสังกัดอคาเดมี่ของเวสต์แฮมพร้อมกันอีก
ด้วยความที่อายุห่างกันแค่ 4 เดือนนิดๆเท่านั้น ทำให้ทั้งคู่เป็นบัดดี้กันอย่างรวดเร็ว
ริโอ กับแลมพาร์ด สนิทสนมกันมาก เพราะทั้งคู่มีความทะเยอทะยาน และต้องการเป็นนักเตะอาชีพเหมือนกัน นอกจากนั้น ด้วยการที่ไม่ได้เล่นตำแหน่งเดียวกัน ทำให้ ไม่ใช่คู่แข่งกันโดยตรง มีอะไรจึงปรึกษากันตลอด

"เราโตขึ้นมาด้วยกัน ถ้าคุณเจอผม คุณเจอแฟรงค์ด้วย และถ้าคุณเจอแฟรงค์ คุณก็เจอผมด้วยเหมือนกัน เราสนิทกันเหมือนเงาตามตัว" เฟอร์ดินานด์เผย

ในปี 1995 ทั้ง 2 คน ถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของเวสต์แฮมพร้อมกัน และกลายเป็น 2 ดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุดในประเทศอังกฤษ


เฟอร์ดินานด์ ติดทีมชาติอังกฤษก่อนในปี 1997 จากนั้นปี 1999 แลมพาร์ด ก็ติดทีมชาติอังกฤษตามมา
ในเกมระดับสโมสร เวลาไปเล่นทีมเยือน ทั้งคู่นั่งรถบัสข้างๆกัน และ นอนโรงแรมห้องเดียวกัน เช่นเดียวกับทีมชาติอังกฤษทั้งคู่นอนโรงแรมห้องเดียวกัน
เพื่อนซี้ที่ดีที่สุด คนที่เข้าใจกันทุกอย่าง โตมาด้วยกัน แจ้งเกิดมาด้วยกัน และวาดฝันจะเป็นสตาร์ไปด้วยกัน


ไม่มีใครรู้เลยว่า อีกไม่กี่ปีต่อมา พวกเขาสองคนจะไม่คุยกันอีก

----------------------------------------

จุดแตกหักของทั้งสองคนเกิดขึ้นในปี 2002 เมื่อริโอ เฟอร์ดินานด์ ย้ายไปอยู่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ขณะที่แลมพาร์ดย้ายไปเชลซี 1 ปีก่อนหน้านั้น
ยิ่งโรมัน อบราโมวิช เข้ามาเทกโอเวอร์เชลซี มันทำให้ทั้งสองทีมกลายเป็นคู่แข่งแย่งแชมป์กันโดยตรง
ระหว่างปี 2004-2011 ระยะเวลา 7 ฤดูกาล มีแชมป์พรีเมียร์ลีกแค่ 2 ทีม คือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับเชลซี สลับกันได้แชมป์ไปมา

"พอผมไปแมนฯยูไนเต็ด และเขาไปเชลซี เราก็ไม่คุยกันอีกต่อไป" ริโอเผย

"เราค่อยๆห่างกันไปเรื่อยๆ และก็กลายเป็นไม่คุยกันเลยสักคำเดียว"


ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นอันรู้กันว่า เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะมี "Silence Code" หรือคำสั่งให้เงียบ ห้ามผู้เล่นในทีม เอาเรื่องภายในของสโมสร ไปเล่าให้คนอื่นฟังเด็ดขาด ถ้าหลีกเลี่ยงการพูดคุยกับนักเตะทีมอื่นได้ก็จะดีที่สุด โดยเฉพาะ เวลาต้องไปเก็บตัวทีมชาติ
ดังนั้นมันจึงทำให้ ริโอ กับ แลมพาร์ด มีความระมัดระวังตัวกัน จากบัดดี้ ที่เคยสนิทกันทุกอย่าง กลายเป็นคนสองคนที่เหมือนไม่รู้จักกันเลย

"ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่ผมรู้สึกไม่ชอบเขาไปแล้ว เพราะเขาได้ชูโทรฟี่แชมป์ที่ผมต้องการ"

นักเตะในทีมชาติหลายคนไม่เคยรู้เลยว่าสองคนนี้สนิทกันมาก่อน เพราะทั้งคู่ไม่คุยกันเลย
และดูไม่ชอบหน้ากันด้วยซ้ำ มีแต่การทักทายกันเล็กน้อยตามมารยาทเท่านั้น

"ผมกลัวว่า ถ้าผมเล่าอะไรไปให้แฟรงค์ฟังสักอย่าง เขาจะเอาเรื่องที่ผมเล่าไปทิ่มแทง
และไปเล่าต่อให้เพื่อนร่วมทีมเชลซีฟัง ซึ่งผมยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นไม่ได้"

----------------------------------------

เฟอร์ดินานด์ มารู้ตัวอีกที ก็ตอนที่เขากำลังจะแขวนสตั๊ด

ในปี 2014 ริโอ ย้ายออกจากแมนฯยูไนเต็ด ไปอยู่ควีนสพาร์ก เรนเจอร์ส และเริ่มเขียนหนังสืออัตชีวประวัติ ชื่อ Rio Ferdinand 2sides


การเขียนอัตชีวประวัติของตัวเอง ทำให้เขาย้อนนึกถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมา และเขาก็เพิ่งมานึกได้ว่า
ตัวเองกับแลมพาร์ด สมัยเป็นเยาวชนทั้งคู่เคยสนิทกันมากขนาดนั้น แล้วทำไมวันนี้ ความสัมพันธ์ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้
แค่เรื่องฟุตบอลเนี่ยหรอ? แค่เพราะอยู่กันคนละทีมเท่านั้นเองหรอ? ที่ทำให้คนที่เคยเป็นเพื่อนไม่คุยกันอีก

ริโอ ตัดสินใจเขียนเรื่องของเขากับแลมพาร์ดลงไปในหนังสือด้วย โดย อธิบายอย่างละเอียดว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เปลี่ยนไปตอนไหน
และก่อนมันจะตีพิมพ์ ริโอรวบรวมความกล้า ส่งหนังสือตัวอย่าง ให้แลมพาร์ด พร้อมแนบข้อความมาด้วยว่า

"ถ้าฉันจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับเราสองคนลงหนังสือ นายจะโอเคไหม"

แลมพาร์ดเมื่ออ่านหนังสือเสร็จ เขาส่งข้อความกลับมาว่า

"ถ้าฉันจะเขียนสักบทในหนังสือ ที่เกี่ยวกับนาย ฉันก็จะเขียนเหมือนกันทุกคำเลย"

จากคนสองคนที่ไม่คุยกัน ในที่สุด ความสัมพันธ์ก็เริ่มผลิบานอีกครั้ง ทั้งคู่เริ่มเปิดใจให้กัน และกลายมาเป็นเพื่อนกันอีกรอบ
อย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนี้ ทั้งเฟอร์ดินานด์ กับ แลมพาร์ด ต่างก็ร่วมงานกันในฐานะนักวิเคราะห์ฟุตบอลของบีบีซี
ทั้งคู่กลับมาหยอกล้อกันสนุกสนานเหมือนเดิม



"เราเคยแยกเดินกันคนละทางและไม่คุยกันอีก แต่ตอนนี้เรากลับมาคุยกันแล้ว" ริโอสรุป

"ไม่น่าเชื่อว่ากีฬา สามารถทำให้ความสัมพันธ์ของคน 2 คน พังทลายได้ คือมันเป็นเรื่องที่บ้ามาก"

จากปี 2002 จนถึง ปี 2014 ที่ทั้งคู่ไม่คุยกัน ระยะเวลารวม 12 ปีเต็ม
จากเพื่อนสนิท กลายเป็นคนอื่นคนไกล เพียงเพราะแค่พวกเขาอยู่คนละฝั่งของสีเสื้อแค่นั้นเองจริงๆ


----------------------------------------

เมื่อโตขึ้น สิ่งที่เราหลงลืมกันเสมอ คือ 3 คำพื้นฐานของกีฬา ที่เราเรียนกันมาตอนเด็ก

3 คำง่ายๆ - รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย

การเชียร์ฟุตบอล เราสามารถสนุกได้ โดยไม่จำเป็นต้องสร้างศัตรู ไม่ต้องเกลียดชังอีกฝ่ายแบบเอาเป็นเอาตาย จนไปด่าพ่อล่อแม่เขา
แซวกันสนุกสนาน อย่างมีลิมิต แต่ไม่ใช่เลยเถิด ถึงขนาดขึ้นคำหยาบคายอะไรขนาดนั้น
แล้วก็ไม่ใช่ ว่าเวลาโดนคนอื่นแซว ก็เก็บเอามาคิดมาก จนหัวร้อน คือกีฬาที่ควรจะดูเพื่อความบันเทิง
กลับมาทำให้ตัวเองเสียสุขภาพจิต คือมันโอเคหรอ?

อย่าลืมว่าสุดท้าย กีฬามันก็คือการแข่งขัน มันไม่ใช่สงคราม สู้กันเต็มที่ เชียร์กันให้สุดชีวิต แต่เกมจบก็เป็นเพื่อนกัน
เกมฟุตบอลมันมีแข่งทุกวัน เราแพ้วันนี้ พรุ่งนี้เราก็ชนะ
เราโดนแซววันนี้ พรุ่งนี้ก็อาจได้แซวคืน

และมันคงเศร้าน่าดู ถ้าในที่สุดทีมของเราชนะ เราพร้อมแล้วที่จะแซวเพื่อน
แต่มารู้ตัวอีกที เรากลับไม่มีเพื่อนเหลือให้แซวเลยสักคน

#Lampard #Ferdinand

เครดิตต้นฉบับจาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่