[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ทั้งที่ประสบความสำเร็จใน 3 ปีแรก แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนคาดการณ์ว่า กระแสนิยม จะเริ่มสลายไป และหลายสโมสรจะมีปัญหาทางด้านการเงินเนื่องจากต้องจ่ายตัวนักเตะต่างชาติที่สูงขึ้น ในความเป็นจริงสถานการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 1996 ภายหลังจากมีผู้ชมลดลงอย่างน่าใจหาย ในปี 1997 มีผู้ชมเฉลี่ยต่อนัดเพียง 10,131 คน เท่านั้น หลายคนอ้างว่าความนิยมที่ลดลงอย่างรวดเร็วเกิดจากการขยายตัวที่รวดเร็ว โดยมีสโมสรเพิ่มขึ้นถึง 8 สโมสรภายใน 4 ปี (1994 ถึง 1998) ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายที่สูงและผู้ชมน้อยลงทำให้เงินไหลออกจากสโมสรเหมือนถูกดูดเลือด อีกทั้งผู้สนับสนุนลีกเริ่มวิตกกังวลเนื่องจากไม่สามารถหาทางแก้ไขปัญหาได้
ถึงแม้ว่าสโมสรในเจลีกจะบริหารด้วยตนเอง (อยู่ในรูปบริษัท) ได้ไม่นาน แต่พวกเขาก็ยังคงต้องพึ่งพาผู้สนับสนุนอย่างมาก ซึ่งผู้สนับสนุนเหล่าก็เป็นเสมือนบริษัทแม่นั่นเอง และเมื่อเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจในญี่ปุ่น ทำให้สโมสรต้องประสบปัญหาไปพร้อมกับผู้สนับสนุนจึงส่งผลให้ในปี 1998 Sato Kogyo ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักร่วมหลักของ Yokohama Flügels ต้องประกาศยกเลิกการสนับสนุนสโมสร ทำให้ All Nippon Airways ซึ่งเป็นอีกผู้สนับสนุนร่วมอีกรายไม่สามารถให้การสนับสนุนได้ทั้งหมด
จึงได้ติดต่อกับ Nissan Motors ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของทีมคู่แข่งร่วมเมืองของ Yokohama Marinos และได้มีการตัดสินใจรวมสโมสรทั้งสอง โดยมีข้อตกลงว่า Flügels จะถูกลดบทบาทออกไป และ Marinos จึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Yokohama F. Marinos
ซึ่งเหตุการณ์แสดงให้เห็นถึงความตกต่ำของฟุตบอลลีกในญี่ปุ่น สถานการณ์ทางการเงินไม่เพียงจะส่งแค่นี้เท่านั้น Bellmare Hiratsuka เป็นสโมสรที่มี Fujita เป็นผู้สนับสนุนหลักได้ยกเลิกการสนับสนุนทีม ทำให้ในที่สุดทีมต้องตกชั้นในปี 2000 ซึ่งในช่วงเวลานี้เป็นเวลาแห่งความยากลำบากของสโมสรในญี่ปุ่น
ช่วงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของลีก (1999-2005)
................................................................................................
การบริหารจัดการลีกที่ผิดพลาดจึงได้มีการจัดการใหม่เพื่อแก้ปัญหา โดยใช้ 2 วิธี
วิธีแรกคือการประกาศ J.League Hundred Year Vision โดยมีเป้าหมายสร้างสโมสรฟุตบอลอาชีพจำนวน 100 สโมสรในญี่ปุ่นภายในปี 2092 โดยที่ลีกต้องกระตุ้นให้สโมสรประชาสัมพันธ์ฟุตบอลหรือกีฬาชนิดอื่นและกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ เพื่อได้รับการสนับสนุนจากท้องถิ่น และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับครัวเรือนในระดับรากหญ้า
โดยลีกเชื่อว่าสิ่งนี้จะเป็นการเชื่อมโยงสโมสรกับเมืองและชุมชน และจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลท้องถิ่น บริษัท และพลเมือง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง สโมสรจะสามารถอาศัยการสนับสนุนทางการเงินจากท้องถิ่นมากกว่าที่ต้องอาศัยจากผู้สนับสนุนในระดับชาติ
วิธีที่สองคือ โครงสร้างพื้นฐานของลีกต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในปี 1999 โดยได้มีการตั้งระบบดิวิชั่น 2 โดยดึง 9 ทีมจากลีกกึ่งอาชีพ (JFL) และอีก 1 ทีมจากเจลีก โดยลีกสูงสุดเรียกว่า J.League Division 1 (J1) ขณะที่ J.League Division 2 (J2) ถูกต้องขึ้นในปี 1999 โดยมี 10 สโมสรร่วมแข่งขัน ขณะที่การแข่งขันระดับดิวิชั่น 2 ของ JFL ในตอนแรก ก็กลายเป็นดิวิชั่น 3 ในปัจจุบัน
เกณฑ์ต่างๆ ของทีมใน J2 ไม่เข้มงวดเหมือนใน J1 โดยที่สโมสรไม่จำเป็นต้องลงทุนจำนวนมากเหมือนใน J1 ทำให้สโมสรจากเมืองเล็กๆ สามารถเข้าร่วมแข่งได้ ตัวอย่างเช่นทีม Mito HollyHock ซึ่งมีแฟนบอลประมาณ 3,000 คน และมีผู้สนับสนุนเพียงเล็กน้อย ก็ยังคงสามารถแข่งขันใน J2 ได้
ทีมใน J2 ก็มีการปรับปรุงทีมเพื่อการเลื่อนชั้นไป J1 ทั้งด้านระบบฟุตบอลเยาวชน สนามเหย้า สถานะทางการเงิน และการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน ตัวอย่างเช่น สโมสร Oita Trinita, Albirex Niigata และ Kawasaki Frontale ประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยสโมสรเหล่านี้เริ่มแข่ง J2 ในปี 1999 ซึ่งยังเป็นสโมสรเล็กๆ อยู่ และได้เลื่อนชั้นขึ้น J1 ในปี 2002 2003 และ 2004 ตามลำดับ จนเป็นทีมชั้นนำของประเทศในปัจจุบัน
ระบบการแข่งขันในช่วงแรกค่อนข้างแตกต่างจากสากล โดยในการแข่งขันจะตัดสินหาผู้ชนะในเกมไปเลย โดยใช้ทั้งการต่อเวลา กฎประตูทอง และการยิงลูกโทษตัดสิน ซึ่งการยิงลูกโทษได้ยกเลิกไปในปี 1999 การต่อเวลาพิเศษยกเลิกไปในปี 2002 สำหรับ J2 และปี 2003 สำหรับ J1
กระทั่งในปี 2004 J1 ได้แบ่งฤดูกาลออกเป็น 2 ช่วง โดยจะนำผู้นำในแต่ละช่วงมาเตะเพลย์ออฟ เพื่อหาผู้ชนะประจำฤดูกาลอีกครั้งหนึ่ง แต่ปรากฏว่า ทั้ง . Jubilo Iwata ในปี 2002 และ Yokohama F. Marinosin ในปี 2003 ต่างก็เป็นผู้นำทั้ง 2 ครึ่งของฤดู ทำให้ต้องยกเลิกระบบเพลย์ออฟ และหันมาใช้ระบบลีกสากลตั้งแต่ปี 2005
เครดิตอ่านต่อได้ที่นี่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.thailandsusu.com/webboard/index.php?topic=32572.0
จะเห็นว่าขนาดประเทศยักใหญ่ยังเคยมีปัญหาหา แถมของเค้านี่ปัญหาหนักเลยคนจากเฉลี่ยสองหมื่กว่าเหลือหมื่นเศษๆ
หายไปครึ่งนึงเลยยังผ่านกันมาได้ เทียบกับเราปัญหาจิ๊บจ๊อยกว่าของเค้ามาก แต่แรกเริ่มเดิมทีค่าเฉลี่ยผู้ชมไทยลีคช่วง
2010 เป็นต้นมาเฉลี่ยมันอยู่แค่ 4พันกว่าๆอยู่แล้ว แค่บังเอิญมันพุ่งไป 6พันในปี 2013 กับ 2015 ได้ซึ่งก็ประกอบไปด้วย
หลายๆปัจจัยทั้งดราม่าสมาคม กระแสฟีเวอร์บอลลีค กระแสทีมชาติ มันเลยพุ่งขึ้นแบบมีนัยยะสำคัญ ในตอนนี้มันไม่มี
พวกนี้แล้ว คนเลิกเห่อไม่มีกระแสทีมชาติ ดราม่าไม่มีให้เสพ บุรีรัมย์เป็นแชมป์แบเบอร์ กราฟมันเลยกลับไปอยู่ในจุดที่
มันเคยอยู่เฉลี่ย 4000-4500 ก็เท่านั้น ยังไม่ใช่วิฤตลดไป 50% ไม่มีคนดูก็เท่านั้น ส่วนจะกลับมาพีคได้ไหมก็คงตอบได้เลยว่ายาก
มันหมดโปรช่วงฮันนี่มูนเห่อของใหม่ไปแล้ว ส่วนลีคจะไปรอดไหมขึ้นอยู่กับเจ้าของทีม และสมาคมเลยครับ ว่าจะทำงานหนัก
ศึกษาเคสของต่างประเทศมาประยุกต์ใช้ปรับตัวกันได้ไหม อย่างของญี่ปุ่น เกาหลี อเมริกา พวกกีฬาอาชีพเค้ามีการเอาอย่างอื่น
มาช่วยโปรโมตเรียกคนเข้าสนาม เป็น Sport & entertain สีสันฉูดฉาด มีทั้งเอานักร้อง ดารา ไอดอลเข้าสนามเขี่ยบอลเปิดลูก
ทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์ ทำเกมทำการ์ตูน สื่อดิจิตัล สื่อประชาสัมพันธ์แบบจัดจ้าน ป้ายยากันหนักมาก ในขณะที่ของไทย
หลายๆทีมไม่มีระบบซื้อตั๋วออนไลน์ ต้องไปเข้าคิวซื้อหน้าสนามยาวๆร้อนๆ ห้องน้ำก็แย่ ที่จอดรถก็มีจำกัด ขนส่งมวลชนไม่ถึง
หน้าสนาม ผมเคยไปดูบียูที่สนามมธ.กับน้องคืองงมากตอนนั้นซื้อตั๋วจุดนึง เข้าสนามอีกประตู เดินอ้อมยาวๆป้ายก็ไม่เขียนให้
เคลียร์ด้วยเกือบหลง(ไม่รู้ปัจจุบันปรับปรุงรึยัง) เทียบกับสื่อบันเทิงอื่นๆเช่นดูหนังเงี้ยจิ้มผ่านแอพ 2-3 ทีได้ตั๋วเดินเข้าโรงไปดูได้เลย
ทาง้ลือกสื่อบันเทิงอื่นๆที่ง่ายและสะดวกกว่ามันมีเยอะสมัยนี้ ทั้งทีมทั้งลีคต้องปรับตัวทำให้มันฉูดฉาดดึงดูดคนดู เช่นที่สมาคมทำ
จ้าง BNK มาเป็นพาร์ทเนอร์มาสนามได้เจอไอดอลตัวเป็นๆ แถมได้ดูบอลคุ้ม 2 ต่ออะไรแบบนี้ มาถูกทางแล้ว แต่ต้องอนาคต
ป้ายยาให้คนอยากมาดู สนใจ ต้องทำให้มันหนักกว่านี้
ขนาดเจลีคก็เคยผ่านช่วงวิกฤตฟองสบู่แตกผู้ชมลดมาครึ่งนึงมาแล้ว
เครดิตอ่านต่อได้ที่นี่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จะเห็นว่าขนาดประเทศยักใหญ่ยังเคยมีปัญหาหา แถมของเค้านี่ปัญหาหนักเลยคนจากเฉลี่ยสองหมื่กว่าเหลือหมื่นเศษๆ
หายไปครึ่งนึงเลยยังผ่านกันมาได้ เทียบกับเราปัญหาจิ๊บจ๊อยกว่าของเค้ามาก แต่แรกเริ่มเดิมทีค่าเฉลี่ยผู้ชมไทยลีคช่วง
2010 เป็นต้นมาเฉลี่ยมันอยู่แค่ 4พันกว่าๆอยู่แล้ว แค่บังเอิญมันพุ่งไป 6พันในปี 2013 กับ 2015 ได้ซึ่งก็ประกอบไปด้วย
หลายๆปัจจัยทั้งดราม่าสมาคม กระแสฟีเวอร์บอลลีค กระแสทีมชาติ มันเลยพุ่งขึ้นแบบมีนัยยะสำคัญ ในตอนนี้มันไม่มี
พวกนี้แล้ว คนเลิกเห่อไม่มีกระแสทีมชาติ ดราม่าไม่มีให้เสพ บุรีรัมย์เป็นแชมป์แบเบอร์ กราฟมันเลยกลับไปอยู่ในจุดที่
มันเคยอยู่เฉลี่ย 4000-4500 ก็เท่านั้น ยังไม่ใช่วิฤตลดไป 50% ไม่มีคนดูก็เท่านั้น ส่วนจะกลับมาพีคได้ไหมก็คงตอบได้เลยว่ายาก
มันหมดโปรช่วงฮันนี่มูนเห่อของใหม่ไปแล้ว ส่วนลีคจะไปรอดไหมขึ้นอยู่กับเจ้าของทีม และสมาคมเลยครับ ว่าจะทำงานหนัก
ศึกษาเคสของต่างประเทศมาประยุกต์ใช้ปรับตัวกันได้ไหม อย่างของญี่ปุ่น เกาหลี อเมริกา พวกกีฬาอาชีพเค้ามีการเอาอย่างอื่น
มาช่วยโปรโมตเรียกคนเข้าสนาม เป็น Sport & entertain สีสันฉูดฉาด มีทั้งเอานักร้อง ดารา ไอดอลเข้าสนามเขี่ยบอลเปิดลูก
ทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์ ทำเกมทำการ์ตูน สื่อดิจิตัล สื่อประชาสัมพันธ์แบบจัดจ้าน ป้ายยากันหนักมาก ในขณะที่ของไทย
หลายๆทีมไม่มีระบบซื้อตั๋วออนไลน์ ต้องไปเข้าคิวซื้อหน้าสนามยาวๆร้อนๆ ห้องน้ำก็แย่ ที่จอดรถก็มีจำกัด ขนส่งมวลชนไม่ถึง
หน้าสนาม ผมเคยไปดูบียูที่สนามมธ.กับน้องคืองงมากตอนนั้นซื้อตั๋วจุดนึง เข้าสนามอีกประตู เดินอ้อมยาวๆป้ายก็ไม่เขียนให้
เคลียร์ด้วยเกือบหลง(ไม่รู้ปัจจุบันปรับปรุงรึยัง) เทียบกับสื่อบันเทิงอื่นๆเช่นดูหนังเงี้ยจิ้มผ่านแอพ 2-3 ทีได้ตั๋วเดินเข้าโรงไปดูได้เลย
ทาง้ลือกสื่อบันเทิงอื่นๆที่ง่ายและสะดวกกว่ามันมีเยอะสมัยนี้ ทั้งทีมทั้งลีคต้องปรับตัวทำให้มันฉูดฉาดดึงดูดคนดู เช่นที่สมาคมทำ
จ้าง BNK มาเป็นพาร์ทเนอร์มาสนามได้เจอไอดอลตัวเป็นๆ แถมได้ดูบอลคุ้ม 2 ต่ออะไรแบบนี้ มาถูกทางแล้ว แต่ต้องอนาคต
ป้ายยาให้คนอยากมาดู สนใจ ต้องทำให้มันหนักกว่านี้