กรรมสายราคะ

กระทู้สนทนา
กรรมสายราคะ

    ราคะ แปลว่า  ความกำหนัดยินดี, ความพอใจ, ความติดใจ, ความติดใคร่ในอารมณ์ และอารมณ์ทั้ง ๓ คือ ยึดติดและทำลาย และอยู่กลางๆ ไม่ฟังเหตุผล, เบียดเบียน, บังคับข่มขืนจิตใจเขา ครอบครองความเป็นเจ้าของหรือครอบงำ ตรงข้ามกับราคะคือวิราคะ และราคะมี ๕ สายหลักใหญ่ๆ ดังนี้


    ๑. สายเบียดเบียน คือ เอาเปรียบ หลอกลวง ความละโมบเอาเกินไป

        -ความเพ่งเล็งจะเอาของคนอื่นมาเป็นของตัว มีใจอยากได้ของคนอื่นแต่ยังไม่ถึงกับแสดงออก (อภิชฌา อ่านว่า อะพิดชา)

        -ความอยากได้ในทางไม่ชอบ เช่น การยอมรับสินบน การทุจริตเพื่อแลกกับการมีทรัพย์ ทุจริตคอรัปชั่น เป็นต้น (ปาปิจฉา)

        -ความมักมากเห็นแก่ได้ ด้วยการเอามาเป็นของตนจนเกินพอดี เอาประโยชน์ใส่ตัวโดยไม่คำนึงถึงคนอื่น (มหิจฉา) เช่น การรับประทานอาหารในวงเดียวกัน เลือกตักกินแต่ของอร่อยๆ ในจานของตนเอง โดยไม่สนใจใคร ไม่เกรงใจใคร ไม่สนใจว่าเขาจะได้กินหรือไม่ได้กิน


    ๒. สายยึดครอง เอาเป็นเจ้าของ คือ ขี้หึง หวง เรารักเขาพยายามจะเป็นเจ้าของ พอเรายึดครองเป็นเจ้าของเรามักจะทำอะไรตามอำเภอใจตนเอง โดยไม่สนใจว่าคู่รักของเราจะชอบหรือไม่ชอบ

        ๒.๑ การข่มขืน     พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๖ ให้ความหมายของคำว่า ข่มขืน มีดังนี้ข่มขืน แปลว่า  บังคับ, ขืนใจ, ขู่เข็ญ

            ข่มขืนกระทำชำเรา แปลว่า เป็นฐานความผิดอาญา ที่ผู้กระทำ ชำเราบุคคลอื่น ไม่ว่าผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำจะเป็นชายหรือหญิง และจะเป็นคู่สมรสของตนหรือไม่ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้ถูกกระทำอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้ถูกกระทำเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น

            ข่มขืนใจ     แปลว่า บังคับจิตใจหรือฝืนใจให้ต้องกระทำการหรืองดเว้นกระทำการ เช่น ข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือให้ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งเป็นความผิดต่อเจ้าพนักงาน

        ๒.๒ ประเภทการข่มขืน

            ๒.๒.๑ ผู้อื่นข่มขืนเรา คือ เขามาบังคับเราให้กระทำ โดยที่ใจของเราไม่ยินยิม มีดังนี้

                ๑) ถูกข่มขืนทางร่างกาย คือ เขามากระทำชำเราหรือทางเพศเรา หรือบีบบังคับ ทำร้ายร่างกายเราเป็นการทำร้ายร่างกายทางเพศซึ่งปกติเกี่ยวข้องกับเพศสัมพันธ์ หรือการใช้การล่วงล้ำทางเพศแบบอื่นต่อบุคคลหรือต่อสัตว์ โดยปราศจากความยินยอมของบุคคลเหล่านั้น ต่อสัตว์เหล่านั้น การกระทำดังกล่าวอาจใช้กำลังทางกาย การบีบบังคับ

                การข่มขืนนี้มิได้มีแต่การข่มขืนทางเพศเพียงอย่างเดียว แม้มีการบังคับให้เราทำโน้นทำนี่แล้วเราไม่อยากทำ ก็ถือว่าเป็นการบังคับขืนขืนเราเช่นเดียวกัน

                ๒) ถูกข่มขืนทางจิตใจ คือ เขามาบีบบังคับให้เราทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำ คือ เขาไม่อยากจะทำ ก็บังคับให้เขาทำ เช่น เราซื้อเสื้อตัวใหม่มาให้ เขาไม่อยากใส่ แต่เราก็บังคับให้เขาใส่ตัวนี้ เป็นต้น

            ๒.๒.๒. เราข่มขืนตนเอง คือ เราทำร้ายตนเอง

                ๑) ข่มขืนตนเองทางร่างกาย เช่น เราเจ็บป่วยแล้วบอกว่าเราไม่ได้เจ็บป่วย ไม่เป็นอะไร ยังฝืนร่างกายไปทำงานหนักๆ ฯลฯ เป็นการทรมานร่างกาย ฝืนร่างกาย ถือว่าเป็นการข่มขืนร่างกายของตนเอง

                ๒) ข่มขืนตนเองทางจิตใจ เช่น เราเห็นว่าทำสิ่งนี้มันไม่ดีก็ยังขืนทำลงไป ผลที่ตามมาทำให้จิตใจย่ำแย่ลงไปอีก เช่น วางแต้มให้เขาได้รับความเสียหาย หรือต่อว่าให้เขาได้รับการอับอายทำให้บั่นทอนจิตกุศลของตนเอง


    ๓. สายทำลาย คือ พยายามทำร้าย ทำลายให้สิ้นไป มีความรังเกลียด

        Fความโลภอย่างแรงจนแสดงออกมา, ความโลภอย่างแรงกล้าจ้องจะเอาไม่เลือกว่าควรหรือไม่ควร เช่น การลักขโมย ปล้น จี้ ข่มขืนกระทำชำเรา เป็นต้น (อภิชฌาวิสมโลภะ)


    ๔. สายไม่ได้ดั่งใจ อิจฉา ริษยา สร้างเรื่อง เล่าขวัญ

        อิจฉาริษยา เกิดจากการไม่ถูกสบอารมณ์ คือ ตัวเองอยากได้อย่างนั้น แล้วตนเองไม่สามารถมีได้อย่างนั้น แล้วก็จะเกิดความอิจฉา นี่เป็นสายราคะ เบียดเบียน ก็จะตามมาด้วยกันจองอาฆาต พยาบาท เพราะว่าอยากได้ อยากชิง ก็จะต้องเบียดเบียน ก็จะต้องมีกลยุทธ์ที่ไม่ถูกต้อง ก็จะเกิดริษยา เป็นการทำร้ายกัน

        สายอิจฉา ริษยา จอง อาฆาต แค้น พยาบาท

        สร้างกุศลช่วยคนเจ็บป่วย ปลดทุกข์ให้ท่าน



    ๕. กาม

        ๕.๑ สนองความอยากทางเพศ

        ๕.๒ สนองตามอำเภอใจ เช่น เราอยากหัวเราะ ก็บังคับให้เขาทำลักษณะแบบหมาแล้วเราก็หัวเราะ คือ ให้เขาแสดงสิ่งที่เราต้องการ

        ๕.๓ หลอกให้รักแล้วทิ้ง

        ต้องรู้จักสำรวมทางอายตนะ ทวารทั้ง ๖ ใช้อย่างมีสติสัมปชัญญะ ไม่งั้นจะเป็นทวารแห่งการก่อเกิดวิบากกรรมต่างๆ

        -ความยินดีในกาม ก็คือยังไม่สามารถละกิจกรรมทางเพศได้ ยังมีความรู้สึก มีแรงกระตุ้น มีความพอใจในเรื่องเพศ (กามราคะ)

        -ความยินดีในรูปธรรมอันปราณีต  คือ ติดอยู่ในอารมณ์ของรูปฌาณ ปรารถนาในรูปของภพเมื่อทำสมาธิขั้นสูงขึ้นไป (รูปราคะ) คือ ยึดมั่นถือมั่นว่าดีหรือไม่ดี ยึดติดทางความคิด ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน

        -ความยินดีในอรูปฌาณ คือ ติดอยู่ในอารมณ์ของอรูปฌาณเมื่อทำสมาธิถึงภพของอรูปพรหม (อรูปราคะ) คือ ขันธ์ในหมวดไม่มีรูป สิ่งที่ทำให้เรายึดเหนี่ยวในภาวะที่ "ไม่มี" ยึดเหนี่ยวในคำว่า "ไม่มี"

---------------------------

ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกมา

อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่