สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกๆท่าน วันนี้ผมอยากแชร์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับระบบเรือนจำที่มีประสิทธิภาพว่าควรจะมีคุณลักษณะหรือระบบอะไรบ้างที่จะช่วยสนับสนุนให้การคุมขังนักโทษมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กระทู้นี้มีความคิดเห็นส่วนตัวของผมเองส่วนหนึ่งและหากมีข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ หลายๆอย่างอาจขัดกับความคิดของท่านหรือมีช่องโหว่เต็มไปหมดก็ต้องขออภัยด้วยครับ ขอเชิญทุกท่านเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นกันได้เลยครับ
จากมุมมองของผมปัญหาอาชญากรรมส่วนมากในบ้านเรานั้นส่วนหนึ่งเกิดจากการ Re-offending หรือพูดง่ายๆคือการก่อเหตุซ้ำนั่นเอง ผู้ที่ต้องโทษและถูกคุมขังในเรือนจำพอพ้นโทษออกมาได้ไม่นานก็เกิดการก่อเหตุซ้ำอีก ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหล่านี้ทำให้ผมย้อนกลับไปมองว่าอะไรคือบ่อเกิดของปัญหา ประจวบกับจังหวะที่ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ NARCONOMICS ซึ่งเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์ระบบธุรกิจของขบวนการค้ายาต่างๆในมุมมองของเศรษฐศาสตร์ผมก็ได้เห็นอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกันมากกับสถานการณ์ในบ้านเรา หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Tom Wainwright แนะนำให้ลองอ่านดูครับ ได้ความรู้เยอะมาก
ในประเทศที่ด้อยพัฒนาจวบจนถึงกำลังพัฒนาแบบบ้านเรานั้นส่วนมากมีสภาพของเรือนจำที่ค่อนข้างจะย่ำแย่มากๆ ทั้งสิ่งปลูกสร้างก็ดี สิ่งอำนวยความสะดวกภายในก็ดี เรียกได้ว่าเลวร้ายสุดๆ บางแห่งแทบจะไม่เหมาะกับการดำรงค์ชีวิตแม้แต่น้อย นอกจากนี้จำนวนของนักโทษนับวันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นซึ่งสวนทางกับจำนวนผู้คุมและบุคลากรต่างๆที่มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในเรือนจำที่มีจำนวนลดลงเรื่อยๆ เหล่านี้ทำให้การควบคุมดูแลภายในเรือนจำไม่ทั่วถึง การฆาตกรรมภายในเรือนจำจึงถูกอำพรางได้ง่าย รวมไปถึงการมอบสินบนต่างๆให้แก่เจ้าหน้าที่ก็ยากที่จะตรวจสอบได้เช่นกัน
ในประเทศแถบอเมริกาใต้และอเมริกากลางซึ่งเป็น supplier สารประกอบยาเสพรายใหญ่ให้แก่ตลาดใน USA นั้นเต็มไปด้วยแก๊งค้ายาและอาชญากรผู้มีอิทธิพลตัวเบ้งๆกลาดเกลื่อนไปหมด ในประเทศเหล่านี้เรือนจำนั้นได้ถูกเรียกว่าเป็น University for Criminals หรือมหาวิทยาลัยสำหรับอาชญากรเลยก็ว่าได้ คนร้ายที่ถูกคุมขังส่วนมากนอกจากจะไม่มีท่าทีว่าจะกลับตัวกลับใจแล้วยังได้รับทักษะใหม่ๆมากมายจากเพื่อนนักโทษในเรือนจำ ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้มีการสอนทักษะใหม่ๆให้นักโทษจนสามารถออกมาก่อเหตุที่รุนแรงกว่าเดิมได้ รวมถึงการสร้าง connection และการ recruit คนเข้าร่วมขบวนการก็สามารถทำได้ในเรือนจำเช่นกัน ว่ากันว่าในเรือนจำนั้นเต็มไปด้วยบรรดา HR จากขบวนการก่ออาชญากรรมต่างๆนับไม่ถ้วน บางแห่งเลวร้ายชนิดที่ว่านักโทษถึงขั้นใช้เรือนจำเป็นสำนักงานใหญ่เพื่อควบคุมการกระจายของสินค้าเลยทีเดียว บรรดาผู้คุมก็ได้รับผมประโยชน์มากมายมีหรือจะปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป
ในเรือนจำหลายๆแห่งมีการกำหนดว่าจะรับเฉพาะนักโทษที่มาจากกลุ่มเดียวกันเท่านั้นเพราะถ้าหากรับนักโทษที่เป็นคู่อริกันจะมีโอกาสสูงที่จะเกิดการทะเลาะวิวาทภายในเรือนจำได้ คนกันเองทั้งนั้นอยู่ด้วยกันน่าจะสงบสุขกว่าคนแปลกหน้าแน่ๆ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมเรือนจำบางแห่งถึงขั้นถูก hijack โดยกลุ่มอาชญากรที่มีอิทธิพลจนกลายเป็นฐานปฏิบัติการของกลุ่มนั้นไปได้ คนที่เคยร่วมงานกันมาอย่างโชกโชนจะรู้ใจกันเป็นอย่างดีและช่วยให้งานลื่นไหลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สรุปสั้นๆ เรือนจำที่ไม่มีประสิทธิภาพนั้นแทนที่จะเป็นสถานที่บำบัติและ influence ให้นักโทษมีความต้องการที่จะกลับตัวกลับใจกลับกลายเป็นสถานที่บ่มเพาะความชั่วร้ายชั้นดี นักโทษที่เข้ามาจะถูกอัพสกิลให้เก่งขึ้น มีเส้นสายมากขึ้น และมีโอกาสก่อ re-offending ได้อีกครั้ง
จากที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมด ผมจึงอยากนำเสนอวิธีการพัฒนาระบบเรือนจำเพื่อลดปัญหาเหล่านี้ลงได้
1. พัฒนาคุณภาพของบุคลากร
อย่างแรกสุดเลยคือการสร้างบุคลากรในเรือนจำที่มีประสิทธิภาพขึ้นมา วิธีที่จะลดอัตราการรับสินบนของเจ้าพนักงานได้คือการเพิ่มผลตอบแทนและสวัสดิการต่างๆให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงมีการตรวจสอบที่เคร่งครัด ผู้ที่มีประวัติในการรับสินบนควรจะถูกแบนอย่างเด็ดขาด เมื่อผลตอบแทนที่ได้นั้นดีกว่าสินบนที่นักโทษหยิบยื่นให้ผู้รับจะไม่อยากเสี่ยงทำความผิด ทว่าวิธีนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ต้นเหตุของการรับสินบนนั้นมาจากตัวผู้รับล้วนๆ หากบุคคลนั้นมีสามัญสำนึกที่ดีและถูกปลูกฝังเรื่องความถูกต้องไว้เชื่อว่าการรับสินบนจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน การสร้างและอบรมบุคลากรขึ้นมาเองนั้นเป็นวิธีที่หลายๆประเทศที่พัฒนาแล้วใช้เพื่อเพิ่มคุณภาพให้ได้ตามที่ต้องการ
2. มอบโอกาสในการทำมาหากินอย่างสุจริต
นักโทษที่ออกมาก่อเหตุซ้ำส่วนมากทำไปเพราะไม่ได้รับโอกาสในการกลับไปทำอาชีพสุจริต เชื่อว่าทุกๆบริษัทไม่มีที่ไหนต้องการรับคนมีประวัติเข้าทำงานแน่ๆ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของทางภาครัฐที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้บุคคลเหล่านี้ ระบบการสอนวิชาชีพให้นักโทษขณะถูกคุมขังนั้นถือเป็นสิ่งจำเป็นมากเพราะนอกจากจะช่วยมอบทักษะที่เป็นประโยชน์ต่อการทำอาชีพสุจริตแล้วยังสามารถสร้างรายได้ให้ครอบครัวนักโทษขณะอยู่ในเรือนจำได้ด้วย ในเรือนจำของประเทศที่มีอัตราการก่อ re-offending ต่ำนั้นมีการสอนงานช่างไปจนถึงการทำขนมเพื่อนำสินค้าจากฝีมือนักโทษไปขายและนำรายได้ส่วนหนึ่งไปจุนเจือครอบครัวนักโทษ นักโทษที่ถูกคุมขังนั้นบางรายถึงขั้นล้มละลายเพราะเวลาที่ต้องเสียไป ออกมาแล้วจึงไม่มีทางเลือกนอกจากการกลับไปทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุด
3. ปรับสภาพแวดล้อมให้น่าอยู่
นี่ไม่ได้หมายความว่าเรือนจำจะต้องหรูหราเฉกเช่นโรงแรมระดับห้าดาว แต่ควรจะมีสุขอนามัยที่ดี คุณภาพอาหารอยู่ในเกณฑ์ที่รับประทานได้ การพัฒนาคุณภาพอาหารนั้นสามารถช่วยลดการลักลอบนำสิ่งต้องห้ามที่แฝงมากับห่ออาหารที่ญาตินำมาให้นักโทษได้ หลายๆท่านอาจไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ ทำไมฉันถึงต้องทำงานหนักเพื่อเสียภาษีให้คนที่ทำผิดได้อยู่อย่างสบายๆล่ะ จริงไหมครับ มีประธานาธิบดีของประเทศแห่งหนึ่งซึ่งประสบปัญหาหนักจากขบวนการค้ายาเสพติด เขาได้เล็งเห็นว่าเรือนจำนี่แหละคือแหล่งเพาะความชั่วร้ายชั้นดี จึงสั่งรื้อโครงสร้างทั้งหมดใหม่ แรกๆประชาชนต่างไม่พอใจที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของคนร้ายมากกว่า แต่คำพูดของท่านปธน.นั้นได้ทำให้เหตุการณ์ soft ลง "ผมทราบดีว่าหลายๆท่านต้องไม่พอใจ แต่ราคาของอาหารที่ดีขึ้นนั้นถูกกว่าลูกกระสุนปืนและชีวิตของเจ้าหน้าที่มาก" การที่นักโทษมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นนั้นส่งผลให้เขามองเห็นด้านดีๆของชีวิตที่ไม่ต้องเสี่ยงทำความผิดก็มีความสุขได้ กลับกัน นักโทษที่ถูกขังในสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายมีโอกาสซึมซับด้านลบของชีวิตและไม่เห็นหนทางของการกลับมาใช้ชีวิตใหม่อีกเลย นี่เป็นหัวข้อที่ Controversial มากๆและเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละท่าน
4. มีระบบ Tracking ผู้มีประวัติที่มีประสิทธิภาพ
แนวคิดนี้ของผมได้แรงบันดาลใจมากจากหนังสือ Too Like the Lighting ซึ่งจะออกแนว Sci-Fi นิดๆ คือผู้ที่เคยต้องโทษคดีร้ายแรงจะต้องถูกฝัง tracker ตลอดชีวิตและทางการสามารถรับรู้ตำแหน่งได้ตลอดเวลา ในเรื่องประชาชนทุกคนจะมีระบบตรวจชีพจรอยู่ในตัว ถ้าในบริเวณที่มีอดีตนักโทษเกิดมีสัญญาณเตือนเพราะชีพจรของประชาชนเต้นเร็วผิดปกติเจ้าหน้าที่จะเข้าถึงได้ทันที หรือจะวิธีใดๆก็แล้วแต่ ผู้ที่เคยต้องโทษควรถูก monitor อย่างสม่ำเสมอ นอกจากนั้นโทษของการทำผิดซ้ำจะต้องรุนแรงขึ้น ถือว่าเราให้โอกาสคุณแล้วนะ ถ้ายังทำอีกจะต้องถูกลงโทษหนักๆไปเลย
สุดท้ายทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของกระบวนการยุติธรรม หลายๆคนที่ต้องโทษมีโอกาสกลับตัวได้หากได้รับการเยียวยาและปลูกฝังทัศนคติที่ดีลงไป แต่บางเคสอาจจะเลวร้ายเกินมนุษย์ยากจะเยียวยาได้ก็ต้องไปอีกหนึ่งประเด็นนั่นคือเรื่องของโทษประหารชีวิต
กระทู้นี้ไม่ได้เขียนเพื่อสนับสนุนให้ชีวิตในเรือนจำสบายขึ้นแต่อย่างใด(ถ้าติดคุกจะสบายขนาดนี้ งั้นไปทำผิดกันดีกว่าพวกเรา!!!) แต่เขียนขึ้นเพื่อศึกษาวิธีของประเทศที่พัฒนาแล้วว่าจะนำมาปรับใช้กับประเทศของเราได้หรือไม่ ทั้ง mindset และคุณภาพประชากรของบ้านเรานั้นถ้าพูดตรงๆยังห่างจากประเทศเหล่านั้นอีกไกล แต่ผมเชื่อว่าสักวันนึงเราจะต้องพัฒนาขึ้นได้
คนร้ายก็เหมือนกับเชื้อโรค แรกๆเราไม่รู้วิธีควบคุมจนมันสามารถแพร่กระจายไปทั่ว สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนไปทุกหย่อมหญ้า เราถึงต้องกำจัดเพื่อลดปริมาณลง แต่พอเราได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองขึ้น เราจะมีความสามารถพอที่จะควบคุมมัน รวมถึงเก็บเชื้อโรคนั้นมาศึกษา หรือนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้
ท้ายที่สุด ไม่ว่าวิธีอะไรก็แล้วแต่ ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ อย่าไปอยู่ในนั้นตั้งแต่แรก ถ้าเลี่ยงได้ก็อย่าทำความผิดกันเลยครับ การสูญเสียอิสรภาพเป็นอะไรที่เลวร้ายที่สุดแล้วสำหรับมนุษย์เรา
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ
เรือนจำในอุดมคติของท่านเป็นอย่างไร มาแลกเปลี่ยนความคิดกัน
จากมุมมองของผมปัญหาอาชญากรรมส่วนมากในบ้านเรานั้นส่วนหนึ่งเกิดจากการ Re-offending หรือพูดง่ายๆคือการก่อเหตุซ้ำนั่นเอง ผู้ที่ต้องโทษและถูกคุมขังในเรือนจำพอพ้นโทษออกมาได้ไม่นานก็เกิดการก่อเหตุซ้ำอีก ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหล่านี้ทำให้ผมย้อนกลับไปมองว่าอะไรคือบ่อเกิดของปัญหา ประจวบกับจังหวะที่ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ NARCONOMICS ซึ่งเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์ระบบธุรกิจของขบวนการค้ายาต่างๆในมุมมองของเศรษฐศาสตร์ผมก็ได้เห็นอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกันมากกับสถานการณ์ในบ้านเรา หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Tom Wainwright แนะนำให้ลองอ่านดูครับ ได้ความรู้เยอะมาก
ในประเทศที่ด้อยพัฒนาจวบจนถึงกำลังพัฒนาแบบบ้านเรานั้นส่วนมากมีสภาพของเรือนจำที่ค่อนข้างจะย่ำแย่มากๆ ทั้งสิ่งปลูกสร้างก็ดี สิ่งอำนวยความสะดวกภายในก็ดี เรียกได้ว่าเลวร้ายสุดๆ บางแห่งแทบจะไม่เหมาะกับการดำรงค์ชีวิตแม้แต่น้อย นอกจากนี้จำนวนของนักโทษนับวันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นซึ่งสวนทางกับจำนวนผู้คุมและบุคลากรต่างๆที่มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในเรือนจำที่มีจำนวนลดลงเรื่อยๆ เหล่านี้ทำให้การควบคุมดูแลภายในเรือนจำไม่ทั่วถึง การฆาตกรรมภายในเรือนจำจึงถูกอำพรางได้ง่าย รวมไปถึงการมอบสินบนต่างๆให้แก่เจ้าหน้าที่ก็ยากที่จะตรวจสอบได้เช่นกัน
ในประเทศแถบอเมริกาใต้และอเมริกากลางซึ่งเป็น supplier สารประกอบยาเสพรายใหญ่ให้แก่ตลาดใน USA นั้นเต็มไปด้วยแก๊งค้ายาและอาชญากรผู้มีอิทธิพลตัวเบ้งๆกลาดเกลื่อนไปหมด ในประเทศเหล่านี้เรือนจำนั้นได้ถูกเรียกว่าเป็น University for Criminals หรือมหาวิทยาลัยสำหรับอาชญากรเลยก็ว่าได้ คนร้ายที่ถูกคุมขังส่วนมากนอกจากจะไม่มีท่าทีว่าจะกลับตัวกลับใจแล้วยังได้รับทักษะใหม่ๆมากมายจากเพื่อนนักโทษในเรือนจำ ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้มีการสอนทักษะใหม่ๆให้นักโทษจนสามารถออกมาก่อเหตุที่รุนแรงกว่าเดิมได้ รวมถึงการสร้าง connection และการ recruit คนเข้าร่วมขบวนการก็สามารถทำได้ในเรือนจำเช่นกัน ว่ากันว่าในเรือนจำนั้นเต็มไปด้วยบรรดา HR จากขบวนการก่ออาชญากรรมต่างๆนับไม่ถ้วน บางแห่งเลวร้ายชนิดที่ว่านักโทษถึงขั้นใช้เรือนจำเป็นสำนักงานใหญ่เพื่อควบคุมการกระจายของสินค้าเลยทีเดียว บรรดาผู้คุมก็ได้รับผมประโยชน์มากมายมีหรือจะปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป
ในเรือนจำหลายๆแห่งมีการกำหนดว่าจะรับเฉพาะนักโทษที่มาจากกลุ่มเดียวกันเท่านั้นเพราะถ้าหากรับนักโทษที่เป็นคู่อริกันจะมีโอกาสสูงที่จะเกิดการทะเลาะวิวาทภายในเรือนจำได้ คนกันเองทั้งนั้นอยู่ด้วยกันน่าจะสงบสุขกว่าคนแปลกหน้าแน่ๆ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมเรือนจำบางแห่งถึงขั้นถูก hijack โดยกลุ่มอาชญากรที่มีอิทธิพลจนกลายเป็นฐานปฏิบัติการของกลุ่มนั้นไปได้ คนที่เคยร่วมงานกันมาอย่างโชกโชนจะรู้ใจกันเป็นอย่างดีและช่วยให้งานลื่นไหลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สรุปสั้นๆ เรือนจำที่ไม่มีประสิทธิภาพนั้นแทนที่จะเป็นสถานที่บำบัติและ influence ให้นักโทษมีความต้องการที่จะกลับตัวกลับใจกลับกลายเป็นสถานที่บ่มเพาะความชั่วร้ายชั้นดี นักโทษที่เข้ามาจะถูกอัพสกิลให้เก่งขึ้น มีเส้นสายมากขึ้น และมีโอกาสก่อ re-offending ได้อีกครั้ง
จากที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมด ผมจึงอยากนำเสนอวิธีการพัฒนาระบบเรือนจำเพื่อลดปัญหาเหล่านี้ลงได้
1. พัฒนาคุณภาพของบุคลากร
อย่างแรกสุดเลยคือการสร้างบุคลากรในเรือนจำที่มีประสิทธิภาพขึ้นมา วิธีที่จะลดอัตราการรับสินบนของเจ้าพนักงานได้คือการเพิ่มผลตอบแทนและสวัสดิการต่างๆให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงมีการตรวจสอบที่เคร่งครัด ผู้ที่มีประวัติในการรับสินบนควรจะถูกแบนอย่างเด็ดขาด เมื่อผลตอบแทนที่ได้นั้นดีกว่าสินบนที่นักโทษหยิบยื่นให้ผู้รับจะไม่อยากเสี่ยงทำความผิด ทว่าวิธีนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ต้นเหตุของการรับสินบนนั้นมาจากตัวผู้รับล้วนๆ หากบุคคลนั้นมีสามัญสำนึกที่ดีและถูกปลูกฝังเรื่องความถูกต้องไว้เชื่อว่าการรับสินบนจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน การสร้างและอบรมบุคลากรขึ้นมาเองนั้นเป็นวิธีที่หลายๆประเทศที่พัฒนาแล้วใช้เพื่อเพิ่มคุณภาพให้ได้ตามที่ต้องการ
2. มอบโอกาสในการทำมาหากินอย่างสุจริต
นักโทษที่ออกมาก่อเหตุซ้ำส่วนมากทำไปเพราะไม่ได้รับโอกาสในการกลับไปทำอาชีพสุจริต เชื่อว่าทุกๆบริษัทไม่มีที่ไหนต้องการรับคนมีประวัติเข้าทำงานแน่ๆ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของทางภาครัฐที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้บุคคลเหล่านี้ ระบบการสอนวิชาชีพให้นักโทษขณะถูกคุมขังนั้นถือเป็นสิ่งจำเป็นมากเพราะนอกจากจะช่วยมอบทักษะที่เป็นประโยชน์ต่อการทำอาชีพสุจริตแล้วยังสามารถสร้างรายได้ให้ครอบครัวนักโทษขณะอยู่ในเรือนจำได้ด้วย ในเรือนจำของประเทศที่มีอัตราการก่อ re-offending ต่ำนั้นมีการสอนงานช่างไปจนถึงการทำขนมเพื่อนำสินค้าจากฝีมือนักโทษไปขายและนำรายได้ส่วนหนึ่งไปจุนเจือครอบครัวนักโทษ นักโทษที่ถูกคุมขังนั้นบางรายถึงขั้นล้มละลายเพราะเวลาที่ต้องเสียไป ออกมาแล้วจึงไม่มีทางเลือกนอกจากการกลับไปทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุด
3. ปรับสภาพแวดล้อมให้น่าอยู่
นี่ไม่ได้หมายความว่าเรือนจำจะต้องหรูหราเฉกเช่นโรงแรมระดับห้าดาว แต่ควรจะมีสุขอนามัยที่ดี คุณภาพอาหารอยู่ในเกณฑ์ที่รับประทานได้ การพัฒนาคุณภาพอาหารนั้นสามารถช่วยลดการลักลอบนำสิ่งต้องห้ามที่แฝงมากับห่ออาหารที่ญาตินำมาให้นักโทษได้ หลายๆท่านอาจไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ ทำไมฉันถึงต้องทำงานหนักเพื่อเสียภาษีให้คนที่ทำผิดได้อยู่อย่างสบายๆล่ะ จริงไหมครับ มีประธานาธิบดีของประเทศแห่งหนึ่งซึ่งประสบปัญหาหนักจากขบวนการค้ายาเสพติด เขาได้เล็งเห็นว่าเรือนจำนี่แหละคือแหล่งเพาะความชั่วร้ายชั้นดี จึงสั่งรื้อโครงสร้างทั้งหมดใหม่ แรกๆประชาชนต่างไม่พอใจที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของคนร้ายมากกว่า แต่คำพูดของท่านปธน.นั้นได้ทำให้เหตุการณ์ soft ลง "ผมทราบดีว่าหลายๆท่านต้องไม่พอใจ แต่ราคาของอาหารที่ดีขึ้นนั้นถูกกว่าลูกกระสุนปืนและชีวิตของเจ้าหน้าที่มาก" การที่นักโทษมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นนั้นส่งผลให้เขามองเห็นด้านดีๆของชีวิตที่ไม่ต้องเสี่ยงทำความผิดก็มีความสุขได้ กลับกัน นักโทษที่ถูกขังในสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายมีโอกาสซึมซับด้านลบของชีวิตและไม่เห็นหนทางของการกลับมาใช้ชีวิตใหม่อีกเลย นี่เป็นหัวข้อที่ Controversial มากๆและเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละท่าน
4. มีระบบ Tracking ผู้มีประวัติที่มีประสิทธิภาพ
แนวคิดนี้ของผมได้แรงบันดาลใจมากจากหนังสือ Too Like the Lighting ซึ่งจะออกแนว Sci-Fi นิดๆ คือผู้ที่เคยต้องโทษคดีร้ายแรงจะต้องถูกฝัง tracker ตลอดชีวิตและทางการสามารถรับรู้ตำแหน่งได้ตลอดเวลา ในเรื่องประชาชนทุกคนจะมีระบบตรวจชีพจรอยู่ในตัว ถ้าในบริเวณที่มีอดีตนักโทษเกิดมีสัญญาณเตือนเพราะชีพจรของประชาชนเต้นเร็วผิดปกติเจ้าหน้าที่จะเข้าถึงได้ทันที หรือจะวิธีใดๆก็แล้วแต่ ผู้ที่เคยต้องโทษควรถูก monitor อย่างสม่ำเสมอ นอกจากนั้นโทษของการทำผิดซ้ำจะต้องรุนแรงขึ้น ถือว่าเราให้โอกาสคุณแล้วนะ ถ้ายังทำอีกจะต้องถูกลงโทษหนักๆไปเลย
สุดท้ายทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของกระบวนการยุติธรรม หลายๆคนที่ต้องโทษมีโอกาสกลับตัวได้หากได้รับการเยียวยาและปลูกฝังทัศนคติที่ดีลงไป แต่บางเคสอาจจะเลวร้ายเกินมนุษย์ยากจะเยียวยาได้ก็ต้องไปอีกหนึ่งประเด็นนั่นคือเรื่องของโทษประหารชีวิต
กระทู้นี้ไม่ได้เขียนเพื่อสนับสนุนให้ชีวิตในเรือนจำสบายขึ้นแต่อย่างใด(ถ้าติดคุกจะสบายขนาดนี้ งั้นไปทำผิดกันดีกว่าพวกเรา!!!) แต่เขียนขึ้นเพื่อศึกษาวิธีของประเทศที่พัฒนาแล้วว่าจะนำมาปรับใช้กับประเทศของเราได้หรือไม่ ทั้ง mindset และคุณภาพประชากรของบ้านเรานั้นถ้าพูดตรงๆยังห่างจากประเทศเหล่านั้นอีกไกล แต่ผมเชื่อว่าสักวันนึงเราจะต้องพัฒนาขึ้นได้
คนร้ายก็เหมือนกับเชื้อโรค แรกๆเราไม่รู้วิธีควบคุมจนมันสามารถแพร่กระจายไปทั่ว สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนไปทุกหย่อมหญ้า เราถึงต้องกำจัดเพื่อลดปริมาณลง แต่พอเราได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองขึ้น เราจะมีความสามารถพอที่จะควบคุมมัน รวมถึงเก็บเชื้อโรคนั้นมาศึกษา หรือนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้
ท้ายที่สุด ไม่ว่าวิธีอะไรก็แล้วแต่ ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ อย่าไปอยู่ในนั้นตั้งแต่แรก ถ้าเลี่ยงได้ก็อย่าทำความผิดกันเลยครับ การสูญเสียอิสรภาพเป็นอะไรที่เลวร้ายที่สุดแล้วสำหรับมนุษย์เรา
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ