ใครเคยมีความรักในวัย 35 ปีกันบ้าง

สวัสดีค่ะ เราเป็นน้องใหม่ในพันทิป และกระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่เราอยากแชร์ประสบการณ์ความรักของผู้หญิงวัย 35 ให้ทุกคนฟัง เผื่อว่าใครหัวอกเดียวกัน จะได้รู้ว่า ไม่ใช่คุณคนเดียวที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ อย่างน้อยยังมีเราอีกคน และเราจะผ่านมันไปด้วยกันได้ค่า

       เริ่มเลยนะ เราชื่ออินดี้ ตอนนี้อายุ 35ละ ทำงานเป็นพนักงานออฟฟิตธรรมดาๆคนนึง นิสัยอินดี้ตามชื่อเลยแหละ แล้วในความคิด
ของเราคือ ชาตินี้ยังไงก็ ไม่คิดจะมีแฟน เพราะคิดว่าเราเป็นคนที่สวยและสตรองพอตัว ดูแลตัวเองได้ ไม่อยากมีภาระ แล้วก็ไม่ใช่คนอ่อนหวานเท่าไหร่ เอาใจใครไม่เป็น เป็นตัวของตัวเอง แต่ถ้าถามเรื่องรูปร่างหน้าตา เอาเรื่องหน้าตาก่อนละกัน เราก็จัดว่าหน้าตาเราพอ
ไปวัดไปวาได้ (อันนี้เพื่อนเราพูด เราไม่ได้พูดเองนะ555) ส่วนเรื่องรูปร่าง อย่างที่บอกเราเป็นคนไม่มีภาระ หาใช้เอง
หุ่นเลยจัดว่าอยู่ในกลุ่ม”คนมีมีอันจะกิน” เข้าใจตรงกันโน๊ะ แต่เอาจริงๆนะ เราก็ไม่เคยรู้สึกว่าเราอ้วน ขอให้คำนิยามว่า มีน้ำมีนวลละกัน
ก็แค่หนัก 72 สูง 165 ซม. เท่านั้นเอ๊ง แต่ถามว่าเรื่องรูปร่างทำลายความมั่นใจของเรามั๊ย บอกเลยว่าไม่ค่ะ ยังคงชอบแต่งตัวถึงแม้ว่า
เป็นเสื้อผ้าไซส์ L – XL ก็ตาม อย่างที่บอกเราสวยสตรองอยู่แล้ว เลยไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่

       เอาละค่ะ มาถึงช่วยพีคของสาวสวยสตรอง วัย 35 กัน คืองี้ อย่างที่บอกว่าเราไม่คิดจะมีความรักเลย แต่แหมือนพระเจ้าเล่นตลก
วันนึงมีเด็กใหม่เข้ามาทำงานในออฟฟิต แวปแรกที่เห็นมันคือรักแรกพบเลยค่ะ เคยเป็นกันมั๊ยคะ เจอคนคนนึงแล้วเรารู้สึกเลยว่า
ฟ้าส่งคนนี้ลงมาให้ชั้นแน่ๆ มันใช่ไปหมด ทั้งหน้าตา บุคลิก การพูดจา คือจริงๆเราเป็นคนไม่ชอบเด็กนะ แต่น้องคนนี้เด็กกว่าเรา 10 ปี!!! อายุ 25 ปีค่ะคุ้ณณณ แต่ด้วยรูปลักษณ์ภายนอก ตรงสเป็คเราทุกอย่าง หน้าตาตี๋ๆขาวๆ สูงกว่าเรา ขาสวย พูดจาดี เวลายิ้มแล้วน่ารัก
มีเสน่ห์ ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุมากค่ะ แล้วก็ดูปกป้องเราได้ ยิ่งพอได้รู้จักคือ เข้าใจเลยว่าทำไมเพื่อนๆป้าๆรุ่นเดียวกัน ถึงชอบมีแฟนเด็ก เพราะยังไงเด็กก็คือเด็กค่ะคู้ณณณ เค้าจะมีความน่ารักใสๆอยู่ในตัว อะไรก็สนุกสนานดูไม่ค่อยเคร่งเครียดกับอะไร ทำให้เรามองโลกใน
แง่บวก มองโลกสดใส มันใช่ไปหมดค่ะ เจอกันตอนแรกเสียดายอยู่กันคนละแผนก แต่เมื่อมันใช่ทำไมเราต้องรอ!
จากคนที่ไม่คิดอยากจะมีแฟน เราก็เริ่มวางแผนการเลยค่า

      เราแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งมาแต่งหน้าแบบประณีตทุกวัน แต่งหน้าทีนึงเป็นชั่วโมง คิ้วเรียงเส้น อายไลน์เนอร์ต้องเป๊ะ
ขนตาต้องมา เสื้อผ้าช๊อปใหม่หมด แผนคือ 5 วันต้องไม่ซ้ำ รองเท้าปกติใส่ flat เต็มที่ขนาดเอาส้นสูงสวยๆไปเตรียมไว้ออฟฟิตเลย ประชุมกับนายยังใส่ flat แต่ไปกินข้าวเที่ยงจิกส้นสูงไป คิดดูพยายามขนาดไหน หลังจากนั้นก็แต่งหน้าแต่งตัวให้สวยขึ้นทุกวัน
แล้วก็เดินโฉบไปโฉบมาตรวจแผนกที่น้องเค้าอยู่บ่อยๆ ก่อนเที่ยงก็เดินไปหาเพื่อนที่แผนกนั้น ชวนเพื่อนไปกินข้าวประจวบเหมาะ
ก็ชวนน้องเค้าไปด้วย พยายามให้เค้าเห็นหน้าเราบ่อยๆ เวลากินข้าวก็ชวนน้องคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้บ้าง เราจะได้เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี กลับบ้านไปตกกลางคืนก็ต้องเตรียมชุด ลองชุดแต่งตัวหน้ากระจกทุกวัน จับรองเท้ามาแมท์ให้เข้ากัน คิดว่าจะต้องทำผมยังไง
แต่งหน้าลุคไหน พรุ่งนี้เช้าเสื้อผ้าหน้าผมจะได้เป๊ะ!!! บางวันเราก็มีเข้ามาอ่านกระทู้ในพันทิปเรื่องความรักของคนอื่น โดยเฉพาะ
เรื่องแอบชอบเพื่อน นี่ไม่พลาดเข้าไปอ่านเรื่องของคนโน้นคนนี้ เผื่อมีใครเจอเรื่องใกล้เคียงกับเรา 555 แต่บางกระทู้อ่านแลวก็มีจิตตกนะ เพราะหลายๆคอมเม้นท์ก็บอกให้เลิกหวัง เลิกโน้น เลิกนี้เราก็คิดมาก คิดเยอะแยะไปหมดว่าน้องเค้าจะอยากคุยกับเรามั๊ย รำคาญเรารึป่าว แต่ก็เอาวะต้องลุยต่อเราชอบเค้าแล้วหนิ มันห้ามใจไม่ทันและ เราต้องเดินหน้าต่อไป

       มีเหตุการณ์นึงที่เป็นจุดทำให้เราได้คุยกับน้องเค้าจริงจัง ก็ตอนงานเลี้ยงที่ออฟฟิต ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้งานเลี้ยงนี้เกิดขึ้น
เราได้คุยกับน้องเค้าเยอะเลย ที่สำคัญเราได้ไลน์น้องเค้ามาด้วย (เย้ๆๆๆๆ) แต่กว่าจะได้มางานก็จะเลิกอยู่และ ตอนขอไลน์น้องเค้านี่ใจเราเต้นตุ๊บๆ ถ้ามันเต้นทะลุออกมาข้างนอกได้มันคงจะออกมาแล้ว ที่จริงตอนนั้นเราเขินหนักมากนะ แต่ท่องไว้ในใจตลอดว่ารุ่นใหญ่
จะคิดการใหญ่ใจต้องนิ่ง ถือคติด้านได้อายอด สวยมักนก ตลกมักได้นี่แหละค่ะ 555 แล้วเราก็ได้จริงๆ
       แต่อย่าค่ะ อย่าคิดลึกไปไกล เรายังไม่ได้แบบนั้น ถึงจะ 35 แล้ว แต่ดิฉันก็รักนวลสงวนตัวนะจ๊ะ (สวยไปอี๊กกกก) ที่ว่าได้คือ ได้รู้ว่าบ้านน้องเค้าอยู่แถวนนทบุรีเหมือนกัน (นี่สินะที่เค้าเรียกว่าพระเจ้าจัดสรร!!!) แล้วหลังจากเลิกงานเลี้ยงวันนั้น เราก็ขับรถไปส่งน้อง
ที่บ้านค่า.........Happyมากกกกกก ขับรถไปแอบมองหน้า มองหู มองคอน้องเค้าไปฟิ๊นนนนฟินนนน ชวนน้องเค้าคุยเรื่องส่วนตัวบ้าง
คุยเรื่องเราบ้างแลกเปลี่ยนความคิดกันไป ทำให้เรารู้สึกว่าเราได้ขยับเข้าไปใกล้น้องเค้าอีกนิดนึงแล้ว รู้สึกดี๊ยดี
เรียกได้ว่าป้าแก่ชุ่มชื่นหัวใจ แล้วน้องเค้าคือน่ารักมาก สุภาพ พูดจามีหางเสียงครับๆตลอด โอ๊ย......มีความสุข ยั่งแอบถามตัวเองอยู่เลยว่า เมื่อก่อนแกอยู่แบบเหี่ยวเฉามาได้ยังไง 35 ปี!! ชีวิตมันต้องแบบนี้สิ ชีวิตดีย์มีสีสัน เหมือนวิ่งเล่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์

    หลังจากคืนนั้นผ่านไปเราก็เริ่มมีแผน ไม่ขับรถไปทำงาน เพราะเราสืบมาแล้วว่าน้องเค้าขึ้น BTS มาทำงาน เราก็เอาเลยค่ะ ไปซุ่มดักรอน้องที่ BTS ตั้งแต่เข้า เพราะยังไม่รู้ว่าน้องขึ้นเวลาไหน บางวันต้องไปรอตั้งแต่ 6 โมงครึ่งดูสิดิฉันพยายามขนาดไหน คนก็เยอะ รถไฟฟ้าก็แน่น พอเจอน้องแล้วก็ได้แต่แอบมองอยู่ห่างๆ เพราะยังไม่อยากให้น้องเค้ารู้ตัว เราแอบตามน้องเค้าอยู่แบบนี้เกือบอาทิตย์ แล้วเราก็รู้แล้วว่าน้องเค้าจะมาถึงBTS ประมาณ 7.30 น.ทุกวัน ทีนี่แผนการต่อไปของเรา คือแกล้งทำเป็นรถเสียจ้า...
(เป็นแผนที่basicสุดๆ) เพื่อที่จะได้เป็นข้ออ้างในการมาขึ้นรถไฟฟ้าเหมือนน้องเค้า เราเริ่มจากไปยืนรอใกล้ๆโบกี้เดียวกันก่อน
เพื่อให้น้องสังเกตเห็น วันแรกน้องไม่เห็น ไม่เป็นไร วันที่ 2 ก็ยังไม่เห็นอีกฮือๆๆ (แอบคิดว่าเราตัวเตี้ยไปใช่มั๊ย) แต่วันที่ 3 น้องเค้าเห็นเรายืนรออยู่จ้า น้องเค้าก็เดินเข้ามาทัก.....(แอบยิ้มกลุ้มกริ่มในใจ) น้องถามว่าทำไมวันนี้ถึงมาขึ้นรถไฟฟ้าหล่ะครับ (เข้าทางโป๊ะเช๊ะ)
เราก็ตอบไปตามแผน คือพี่เอารถไปซ่อม กว่าจะได้รถน่าจะรอเป็นเดือนเลย เราก็เลยชวนน้องคุยต่อว่าขึ้นสถานีนี้เหรอ บรา....บรา...บรา...พอถึงขวบนที่มาด้วยความที่ช่วงเวลาที่ขึ้นคนเยอะมาก เราเลยได้ยืนใกล้น้องใกล้ชิดสุดๆ ช่วงแรกๆที่ไปด้วยกัน
เราก็ยังไม่กล้าชนน้องเค้าเยอะ มีเกรงๆบ้างเวลารถไฟฟ้าเบรก (คุณก็รู้ว่ารถไฟฟ้าบ้างเราเวลาเบรกมันแรงแค่ไหน) แต่หลังๆพอสนิทกันมากขึ้นเราก็มีแบบทรงตัวไม่ได้บ้าง 555 เซไปแนบอกน้องเค้าบ้างงี้ (คิดแล้วก็เหมือนในซีรีย์เกาหลีมาก ช่วงพระเอกนางเอกจีบกันใหม่ๆ เจอกันในรถเมย์งี้ มโนไปไกลเลยเรา ฮ่าๆๆ)
       มีบางวันเราก็ชวนน้องเค้าขึ้น Taxi ทำไมต้องอยากขึ้น Taxi อ่ะเหรอ เพราะเราอยากให้โลกนี้มีแต่เราสองคน ก็เลยชวนน้องขึ้น Taxi บ้างบางวันเห็นมั๊ยคะ ว่าเรายอมลงทุนมากแค่ไหน
       ยังไม่หมดแค่นี้นะคะ พอสนิทกันมากขึ้น เราก็เริ่มรุกต่อมีไลน์ไปหาบ้างว่าถึงบ้านยัง กินข้าวยัง แต่น้องเค้าไม่ค่อยตอบเราหรอกนะ
มีแต่ส่งสติ๊กเกอร์ตอบมา ด้วยความหน้าด้านเราก็ยังคงไลน์หาน้องต่อไป 555 หลังจากผ่านไป 1 เดือน
มุกเอารถเข้าไปซ่อมมันก็ใช้ไม่ได้และ

       เราก็ปิ๊งไอเดียใหม่ ย้อนกลับไปในสมัยช่วงมัธยมที่ต้องมีแอบเอาขนมไปวางบนโต๊ะ ช่วงนั้นเวลาไปไหนเจอของอร่อยนะ เราก็จะซื้อฝากน้องตลอด (สายเปย์มาเองเลยจ้า) บางครั้งก็มีแบบเอาไปฝากไว้ที่ Operator แล้วโทรเรียกให้เค้าไปเอาก็มีนะ แต่ไม่ได้บอกนะ
ว่าเราไปคนฝากไว้ให้ ดูจากท่าทีเค้าแล้ว เค้าก็ไม่ได้ปฏิเสธของที่เราให้นะ
       มีอยู่วันนึงเราไม่สบายลาป่วย ช่วงบ่ายโมงก็มีไลน์เด้งมา เราก็หยิบโทรศัพท์มาดู ไข้ที่กำลังพุงขึ้นอยู่นั้น แทบจะหายไปในทันที
น้องเค้าก็ไลน์มาค่า เราก็กดเข้าไปอ่าน น้องไลน์มาถามว่าวันนี้ไม่มาเหรอครับ ผมไม่เห็นพี่เลย นั่นไงที่เราพยายามโผล่หน้าไปให้เค้าเห็นทุกวัน มันสำเร็จแล้วใช่มั๊ย เค้าเริ่มสนใจเราแล้ว (นี่กรี๊ดดังๆในห้องคนเดียวนานมาก)
แล้วจุดนี้เองความสัมพันธ์ของเราสองคนก็เริ่มพัฒนาขึ้นค่ะ
       วันนึงเราชวนน้องเค้าไปทานข้าวค๊า ที่สำคัญไม่ใช่วันทำงานนะจ๊ะ เราชวนน้องเค้าไปทานข้าววันเสาร์ แต่ตอนชวนลืมคิดว่า
แต่งตัวยังไง กินร้านไหนยังไง ตอนชวนคือคุยเล่นกันแล้วปากมันลั่น คืนวันนั้นก็กลับไปคิดเลยจ้า ว่าจะแต่งตัวยังไง กินที่ไหน
เดทแรกอ่ะนะฮะ เราก็ต้องดูดีหน่อย ไปแบบสวยๆ กินแบบนางงามงี้...(ไม่รู้ว่าน้องนับเป็นเดทแรกรึป่าว แต่เราคิดแน่นอน 555)
สุดท้ายเราก็เลือกไปกินร้านอาหารญี่ปุ่นที่ใครๆก็จักแหละ ที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าใกล้ๆบ้านเรา 2 คน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่