เธอคนนั้น
ความเหงาคือการตอบแทนอย่างสาสมของคนอย่างผม ความโดดเดี่ยวเหมือนแส้ที่คอยโบยตี เสียงสะบัดแส้ย้ำให้รู้ว่าความมืดเปลี่ยว ในความสว่าง พลุกพล่านคืออะไร ผิวหนังชั้นรับความรู้สึกในหัวใจของผมมันชาชินเสียแล้ว รอยแตกจากการฟาดโบยของความเหงาทำอะไรผมไม่ได้หรอก
เต็นท์ผ้าใบขนาดใหญ่ประดับด้วยดวงไฟและธงทิวหลากสี ตะล่อมให้ผู้คนเกิดภาพความสนุกลวงตาดอกไม้ปลอมทั้งพุ่มและช่อ ทำหน้าที่บดบัง อำพรางรอยขาดรุ่ยและคราบชื้นของผืนผ้าใบ สเปรย์น้ำหอมแรงฉุน คอยหลอกล่อโสตประสาทว่ากลื่นอับที่โชยมาเป็นหนึ่งในอณูกลิ่นหอม ที่ว่างภายในเต็นท์คลาคล่ำไปด้วยคณะนักแสดง บ้างสวมหน้ากาก บ้างมีเพียงรอยยิ้มบางและเครื่องสำอางฉาบหนา เสมือนหน้ากากที่คอยปิดบังแววตาเหน็ดเหนื่อยและปัญหานานับ สัตว์ป่าที่หมอบคลาน แลดูเชื่อง เซื่องซึม ทำหน้าที่ปลอมๆอย่างซังกะตาย คนดูรายรอบหัวเราะ กรีดร้อง ปิดตา ขบขัน ยิ้มเยาะ คล้ายเปรียบเทียบกับโชคชะตาที่เหนือกว่าของตน
ถ้าโลกและผู้คนรายรอบตัวผมไม่ต่างอะไรกับคณะละครสัตว์เช่นนี้ การได้จมจ่อมอยู่กับความรู้สึกที่คนทั่วไปให้คำนิยามว่าความเหงาเป็นสิ่งที่ผมเลือกแล้วว่าต้องการ เป็นก้าวย่างและรูปแบบชีวิตที่ผมเลือกแล้วว่าดี ผมอ้าแขนยอมรับมันเอง ยอมรับให้ความรู้สึกนี้ถาโถมเข้ามาทุกห้วงขณะของความรู้สึก
ภาพพนักพิงที่นั่งกำมะหยี่สีแดงเลือดหมูตั้งตรงเรียงแถวทำมุมเก้าสิบองศาของที่นั่งว่างในโรง รวมถึงที่นั่งว่างซ้ายขวาข้างตัวผม ก่อให้เกิดความรู้สึกโปร่ง โล่ง ไร้พันธนาการ นี่คือช่วงเวลาสองชั่วโมงในโรงหนังที่ผมมีอำนาจเหนือมัน ถ้าเลือกได้เราควรเป็นนายของเวลาทั้งหมดในชีวิต ผมเริ่มเสพติดกับอำนาจในการเลือกที่จะร่วม เลือกที่จะเลี่ยง เลือกที่จะพบ เลือกที่จะจาก สมการชีวิตของผมสมบูรณ์ได้โดยไม่ต้องอาศัยการแทนค่าของตัวแปรใดๆ
คุณคงคิดว่าผมไม่เคยลิ้มรสสิ่งที่ใครๆเรียกว่าความรัก คุณคิดถูกเพียงครึ่งเดียว ผมเคยสัมผัส แต่ผมเรียกสิ่งนั้นต่างจากคุณ เมื่อมีใครคนหนึ่งเพิ่มเข้ามาในวงชีวิต จากวงชีวิตของคุณเพียงวงเดียว ขยายทวีจำนวนเป็นสามวง วงชีวิตของคุณ วงชีวิตของเธอและวงชีวิตของคุณและเธอที่ใช้ร่วมกัน ไม่ง่ายเลยที่จะรักษาสมดุลย์ให้ทุกวงมีขนาดไม่เหลื่อมล้ำกัน ยากที่คุณจะคงอาณาเขตวงชีวิตที่มีคุณเพียงคนเดียวเอาไว้ได้ โดยไม่กระทบต่อความคาดหวังของใครอีกคน ผมคงเป็นคนเห็นแก่ตัวในสายตาของทุกคนที่ผ่านเข้ามาเพราะท้ายที่สุด ผมเลือกที่จะเก็บวงชีวิตของผมไว้เพียงวงเดียว ไม่แยแสต่อความรู้สึกใด มนุษย์เราล้วนอยากให้ทุกสิ่งเป็นไปตามปรารถนาแห่งตน เธอที่ผ่านมาปรารถนาที่จะเป็นอีกข้างของสมการ แต่ผมโหยหาโลกกว้างภายนอกกรงมากกว่า
มันเหมือนการมองเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก เมื่อเธออีกคนตรงหน้าบอกเล่ามุมมองชีวิตผ่านบทสนทนาและฟองเบียร์ เราทั้งคู่เจอกันที่เมืองโพคารา เมืองตั้งต้นของการพิชิตยอดเขาในประเทศเนปาล เธอเข้ามาในร้านขายอุปกรณ์เดินเขาเพื่อถามหารองเท้ามือสองที่ใส่เดินบนพื้นหิมะได้ ผมเงยหน้ามองเนื่องจากคำพูดเตะหูที่บอกเจ้าของร้านว่าจะเดินขึ้นยอด ABC คนเดียวโดยไม่มีไกด์และลูกหาบ ผมกล่าวทักทาย และบอกว่ามีความคิดที่จะทำแบบเดียวกับเธอ
เราเดินคุยกันออกรสจากร้านขายอุปกรณ์ และจบลงที่โต๊ะเล็กๆหน้าร้านสะดวกซื้อ บทสนทนาดำเนินไปพร้อมเบียร์ Everest สองสามขวดกับมันฝรั่งทอดรสไม่คุ้นลิ้น ปลายทางในอนาคต การเดินตามความฝัน การคาดเดาถึงความลำบาก และแววตาแห่งความสุข เป็นกับแกล้มชั้นเยี่ยมของการสนทนา
“ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอคนอยากขึ้นไปฉลองปีใหม่บนนั้นคนเดียวเหมือนกัน” เธอกล่าวออกมาพร้อมแววตาขี้เล่น และพรายฟองบางเหนือริมฝีปาก “จะเดินถึงหรือเปล่ายังไม่รู้ แค่อยากใช้เวลาเงียบๆ นิ่งๆ พาตัวเองไปเป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้ ท้องฟ้า ภูเขา หิมะ ฟังสรรพเสียงที่เกิดขึ้นระหว่างการก้าวเดินอย่างช้าๆ เสียงธรรมชาติเพราะนะ” ดวงตาของเธอสะท้อนความจริงใจจากคำพูดนั้น “ชักเริ่มอยากจะไปเป็นคู่ ซะแล้วสิ” ผมลองหยั่งเชิงออกไป พร้อมหัวเราะแก้เขิน เธอหัวเราะตอบเบาๆ จิบเบียร์ ทิ้งช่วงเวลาให้ความเงียบเป็นคำตอบของการหยั่งเชิงเมื่อครู่ “แล้วนี่พี่จะไปคนเดียวครั้งแรก ตื่นเต้นไหม” เธอย้ำคำตอบในรูปคำถาม “ถ้าไปไม่ไหว เห็นว่าบริษัทประกันจะส่งเฮลิคอปเตอร์ไปรับลงมาเชียวนะ นักท่องเที่ยวก็เลือกเอา จะดูวิวตอนขึ้นไปเอง หรือดูวิวตอนขาเดี้ยงนั่งเฮลิคอปเตอร์ลงมา” ผมยืนขึ้น ออกท่าทางเกินจริง หวังซ่อนสีหน้าและกลบเกลื่อนน้ำเสียงผิดหวัง
“พี่ชอบภูเขาหรือทะเลมากกว่า” เธอเปลี่ยนเรื่อง คล้ายเป็นการขอโทษที่ปฏิเสธผมทางอ้อม “ทะเล” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด และไม่หวังตอบเพื่อเอาใจเธอ “น้องชอบทั้งสองอย่าง ทะเลนิ่งสงบอยู่ตรงหน้า รอให้เราใช้เวลากับมัน ถ้าไม่รีบ เราจะมองเห็นความแตกต่างของเกลียวคลื่น และเฉดสีของผิวน้ำเมื่อกระทบแสงอาทิตย์ เสียงคลื่นเหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอมในตอนแรก แต่ถ้าพี่หยุดนึกถึงมัน พี่จะได้ยินเสียงความเงียบเมื่อคลื่นคลายจากฝั่ง” ผมหวนนึกถึงความรู้สึกดื่มด่ำในอดีต แอบใช้เวลาจ้องมองในตาของเธอที่อยู่ตรงหน้า เพื่อค้นหาว่ามีเศษเสี้ยวของตัวผมอยู่ในนั้นบ้างหรือไม่
“แล้วภูเขาล่ะ ต่างกันยังไง มันก็รอเราอยูตรงหน้าเหมือนกัน” ผมแกล้งแหย่เธอ เธอยิ้ม รินเบียร์ให้ผมก่อนที่จะเติมในแก้วของเธอ “ภูเขาขี้อาย และลึกลับกว่าทะเล เรามองเห็นแค่มุมที่ภูเขายอมให้เราเห็น ภาพความงามแรกคือภาพภูเขาไกลลิบ มีต้นไม้สูงใหญ่เป็นฉากประกอบที่ไม่รกสายตา ภูเขาจะค่อยๆโอบล้อมตัวเราจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของภาพข้างหน้า ถ้าตั้งใจฟังจะได้ยินเสียงลมกระทบใบไม้ ลมที่พัดมาแล้วจะได้กลิ่นหอมเย็น บางครั้งเป็นกลิ่นสะอาดแห้ง ยิ่งเดินเข้าใกล้ ภูเขาจะกางแขนออกให้มนุษย์อย่างเราสำเหนียกว่า อย่าริอ่านต่อกรกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ” ผมรับรู้ได้ถึงพลังของธรรมชาติจากแววตาและคำพูดของเธอ เธอที่อยู่ตรงหน้าจะเหมือนภูเขาหรือทะเล ผมไม่รู้ แต่เธอคงยังไม่ต้องการเปิดประตูให้ผมชื่นชมความสงบนิ่ง หรือค้นหาความลึกลับยิ่งใหญ่ใดๆที่ซ่อนอยู่ภายใน
เสียงคำรามของฟ้าและกลิ่นลมฝนโชยปะทะจมูก เราทั้งคู่กล่าวลาแบบหลวมๆ ทิ้งให้ขวดเปล่าสามสี่ใบบนพื้นเป็นเหมือนสัญญาลมๆว่าเราอาจจะได้เจอกันบนนั้น อาจจะได้เจอกันเมื่อลงมาที่ฐาน หรืออาจจะได้เจอกันเมื่อมาที่นี่อีกครั้งในหน้าร้อน ผมไม่รู้ว่าเธอคิดยังไง เธออาจคิดว่าผมเป็นเพียงหนึ่งในสรรพสิ่งที่ผ่านเข้ามาในระหว่างการเดินทางของเธอ ก่อนแยกจากกันคืนนั้น ผมรับรู้ได้ถึงเสียงตวัด และน้ำหนักของแส้ที่ค่อยๆฟาด โบยลงมาที่ตัวผม เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มไม่มั่นใจว่าจะรับมือกับมันได้
เช้านี้ผมลืมตาขึ้นพร้อมอากาศหนาวยะเยือก ดวงอาทิตย์ฉายแสงนุ่มอ่อนต่างจากวันอื่น สีขาวโพลนสุดลูกหูลูกตาด้านนอกคล้ายจะบอกว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ไม่มีอยู่จริง ข้างกายผมมีเพียงความว่างเปล่าที่คุ้นเคย ความรู้สึกเช้านี้ไม่เหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา ผมหลับตาอีกครั้ง ทิ้งดิ่งความรู้สึกให้จมลงไป ผมกำลังเพลี่ยงพล้ำให้กับอำนาจของมัน ความรู้สึกเย็นซ่านค่อยๆตะกายขึ้นจับขั้วหัวใจ ถ้าผมไม่เห็นแก่ตัว ถ้าผมให้เวลาเธอมากกว่านี้ ถ้าทุกอย่างไม่ต้องหมุนรอบตัวผม ถ้าผมยอมที่จะแพ้บ้าง ถ้าผมหัดคิดจากมุมตรงข้ามและรู้สึกจากหัวใจของเธอ ผมปล่อยให้น้ำตาไหลต่อไปพร้อมกระแสสำนึกท่วมท้น กระจ่าง แจ่มชัด ผมรู้สึกเหงาเหลือเกิน
รอยเท้าของตัวเองเพียงแถวเดียวบนแพรหิมะนุ่มขาว ให้ความรู้สึกอิสระ รอยเท้าแต่ละรอยเป็นเครื่องหมายเตือนสติว่าผมมีอำนาจที่จะเลือก เลือกที่จะเดิน เลือกที่จะพัก ภาพเทือกเขาสลับซับซ้อนสีน้ำตาลเข้มตัดกับสีฟ้าปนขาวของผืนฟ้ากว้าง คล้ายความรู้สึกของผมในตอนนี้ ผมเข้มแข็งเหมือนยอดเขาตระหง่าน แต่เปราะบางเหมือนยอดไม้ที่ไหวปลิวตามแรงลม ผมสดใสราวกับท้องฟ้ายามนี้ แต่ขรึมเศร้าในบางเวลาเหมือนฟ้าขมุกขมัวยามฝนโปรย เสียงบรรเลงสอดรับกันของธรรมชาติรอบตัว ช่างไพเราะเหมือนที่เธอคนนั้นได้บอกไว้ จะดีเพียงใดถ้ามีเสียงใครอีกคนคอยสอดประสานกับสรรพเสียงก้องกังวานเหล่านี้
คล้ายๆคำกล่าวที่ได้ยินกันจนชินหูว่า จุดหมายไม่สำคัญเท่ากับช่วงเวลาระหว่างเดินทาง ผมตัดสินใจเดินกลับลงมาก่อนที่จะถึงยอด ABC เพราะสภาพร่างกายที่ไม่ชินกับอุณหภูมิและความกดอากาศ สามีภรรยาชาวเยอรมันกับไกด์ส่วนตัวแสดงสีหน้าประหลาดใจ เมื่อทราบว่าผมมาคนเดียว พวกเขาคงยังไม่ทราบว่ามีเธอคนนั้นอีกคนที่มาที่นี่คนเดียวเหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าเธอคนนั้นจะขึ้นไปถึงยอดได้ตามที่ตั้งใจไว้ หรือตัดสินใจกลับลงมาเหมือนกับผม แต่นั่นไม่สำคัญไม่ใช่หรือ
มีใครคนหนึ่งโยนก้อนหินลงในทะเลสาบที่ผืนน้ำทอดตัวสงบนิ่ง วงของน้ำกระเพื่อมเนิบช้า จากเล็กจนแผ่รัศมีกว้าง ไกลออกไปเรื่อยๆและกลืนหายกลับสู่ความสงบนิ่งอีกครั้ง คืนนี้คงจะเป็นคืนส่งท้ายปีเก่าอีกปีที่ผมจะนั่งคนเดียว จ่อมจมความรู้สึก ระลึก นึกย้อน ดื่มให้กับทางชีวิตที่ผมเลือกแล้ว และดื่มให้กับเธอคนนั้น เธอที่เป็นเหมือนเงาสะท้อนของผม
เธอคนนั้น - รบกวนช่วยวิจารณ์ด้วยครับ
ความเหงาคือการตอบแทนอย่างสาสมของคนอย่างผม ความโดดเดี่ยวเหมือนแส้ที่คอยโบยตี เสียงสะบัดแส้ย้ำให้รู้ว่าความมืดเปลี่ยว ในความสว่าง พลุกพล่านคืออะไร ผิวหนังชั้นรับความรู้สึกในหัวใจของผมมันชาชินเสียแล้ว รอยแตกจากการฟาดโบยของความเหงาทำอะไรผมไม่ได้หรอก
เต็นท์ผ้าใบขนาดใหญ่ประดับด้วยดวงไฟและธงทิวหลากสี ตะล่อมให้ผู้คนเกิดภาพความสนุกลวงตาดอกไม้ปลอมทั้งพุ่มและช่อ ทำหน้าที่บดบัง อำพรางรอยขาดรุ่ยและคราบชื้นของผืนผ้าใบ สเปรย์น้ำหอมแรงฉุน คอยหลอกล่อโสตประสาทว่ากลื่นอับที่โชยมาเป็นหนึ่งในอณูกลิ่นหอม ที่ว่างภายในเต็นท์คลาคล่ำไปด้วยคณะนักแสดง บ้างสวมหน้ากาก บ้างมีเพียงรอยยิ้มบางและเครื่องสำอางฉาบหนา เสมือนหน้ากากที่คอยปิดบังแววตาเหน็ดเหนื่อยและปัญหานานับ สัตว์ป่าที่หมอบคลาน แลดูเชื่อง เซื่องซึม ทำหน้าที่ปลอมๆอย่างซังกะตาย คนดูรายรอบหัวเราะ กรีดร้อง ปิดตา ขบขัน ยิ้มเยาะ คล้ายเปรียบเทียบกับโชคชะตาที่เหนือกว่าของตน
ถ้าโลกและผู้คนรายรอบตัวผมไม่ต่างอะไรกับคณะละครสัตว์เช่นนี้ การได้จมจ่อมอยู่กับความรู้สึกที่คนทั่วไปให้คำนิยามว่าความเหงาเป็นสิ่งที่ผมเลือกแล้วว่าต้องการ เป็นก้าวย่างและรูปแบบชีวิตที่ผมเลือกแล้วว่าดี ผมอ้าแขนยอมรับมันเอง ยอมรับให้ความรู้สึกนี้ถาโถมเข้ามาทุกห้วงขณะของความรู้สึก
ภาพพนักพิงที่นั่งกำมะหยี่สีแดงเลือดหมูตั้งตรงเรียงแถวทำมุมเก้าสิบองศาของที่นั่งว่างในโรง รวมถึงที่นั่งว่างซ้ายขวาข้างตัวผม ก่อให้เกิดความรู้สึกโปร่ง โล่ง ไร้พันธนาการ นี่คือช่วงเวลาสองชั่วโมงในโรงหนังที่ผมมีอำนาจเหนือมัน ถ้าเลือกได้เราควรเป็นนายของเวลาทั้งหมดในชีวิต ผมเริ่มเสพติดกับอำนาจในการเลือกที่จะร่วม เลือกที่จะเลี่ยง เลือกที่จะพบ เลือกที่จะจาก สมการชีวิตของผมสมบูรณ์ได้โดยไม่ต้องอาศัยการแทนค่าของตัวแปรใดๆ
คุณคงคิดว่าผมไม่เคยลิ้มรสสิ่งที่ใครๆเรียกว่าความรัก คุณคิดถูกเพียงครึ่งเดียว ผมเคยสัมผัส แต่ผมเรียกสิ่งนั้นต่างจากคุณ เมื่อมีใครคนหนึ่งเพิ่มเข้ามาในวงชีวิต จากวงชีวิตของคุณเพียงวงเดียว ขยายทวีจำนวนเป็นสามวง วงชีวิตของคุณ วงชีวิตของเธอและวงชีวิตของคุณและเธอที่ใช้ร่วมกัน ไม่ง่ายเลยที่จะรักษาสมดุลย์ให้ทุกวงมีขนาดไม่เหลื่อมล้ำกัน ยากที่คุณจะคงอาณาเขตวงชีวิตที่มีคุณเพียงคนเดียวเอาไว้ได้ โดยไม่กระทบต่อความคาดหวังของใครอีกคน ผมคงเป็นคนเห็นแก่ตัวในสายตาของทุกคนที่ผ่านเข้ามาเพราะท้ายที่สุด ผมเลือกที่จะเก็บวงชีวิตของผมไว้เพียงวงเดียว ไม่แยแสต่อความรู้สึกใด มนุษย์เราล้วนอยากให้ทุกสิ่งเป็นไปตามปรารถนาแห่งตน เธอที่ผ่านมาปรารถนาที่จะเป็นอีกข้างของสมการ แต่ผมโหยหาโลกกว้างภายนอกกรงมากกว่า
มันเหมือนการมองเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก เมื่อเธออีกคนตรงหน้าบอกเล่ามุมมองชีวิตผ่านบทสนทนาและฟองเบียร์ เราทั้งคู่เจอกันที่เมืองโพคารา เมืองตั้งต้นของการพิชิตยอดเขาในประเทศเนปาล เธอเข้ามาในร้านขายอุปกรณ์เดินเขาเพื่อถามหารองเท้ามือสองที่ใส่เดินบนพื้นหิมะได้ ผมเงยหน้ามองเนื่องจากคำพูดเตะหูที่บอกเจ้าของร้านว่าจะเดินขึ้นยอด ABC คนเดียวโดยไม่มีไกด์และลูกหาบ ผมกล่าวทักทาย และบอกว่ามีความคิดที่จะทำแบบเดียวกับเธอ
เราเดินคุยกันออกรสจากร้านขายอุปกรณ์ และจบลงที่โต๊ะเล็กๆหน้าร้านสะดวกซื้อ บทสนทนาดำเนินไปพร้อมเบียร์ Everest สองสามขวดกับมันฝรั่งทอดรสไม่คุ้นลิ้น ปลายทางในอนาคต การเดินตามความฝัน การคาดเดาถึงความลำบาก และแววตาแห่งความสุข เป็นกับแกล้มชั้นเยี่ยมของการสนทนา
“ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอคนอยากขึ้นไปฉลองปีใหม่บนนั้นคนเดียวเหมือนกัน” เธอกล่าวออกมาพร้อมแววตาขี้เล่น และพรายฟองบางเหนือริมฝีปาก “จะเดินถึงหรือเปล่ายังไม่รู้ แค่อยากใช้เวลาเงียบๆ นิ่งๆ พาตัวเองไปเป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้ ท้องฟ้า ภูเขา หิมะ ฟังสรรพเสียงที่เกิดขึ้นระหว่างการก้าวเดินอย่างช้าๆ เสียงธรรมชาติเพราะนะ” ดวงตาของเธอสะท้อนความจริงใจจากคำพูดนั้น “ชักเริ่มอยากจะไปเป็นคู่ ซะแล้วสิ” ผมลองหยั่งเชิงออกไป พร้อมหัวเราะแก้เขิน เธอหัวเราะตอบเบาๆ จิบเบียร์ ทิ้งช่วงเวลาให้ความเงียบเป็นคำตอบของการหยั่งเชิงเมื่อครู่ “แล้วนี่พี่จะไปคนเดียวครั้งแรก ตื่นเต้นไหม” เธอย้ำคำตอบในรูปคำถาม “ถ้าไปไม่ไหว เห็นว่าบริษัทประกันจะส่งเฮลิคอปเตอร์ไปรับลงมาเชียวนะ นักท่องเที่ยวก็เลือกเอา จะดูวิวตอนขึ้นไปเอง หรือดูวิวตอนขาเดี้ยงนั่งเฮลิคอปเตอร์ลงมา” ผมยืนขึ้น ออกท่าทางเกินจริง หวังซ่อนสีหน้าและกลบเกลื่อนน้ำเสียงผิดหวัง
“พี่ชอบภูเขาหรือทะเลมากกว่า” เธอเปลี่ยนเรื่อง คล้ายเป็นการขอโทษที่ปฏิเสธผมทางอ้อม “ทะเล” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด และไม่หวังตอบเพื่อเอาใจเธอ “น้องชอบทั้งสองอย่าง ทะเลนิ่งสงบอยู่ตรงหน้า รอให้เราใช้เวลากับมัน ถ้าไม่รีบ เราจะมองเห็นความแตกต่างของเกลียวคลื่น และเฉดสีของผิวน้ำเมื่อกระทบแสงอาทิตย์ เสียงคลื่นเหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอมในตอนแรก แต่ถ้าพี่หยุดนึกถึงมัน พี่จะได้ยินเสียงความเงียบเมื่อคลื่นคลายจากฝั่ง” ผมหวนนึกถึงความรู้สึกดื่มด่ำในอดีต แอบใช้เวลาจ้องมองในตาของเธอที่อยู่ตรงหน้า เพื่อค้นหาว่ามีเศษเสี้ยวของตัวผมอยู่ในนั้นบ้างหรือไม่
“แล้วภูเขาล่ะ ต่างกันยังไง มันก็รอเราอยูตรงหน้าเหมือนกัน” ผมแกล้งแหย่เธอ เธอยิ้ม รินเบียร์ให้ผมก่อนที่จะเติมในแก้วของเธอ “ภูเขาขี้อาย และลึกลับกว่าทะเล เรามองเห็นแค่มุมที่ภูเขายอมให้เราเห็น ภาพความงามแรกคือภาพภูเขาไกลลิบ มีต้นไม้สูงใหญ่เป็นฉากประกอบที่ไม่รกสายตา ภูเขาจะค่อยๆโอบล้อมตัวเราจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของภาพข้างหน้า ถ้าตั้งใจฟังจะได้ยินเสียงลมกระทบใบไม้ ลมที่พัดมาแล้วจะได้กลิ่นหอมเย็น บางครั้งเป็นกลิ่นสะอาดแห้ง ยิ่งเดินเข้าใกล้ ภูเขาจะกางแขนออกให้มนุษย์อย่างเราสำเหนียกว่า อย่าริอ่านต่อกรกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ” ผมรับรู้ได้ถึงพลังของธรรมชาติจากแววตาและคำพูดของเธอ เธอที่อยู่ตรงหน้าจะเหมือนภูเขาหรือทะเล ผมไม่รู้ แต่เธอคงยังไม่ต้องการเปิดประตูให้ผมชื่นชมความสงบนิ่ง หรือค้นหาความลึกลับยิ่งใหญ่ใดๆที่ซ่อนอยู่ภายใน
เสียงคำรามของฟ้าและกลิ่นลมฝนโชยปะทะจมูก เราทั้งคู่กล่าวลาแบบหลวมๆ ทิ้งให้ขวดเปล่าสามสี่ใบบนพื้นเป็นเหมือนสัญญาลมๆว่าเราอาจจะได้เจอกันบนนั้น อาจจะได้เจอกันเมื่อลงมาที่ฐาน หรืออาจจะได้เจอกันเมื่อมาที่นี่อีกครั้งในหน้าร้อน ผมไม่รู้ว่าเธอคิดยังไง เธออาจคิดว่าผมเป็นเพียงหนึ่งในสรรพสิ่งที่ผ่านเข้ามาในระหว่างการเดินทางของเธอ ก่อนแยกจากกันคืนนั้น ผมรับรู้ได้ถึงเสียงตวัด และน้ำหนักของแส้ที่ค่อยๆฟาด โบยลงมาที่ตัวผม เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มไม่มั่นใจว่าจะรับมือกับมันได้
เช้านี้ผมลืมตาขึ้นพร้อมอากาศหนาวยะเยือก ดวงอาทิตย์ฉายแสงนุ่มอ่อนต่างจากวันอื่น สีขาวโพลนสุดลูกหูลูกตาด้านนอกคล้ายจะบอกว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ไม่มีอยู่จริง ข้างกายผมมีเพียงความว่างเปล่าที่คุ้นเคย ความรู้สึกเช้านี้ไม่เหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา ผมหลับตาอีกครั้ง ทิ้งดิ่งความรู้สึกให้จมลงไป ผมกำลังเพลี่ยงพล้ำให้กับอำนาจของมัน ความรู้สึกเย็นซ่านค่อยๆตะกายขึ้นจับขั้วหัวใจ ถ้าผมไม่เห็นแก่ตัว ถ้าผมให้เวลาเธอมากกว่านี้ ถ้าทุกอย่างไม่ต้องหมุนรอบตัวผม ถ้าผมยอมที่จะแพ้บ้าง ถ้าผมหัดคิดจากมุมตรงข้ามและรู้สึกจากหัวใจของเธอ ผมปล่อยให้น้ำตาไหลต่อไปพร้อมกระแสสำนึกท่วมท้น กระจ่าง แจ่มชัด ผมรู้สึกเหงาเหลือเกิน
รอยเท้าของตัวเองเพียงแถวเดียวบนแพรหิมะนุ่มขาว ให้ความรู้สึกอิสระ รอยเท้าแต่ละรอยเป็นเครื่องหมายเตือนสติว่าผมมีอำนาจที่จะเลือก เลือกที่จะเดิน เลือกที่จะพัก ภาพเทือกเขาสลับซับซ้อนสีน้ำตาลเข้มตัดกับสีฟ้าปนขาวของผืนฟ้ากว้าง คล้ายความรู้สึกของผมในตอนนี้ ผมเข้มแข็งเหมือนยอดเขาตระหง่าน แต่เปราะบางเหมือนยอดไม้ที่ไหวปลิวตามแรงลม ผมสดใสราวกับท้องฟ้ายามนี้ แต่ขรึมเศร้าในบางเวลาเหมือนฟ้าขมุกขมัวยามฝนโปรย เสียงบรรเลงสอดรับกันของธรรมชาติรอบตัว ช่างไพเราะเหมือนที่เธอคนนั้นได้บอกไว้ จะดีเพียงใดถ้ามีเสียงใครอีกคนคอยสอดประสานกับสรรพเสียงก้องกังวานเหล่านี้
คล้ายๆคำกล่าวที่ได้ยินกันจนชินหูว่า จุดหมายไม่สำคัญเท่ากับช่วงเวลาระหว่างเดินทาง ผมตัดสินใจเดินกลับลงมาก่อนที่จะถึงยอด ABC เพราะสภาพร่างกายที่ไม่ชินกับอุณหภูมิและความกดอากาศ สามีภรรยาชาวเยอรมันกับไกด์ส่วนตัวแสดงสีหน้าประหลาดใจ เมื่อทราบว่าผมมาคนเดียว พวกเขาคงยังไม่ทราบว่ามีเธอคนนั้นอีกคนที่มาที่นี่คนเดียวเหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าเธอคนนั้นจะขึ้นไปถึงยอดได้ตามที่ตั้งใจไว้ หรือตัดสินใจกลับลงมาเหมือนกับผม แต่นั่นไม่สำคัญไม่ใช่หรือ
มีใครคนหนึ่งโยนก้อนหินลงในทะเลสาบที่ผืนน้ำทอดตัวสงบนิ่ง วงของน้ำกระเพื่อมเนิบช้า จากเล็กจนแผ่รัศมีกว้าง ไกลออกไปเรื่อยๆและกลืนหายกลับสู่ความสงบนิ่งอีกครั้ง คืนนี้คงจะเป็นคืนส่งท้ายปีเก่าอีกปีที่ผมจะนั่งคนเดียว จ่อมจมความรู้สึก ระลึก นึกย้อน ดื่มให้กับทางชีวิตที่ผมเลือกแล้ว และดื่มให้กับเธอคนนั้น เธอที่เป็นเหมือนเงาสะท้อนของผม