
สายลมที่หวังดี - ทราย เจริญปุระ

Tower of the Winds. Photo credit: Viacheslav Lopatin/Shutterstock
หอคอยแห่งสายลม
Tower of the Winds
หรือ Horologion of Andronikos Kyrrhestes
เป็นหอคอยที่สร้างด้วยหินอ่อนรูปทรงแปดเหลี่ยมที่งดงาม
ตั้งอยู่ใน
Roman Agora ในกรุงเอเธนส์
Athens
ถือว่าเป็นสถานีอุตุนิยมวิทยาแห่งแรกของโลก
หอคอยแห่งนี้มีอายุมากกว่า 2,000 ปี
มีช่องทางลม 8 ด้านซึ่งสอดคล้องกับ
สายลมหลัก 8 สายลม
มีนาฬิกาแดดเพื่อบอกเวลา
มีศรลมบ่งบอกทิศทางของลม
มีนาฬิกาน้ำข้างในหอคอย
ที่บอกเวลาได้ในยามค่ำคืน
รูปทรงแปดเหลี่ยมของอาคารแต่ละด้าน
จะหันหน้าไปตามแนวทางเข็มทิศ
และตกแต่งด้วยรูปกรุด้วยรูปสัญลักษณ์
ที่แทนสายลมที่พัดจากทิศทางนั้น
ชาวกรีกโบราณเชื่อว่า
สายลมพัดมาจาก 12 ทิศทางที่แตกต่างกัน
และแต่ละทิศทางเหล่านี้
ได้กลายเป็นวิธีการหาทิศทางทางภูมิศาสตร์ในทุกวันนี้
เช่นเดียวกับ 4 ทิศทางสำคัญที่เราใช้งานกันในวันนี้
ยังไม่มีใครทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่า
เหตุใดผู้คนจึงเริ่มใช้สายลมเป็นทิศทางสำคัญ
ซึ่งอาจเริ่มต้นมาจากชาวนาชาวไร่ที่ทำกสิกรรม
เกษตรกรโบราณช่างสังเกตการณ์เหล่านี้
ต่างยอมรับว่าคุณภาพของสายลมแต่ละประเภท
มีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับที่ที่สายลมพัดมา(ทิศทาง/เวลา)
สายลมบางประเภทนำพาความชื้น
สายชมบางประเภทนำพาความแห้งแล้ง
สายลมบางประเภทนำพาอากาศร้อน
สายลมบางประเภทนำพาอากาศหนาวจัด
กะลาสีเรือใบอดีตต้องพึ่งพาเส้นทางสายลมมาก
และยังรู้ถึงคุณสมบัติเฉพาะของสายลมแต่ละประเภทด้วย
เดิมชาวกรีกโบราณได้ระบุสายลมด้วยระบบที่แตกต่างกัน
และแยกสายลมตามระบบที่วางไว้ด้วยจากจุดที่มาและสายลม
4 จุดที่สำคัญในภาษากรีกคือ Arctos, Anatole, Mesembria และ Dusis
ตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐานดาราศาสตร์บนท้องฟ้า
และใช้สำหรับการกำหนดทิศทางลม
สายลมกรีกอีก 4 ชื่อคือ Boreas, Notos, Eurus, Zephyrus
ถูกนำมาใช้ในอุตุนิยมวิทยา
ในที่สุดทั้งสองระบบก็ถูกหลอมรวมเข้าด้วยกัน
และชื่อสายลมก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง
และบ่งบอกถึงทิศทางลมในที่สุด
Aristotle นักปรัชญาชาวกรีกได้ระบุสายลมถึง 10 ประเภท
สายลมพัด 2 ทิศทางที่พัดไปทางทิศเหนือ-ใต้ (Aparctias, Notos)
และสายลมพัด 4 ทิศทางที่พัดไปจากทิศตะวันออก-ทิศตะวันตก จากละติจูดที่แตกต่างกัน
วงกลมอาร์กติก Arctic (Meses, Thrascias)
Summer Solstice ครีษมายัน (Caecias, Argestes)
พระอาทิตย์โคจรจนไปถึงจุดหยุดคือจุดสุดทางเหนือในราววันที่ 21 มิถุนายน
เป็นจุดในหน้าร้อนมีกลางวันนานกว่ากลางคืน
วันที่ดวงอาทิตย์อยู่ตรงกับเส้นศูนย์สูตรท้องฟ้ามากที่สุด
Equinox (Apeliotes, Zephyrus)
เวลาที่ดวงอาทิตย์โคจรรอบเส้นศูนย์สูตรทำให้มีกลางวันเท่ากับกลางคืน
เกิดขึ้นในราววันที่ 21 มีนาคม (vernal equinox)
กับวันที่ 22 กันยายน (autumnal equinox)
Winter Solstice เหมายัน (Eurus, Lips)
วันที่มีกลางวันสั้นที่สุด ทางซีกโลกเหนือ (วันที่ 22 ธันวาคม)
Aristotle ได้อธิบายว่าสายลมแต่ละชนิด
มีคุณสมบัติทางอุตุนิยมวิทยาแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น
สายลมบนแกน NW-SE โดยทั่วไปจะนำพาความแห้งแล้ง
สายลมบนแกน NE-SW มักจะนำพาความเปียกชื้น
สายลม N และ NNE มักจะทำให้หิมะตก
ขณะที่สายลมพัดพามาจากภาคเหนือ/ภาคตะวันตกเฉียงเหนือทั้งหมด
(NW, NNW, N) มักจะทำให้เกิดพายุเฮอริเคน
แต่ระบบของ Aristotle ก็ยังไม่สมมาตร Asymmetric
เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องผิดพลาดดังกล่าวนี้
Timosthenes นักเดินเรือและนักภูมิศาสตร์ชาวกรีก
จึงได้เพิ่มลมอีก 2 ชนิดที่เป็นชื่อคลาสสิค
คือ 12 สายลมดอกกุหลาบ 12-wind rose
แต่
Eratosthenes of Cyrene นักภูมิศาสตร์ชาวกรีก
ตระหนักดีว่าจำนวนลมที่มากขึ้นกว่าเดิม
มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย
จึงได้ลดสายลมจาก 12 ชนิดลงเหลือเพียง 8 ชนิด
ซึ่งต่อมากลายเป็นก้าวย่างที่สำคัญของ
วิวัฒนาการของเข็มทิศ 8 ทิศ
ที่ยังคงใช้อยู่ในระบบนำทางเกือบทั้งหมด
รวมทั้งแผนภูมิศาสตร์ทางทะเล/แผนที่ทั่วไป
และแม้แต่ระบบ GPS ในปัจจุบัน
หอคอยแห่งสายลม Tower of the Winds
สร้างขึ้นอิงตามระบบสายลม 8 ชนิดของ Eratosthenes
ซึ่งแต่ด้านของหอคอยที่เป็นรูปทรง 8 เหลี่ยม
ต่างตั้งหันหน้าไปทางทิศทางลม
ด้านข้างหนึ่งจะหันหน้าไปในทิศทางดวงอาทิตย์
ที่จะกลายเป็นเส้นของแดด (ทำเป็นนาฬิกาแดด)
โดยหอคอยได้รับการออกแบบให้เป็นหอนาฬิกา
ด้านบนที่เป็นศรลมเป็นรูปเทพเจ้า
Triton (เจ้าสมุทร) ทำด้วยสำริด
และมีนาฬิกาน้ำด้านในหอคอย
เพื่อบอกเวลาที่ดวงอาทิตย์ไม่ส่องแสง/ยามราตรี
หอคอยแห่งนี้ตั้งอยู่ในย่าน
Roman Agora (ตลาดยุคโบราณ)
ซึ่งมีคุณค่ามากสำหรับพ่อค้า
เพราะจะใช้อ่านสภาพอากาศและคาดการณ์
ระยะเวลาว่าเรือใบสินค้าทางทะเล
จะเดินทางมาถึงตลาดเวลาใด
Stelios Daskalakis หัวหน้าทีมอนุรักษ์สรุปกับ Reuters ว่า
" หอคอยแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นราวค.ศ.50 โดย
Andronicus of Cyrrhus
สถาปนิกนักดาราศาสตร์โดยใช้ หินอ่อน Pentelic ที่ใช้สำหรับวิหาร Parthenon
และไม่ค่อยพบในอาคารอื่นนอกจากที่นี่ มีความสูงเกือบ 14 เมตร (46 ฟุต)
ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะอย่างยิ่งที่แม้ไม่ใช่วิหาร แต่ใช้ประโยชน์เชิงการค้า
โดยไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณก่อสร้างที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายสูงมาก
นอกจากนครรัฐเอเธนส์ต้องการยกระดับตลาด Roman Agora
ความลึกลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ นาฬิกาน้ำทำงานตอนกลางคืน
มีเพียงทฤษฎีที่โดดเด่นที่สุด คือ กลไกไฮดรอลิกขับเคลื่อนอุปกรณ์นาฬิกาน้ำ
ด้วยน้ำที่ไหลจากลำธารบนเนินเขาอะโครโพลิส
กลไกดังกล่าวเชื่อกันว่าได้ถูกปล้นสะดมในช่วงสมัยโรมัน
และไม่เคยมีใครค้นพบมันอีกเลย
มีช่วงหนึ่งเป็นหอนาฬิกาสำหรับโบสถ์
Eastern Orthodox
ยังมีเศษชิ้นส่วนของ
frescoes ศาสนาคริสต์ รูปนางฟ้ากับนักบุญบนหลังม้า
และจากการใช้กล้องถ่ายรูปแยกชั้นสีที่เขียนทับภาพเดิมออกมา
ยังได้ค้นพบการตกแต่งภายในและภายนอกที่พิถีพิถันด้วยสีสันที่หลากหลาย
เช่น สีฟ้าอียิปต์บนเพดาน สีแดง สีน้ำเงิน ที่คดเคี้ยวหรือที่ขอบภาพ
ในช่วงใต้การปกครองของชาวเติร์ก
ที่ใช้โดย
Sufi Muslim Whirling Dervishes
มีโพรงที่ถูกแกะสลักบ่งชี้ไปทิศมหานครเมกกะ (ทิศที่ทำนมาซ)
และจารึกออตโตมันตกแต่งบนฝาผนัง
การใช้เป็นสถานที่ของชาวมุสลิม
ช่วยให้หอคอยนี้รอดพ้นจากมือ
Lord Elgin ชาวอังกฤษ
ที่ขนหินอ่อนพาร์เธนอนจากเมือง Acropolis ไปแล้วส่วนหนึ่ง
ในปี 1799 Lord Elgin เริ่มวางแผนจะขนหอคอยแห่งนี้ไปยังอังกฤษ
แต่เพราะถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ชาวมุสลิมจึงรอดพ้นไป
ในปี 1828 มีการปิดตายตั้งแต่พวกซูฟีย้ายออกไปจากกรีซ
ในปี 1843 มีการใช้งานสั้น ๆ เพื่อเก็บโบราณวัตถุ
หลายปีต่อมาก็เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติและมลภาวะต่าง ๆ
ในปี 2014 จีงเริ่มลงมือบูรณะ
ในปี 2016 เพิ่งจะเปิดให้ประชาชนเข้าเยี่ยมชมได้อีกครั้ง
หลังจากที่ถูกปล่อยปละละเลยเกือบ 200 ปี "
เรียบเรียง/ที่มา
http://bit.ly/2OebApo
http://bit.ly/2uKJMB5
https://reut.rs/2mAwouR
ชื่อลมของชาวไทย เครดิต : ครูไพรวัลย์ วงศ์ดี
ลมที่คนไทยรู้จักกันมาตั้งแต่โบราณ และใช้เรียกชื่อกันอยู่ตามชนบททั่วไป มีดังนี้
1. ลมว่าว เป็นลมที่พัดจากทิศเหนือไปสู่ทิศใต้ ปรากฏในต้นฤดูหนาว
2. ลมตะเภา เป็นลมที่พัดจากทิศใต้ไปทางทิศเหนือ ปรากฏในกลางฤดูร้อน
3. ลมตะโก้ เป็นลมที่พัดจากตะวันตกเฉียงเหนือไปสู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ปรากฏในปลายฤดูฝน
4. ลมพัทยา เป็นลมที่พัดจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ปรากฏในต้นฤดูฝน
5. ลมสลาตัน เป็นลมที่พัดจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ปรากฏในปลายฤดูร้อน
6. ลมบ้าหมู มีลักษณะหมุนเป็นวงขึ้นไปในอากาศ โดยมีผงฝุ่นและเศษสิ่งของต่าง ๆ ปลิวหมุนขึ้นไปด้วย ปรากฏในฤดูร้อน
7. ลมกรด เป็นลมที่พัดแรงจัดมาก ซึ่งสามารถพัดต้นไม้ใบหญ้าให้ขาดหลุดออกไปได้เหมือนคมดาบ
8. ลมงวง เป็นลมพายุชนิดหนึ่งเกิดในทะเล มีลักษณะเป็นงวงห้อยลงมาจดผิวน้ำ
ซึ่งทางอุตุนิยมวิทยาเรียกว่า Water spout
เครื่องมือตรวจลม
การตรวจลมต้องตรวจทั้งทิศทางและความเร็ว โดยใช้เครื่องมือดังต่อไปนี้
1. ศรลม (Wind Vane) เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับตรวจทิศทางของลม
มีลักษณะเป็นแท่งโลหะเบามีแพนหางตั้งตรง ศรลมหมุนได้รอบตัว
โดยหัวลูกศรลมจะชี้ทิศทางที่ลมพัดมาเสมอ
2. มาตรวัดความเร็วลมหรืออะนิโมมิเตอร์ (Anemometer)
เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับตรวจวัดความเร็วลม ประกอบด้วยโลหะเบา 3 หรือ 4 ใบ
หันตามกันอยู่บนแกนที่หมุนได้ เมื่อลมพัดถ้วยจะหมุนรอบแกน
ซึ่งทำให้เราสามารถอ่านความเร็วลมได้จากตัวเลขหน้าปัดของเครื่อง
หอคอยแห่งสายลมสถานีอุตุนิยมวิทยาแห่งแรกของโลก
สายลมที่หวังดี - ทราย เจริญปุระ
Tower of the Winds. Photo credit: Viacheslav Lopatin/Shutterstock
หอคอยแห่งสายลม Tower of the Winds
หรือ Horologion of Andronikos Kyrrhestes
เป็นหอคอยที่สร้างด้วยหินอ่อนรูปทรงแปดเหลี่ยมที่งดงาม
ตั้งอยู่ใน Roman Agora ในกรุงเอเธนส์ Athens
ถือว่าเป็นสถานีอุตุนิยมวิทยาแห่งแรกของโลก
หอคอยแห่งนี้มีอายุมากกว่า 2,000 ปี
มีช่องทางลม 8 ด้านซึ่งสอดคล้องกับ
สายลมหลัก 8 สายลม
มีนาฬิกาแดดเพื่อบอกเวลา
มีศรลมบ่งบอกทิศทางของลม
มีนาฬิกาน้ำข้างในหอคอย
ที่บอกเวลาได้ในยามค่ำคืน
รูปทรงแปดเหลี่ยมของอาคารแต่ละด้าน
จะหันหน้าไปตามแนวทางเข็มทิศ
และตกแต่งด้วยรูปกรุด้วยรูปสัญลักษณ์
ที่แทนสายลมที่พัดจากทิศทางนั้น
ชาวกรีกโบราณเชื่อว่า
สายลมพัดมาจาก 12 ทิศทางที่แตกต่างกัน
และแต่ละทิศทางเหล่านี้
ได้กลายเป็นวิธีการหาทิศทางทางภูมิศาสตร์ในทุกวันนี้
เช่นเดียวกับ 4 ทิศทางสำคัญที่เราใช้งานกันในวันนี้
ยังไม่มีใครทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่า
เหตุใดผู้คนจึงเริ่มใช้สายลมเป็นทิศทางสำคัญ
ซึ่งอาจเริ่มต้นมาจากชาวนาชาวไร่ที่ทำกสิกรรม
เกษตรกรโบราณช่างสังเกตการณ์เหล่านี้
ต่างยอมรับว่าคุณภาพของสายลมแต่ละประเภท
มีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับที่ที่สายลมพัดมา(ทิศทาง/เวลา)
สายลมบางประเภทนำพาความชื้น
สายชมบางประเภทนำพาความแห้งแล้ง
สายลมบางประเภทนำพาอากาศร้อน
สายลมบางประเภทนำพาอากาศหนาวจัด
กะลาสีเรือใบอดีตต้องพึ่งพาเส้นทางสายลมมาก
และยังรู้ถึงคุณสมบัติเฉพาะของสายลมแต่ละประเภทด้วย
เดิมชาวกรีกโบราณได้ระบุสายลมด้วยระบบที่แตกต่างกัน
และแยกสายลมตามระบบที่วางไว้ด้วยจากจุดที่มาและสายลม
4 จุดที่สำคัญในภาษากรีกคือ Arctos, Anatole, Mesembria และ Dusis
ตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐานดาราศาสตร์บนท้องฟ้า
และใช้สำหรับการกำหนดทิศทางลม
สายลมกรีกอีก 4 ชื่อคือ Boreas, Notos, Eurus, Zephyrus
ถูกนำมาใช้ในอุตุนิยมวิทยา
ในที่สุดทั้งสองระบบก็ถูกหลอมรวมเข้าด้วยกัน
และชื่อสายลมก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง
และบ่งบอกถึงทิศทางลมในที่สุด
Aristotle นักปรัชญาชาวกรีกได้ระบุสายลมถึง 10 ประเภท
สายลมพัด 2 ทิศทางที่พัดไปทางทิศเหนือ-ใต้ (Aparctias, Notos)
และสายลมพัด 4 ทิศทางที่พัดไปจากทิศตะวันออก-ทิศตะวันตก จากละติจูดที่แตกต่างกัน
วงกลมอาร์กติก Arctic (Meses, Thrascias)
Summer Solstice ครีษมายัน (Caecias, Argestes)
พระอาทิตย์โคจรจนไปถึงจุดหยุดคือจุดสุดทางเหนือในราววันที่ 21 มิถุนายน
เป็นจุดในหน้าร้อนมีกลางวันนานกว่ากลางคืน
วันที่ดวงอาทิตย์อยู่ตรงกับเส้นศูนย์สูตรท้องฟ้ามากที่สุด
Equinox (Apeliotes, Zephyrus)
เวลาที่ดวงอาทิตย์โคจรรอบเส้นศูนย์สูตรทำให้มีกลางวันเท่ากับกลางคืน
เกิดขึ้นในราววันที่ 21 มีนาคม (vernal equinox)
กับวันที่ 22 กันยายน (autumnal equinox)
Winter Solstice เหมายัน (Eurus, Lips)
วันที่มีกลางวันสั้นที่สุด ทางซีกโลกเหนือ (วันที่ 22 ธันวาคม)
Aristotle ได้อธิบายว่าสายลมแต่ละชนิด
มีคุณสมบัติทางอุตุนิยมวิทยาแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น
สายลมบนแกน NW-SE โดยทั่วไปจะนำพาความแห้งแล้ง
สายลมบนแกน NE-SW มักจะนำพาความเปียกชื้น
สายลม N และ NNE มักจะทำให้หิมะตก
ขณะที่สายลมพัดพามาจากภาคเหนือ/ภาคตะวันตกเฉียงเหนือทั้งหมด
(NW, NNW, N) มักจะทำให้เกิดพายุเฮอริเคน
แต่ระบบของ Aristotle ก็ยังไม่สมมาตร Asymmetric
เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องผิดพลาดดังกล่าวนี้
Timosthenes นักเดินเรือและนักภูมิศาสตร์ชาวกรีก
จึงได้เพิ่มลมอีก 2 ชนิดที่เป็นชื่อคลาสสิค
คือ 12 สายลมดอกกุหลาบ 12-wind rose
แต่ Eratosthenes of Cyrene นักภูมิศาสตร์ชาวกรีก
ตระหนักดีว่าจำนวนลมที่มากขึ้นกว่าเดิม
มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย
จึงได้ลดสายลมจาก 12 ชนิดลงเหลือเพียง 8 ชนิด
ซึ่งต่อมากลายเป็นก้าวย่างที่สำคัญของ
วิวัฒนาการของเข็มทิศ 8 ทิศ
ที่ยังคงใช้อยู่ในระบบนำทางเกือบทั้งหมด
รวมทั้งแผนภูมิศาสตร์ทางทะเล/แผนที่ทั่วไป
และแม้แต่ระบบ GPS ในปัจจุบัน
สายลมดอกกุหลาบของ Aristotle (สอดคล้องกับเข็มทิศปัตยุตบัน)
หอคอยแห่งสายลม Tower of the Winds
สร้างขึ้นอิงตามระบบสายลม 8 ชนิดของ Eratosthenes
ซึ่งแต่ด้านของหอคอยที่เป็นรูปทรง 8 เหลี่ยม
ต่างตั้งหันหน้าไปทางทิศทางลม
ด้านข้างหนึ่งจะหันหน้าไปในทิศทางดวงอาทิตย์
ที่จะกลายเป็นเส้นของแดด (ทำเป็นนาฬิกาแดด)
โดยหอคอยได้รับการออกแบบให้เป็นหอนาฬิกา
ด้านบนที่เป็นศรลมเป็นรูปเทพเจ้า Triton (เจ้าสมุทร) ทำด้วยสำริด
และมีนาฬิกาน้ำด้านในหอคอย
เพื่อบอกเวลาที่ดวงอาทิตย์ไม่ส่องแสง/ยามราตรี
หอคอยแห่งนี้ตั้งอยู่ในย่าน Roman Agora (ตลาดยุคโบราณ)
ซึ่งมีคุณค่ามากสำหรับพ่อค้า
เพราะจะใช้อ่านสภาพอากาศและคาดการณ์
ระยะเวลาว่าเรือใบสินค้าทางทะเล
จะเดินทางมาถึงตลาดเวลาใด
Stelios Daskalakis หัวหน้าทีมอนุรักษ์สรุปกับ Reuters ว่า
" หอคอยแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นราวค.ศ.50 โดย Andronicus of Cyrrhus
สถาปนิกนักดาราศาสตร์โดยใช้ หินอ่อน Pentelic ที่ใช้สำหรับวิหาร Parthenon
และไม่ค่อยพบในอาคารอื่นนอกจากที่นี่ มีความสูงเกือบ 14 เมตร (46 ฟุต)
ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะอย่างยิ่งที่แม้ไม่ใช่วิหาร แต่ใช้ประโยชน์เชิงการค้า
โดยไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณก่อสร้างที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายสูงมาก
นอกจากนครรัฐเอเธนส์ต้องการยกระดับตลาด Roman Agora
ความลึกลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ นาฬิกาน้ำทำงานตอนกลางคืน
มีเพียงทฤษฎีที่โดดเด่นที่สุด คือ กลไกไฮดรอลิกขับเคลื่อนอุปกรณ์นาฬิกาน้ำ
ด้วยน้ำที่ไหลจากลำธารบนเนินเขาอะโครโพลิส
กลไกดังกล่าวเชื่อกันว่าได้ถูกปล้นสะดมในช่วงสมัยโรมัน
และไม่เคยมีใครค้นพบมันอีกเลย
มีช่วงหนึ่งเป็นหอนาฬิกาสำหรับโบสถ์ Eastern Orthodox
ยังมีเศษชิ้นส่วนของfrescoes ศาสนาคริสต์ รูปนางฟ้ากับนักบุญบนหลังม้า
และจากการใช้กล้องถ่ายรูปแยกชั้นสีที่เขียนทับภาพเดิมออกมา
ยังได้ค้นพบการตกแต่งภายในและภายนอกที่พิถีพิถันด้วยสีสันที่หลากหลาย
เช่น สีฟ้าอียิปต์บนเพดาน สีแดง สีน้ำเงิน ที่คดเคี้ยวหรือที่ขอบภาพ
ในช่วงใต้การปกครองของชาวเติร์ก
ที่ใช้โดยSufi Muslim Whirling Dervishes
มีโพรงที่ถูกแกะสลักบ่งชี้ไปทิศมหานครเมกกะ (ทิศที่ทำนมาซ)
และจารึกออตโตมันตกแต่งบนฝาผนัง
การใช้เป็นสถานที่ของชาวมุสลิม
ช่วยให้หอคอยนี้รอดพ้นจากมือ Lord Elgin ชาวอังกฤษ
ที่ขนหินอ่อนพาร์เธนอนจากเมือง Acropolis ไปแล้วส่วนหนึ่ง
ในปี 1799 Lord Elgin เริ่มวางแผนจะขนหอคอยแห่งนี้ไปยังอังกฤษ
แต่เพราะถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ชาวมุสลิมจึงรอดพ้นไป
ในปี 1828 มีการปิดตายตั้งแต่พวกซูฟีย้ายออกไปจากกรีซ
ในปี 1843 มีการใช้งานสั้น ๆ เพื่อเก็บโบราณวัตถุ
หลายปีต่อมาก็เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติและมลภาวะต่าง ๆ
ในปี 2014 จีงเริ่มลงมือบูรณะ
ในปี 2016 เพิ่งจะเปิดให้ประชาชนเข้าเยี่ยมชมได้อีกครั้ง
หลังจากที่ถูกปล่อยปละละเลยเกือบ 200 ปี "
เรียบเรียง/ที่มา
http://bit.ly/2OebApo
http://bit.ly/2uKJMB5
https://reut.rs/2mAwouR
เมืองที่ตั้งเดิมกับเหมืองหินอ่อน
นาฬิกาแดด
นาฬิกาน้ำ
ยุคโรมันกับศาสนาคริสต์นิกายออร์ธอดอกซ์
ยุคเตอร์กกับศาสนาซูฟี/นักเต้นระบำร่ายรำ
Credit: Ava Babili/Flickr
Credit: Borisb17/Shutterstock
Credit: Anastasios71/Shutterstock
ศาสนสถานซูฟี
ภายในอาคาร
นักบวชซูฟี หรือ นักเต้นระบำร่ายรำ มุสลิมสุนนี่บางนิกายระบุว่า เป็นพวกนอกรีต
ชื่อลมของชาวไทย เครดิต : ครูไพรวัลย์ วงศ์ดี
ลมที่คนไทยรู้จักกันมาตั้งแต่โบราณ และใช้เรียกชื่อกันอยู่ตามชนบททั่วไป มีดังนี้
1. ลมว่าว เป็นลมที่พัดจากทิศเหนือไปสู่ทิศใต้ ปรากฏในต้นฤดูหนาว
2. ลมตะเภา เป็นลมที่พัดจากทิศใต้ไปทางทิศเหนือ ปรากฏในกลางฤดูร้อน
3. ลมตะโก้ เป็นลมที่พัดจากตะวันตกเฉียงเหนือไปสู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ปรากฏในปลายฤดูฝน
4. ลมพัทยา เป็นลมที่พัดจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ปรากฏในต้นฤดูฝน
5. ลมสลาตัน เป็นลมที่พัดจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ปรากฏในปลายฤดูร้อน
6. ลมบ้าหมู มีลักษณะหมุนเป็นวงขึ้นไปในอากาศ โดยมีผงฝุ่นและเศษสิ่งของต่าง ๆ ปลิวหมุนขึ้นไปด้วย ปรากฏในฤดูร้อน
7. ลมกรด เป็นลมที่พัดแรงจัดมาก ซึ่งสามารถพัดต้นไม้ใบหญ้าให้ขาดหลุดออกไปได้เหมือนคมดาบ
8. ลมงวง เป็นลมพายุชนิดหนึ่งเกิดในทะเล มีลักษณะเป็นงวงห้อยลงมาจดผิวน้ำ
ซึ่งทางอุตุนิยมวิทยาเรียกว่า Water spout
เครื่องมือตรวจลม
การตรวจลมต้องตรวจทั้งทิศทางและความเร็ว โดยใช้เครื่องมือดังต่อไปนี้
1. ศรลม (Wind Vane) เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับตรวจทิศทางของลม
มีลักษณะเป็นแท่งโลหะเบามีแพนหางตั้งตรง ศรลมหมุนได้รอบตัว
โดยหัวลูกศรลมจะชี้ทิศทางที่ลมพัดมาเสมอ
2. มาตรวัดความเร็วลมหรืออะนิโมมิเตอร์ (Anemometer)
เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับตรวจวัดความเร็วลม ประกอบด้วยโลหะเบา 3 หรือ 4 ใบ
หันตามกันอยู่บนแกนที่หมุนได้ เมื่อลมพัดถ้วยจะหมุนรอบแกน
ซึ่งทำให้เราสามารถอ่านความเร็วลมได้จากตัวเลขหน้าปัดของเครื่อง