เรียน จบ พาณิชย์นาวี ตกงานจริงหรือ ??

เราคงทราบกันดีว่ามี 1 อาชีพในประเทศไทยที่เงินเดือนสูงมาก ถ้าเทียบกันในหลายๆสาขาวิชาชีพ นั่นคืออาชีพคนประจำเรือ หรือ พาณิชย์นาวี นั่นเอง เช่นเงินเดือนอย่างน้อยของลูกเรือก็ถึง 20,000 บาท ไม่ต้องพูดถึงระดับสูงๆนะ ว่าเท่าไหร่ บางบริษัทกัปตันแตะ 300,000 บาทต่อเดือน แถมในอาชีพนี้ดีถึงขั้นภาษีเงินได้ไม่จำเป็นต้องจ่ายกันเลย
    แล้วต้องทำอย่างไรถึงได้เป็นพาณิชย์นาวีหละ คำตอบคือมีสถาบันเปิดสอนอยู่มากมายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นระดับปริญญาตรี ,ปวส. อาทิเช่น ศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี ,มหาวิทยาลัยบูรพา ,มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา ,วิทยาลัยเทคโนโลยีทางทะเลแห่งเอเชีย และยังมีอีกหลายๆสถาบันที่เปิดหลักสูตรการศึกษาเกี่ยวกับพาณิชย์นาวีขึ้นมา ขนาดที่ จุฬาฯ ยังมีสาขาวิศวกรรมเครื่องกลเรือ โดยสถาบันต่างๆเหล่านี้จะมีการไปแนะแนวการศึกษา ตามโรงเรียน หรือ สถาบันอาชีวะ ต่างๆ เช่น “สถาบันผมจบมามีงานทำ 100%” หรือ “มาเรียนอันนี้จบมานะเงินเดือนสูงมากเลยนะ” เป็นต้น
    เมื่อย้อนกลับมาที่ผู้เรียน ก็จะมี 3 ประเภทหลักๆ คือ 1.) รักและชอบงานเรือจริงๆ 2.)รักและชอบในเงินเดือนที่จะได้ 3.)ไม่รู้จะเรียนอะไรเลยมาเรียน  เมื่อบุคคลเหล่านี้เข้ามาศึกษาในสถาบันต่างๆก็จะมีความเป็นเอกลักษณ์ของบุลคลที่ต่างกันไป หรือ แต่ละคนจะมี EGO เป็นของตัวเอง จะต้องผ่านการฝึกทั้งร่างกายจิตใจ คล้ายเป็นทหาร และยังต้องเรียนเพื่อสอบวัดผล บางสถาบันจนกว่าจะได้ใบจบของสถาบันมา บางที่เรียน 5 ปี ,4ปี ส่วน ปวส.2ปี แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้นครับ เมื่อเรียนจบเราจะมีการสอบอีกอย่างคือ การสอบตั๋ว หรือการสอบใบประกอบวิชาชีพ แต่ละตำแหน่งบนเรือ โดยเราต้องไปเก็บประสบการณ์ทำงานบนเรือ ตามข้อกำหนดของ ตั๋วแต่ละตำแหน่ง ที่กล่าวมานี่คือการสอบเพื่อที่จะมีหลักฐานที่จะทำงานได้ “ไม่ใช่ว่าจะได้ทำงานในตำแหน่งที่เรามีเอกสาร” ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ บริษัทที่สังกัดอยู่ด้วย (การสอบของกรมเจ้าท่าไม่ง่ายอย่างที่คิด)
    ในระหว่างที่เรียน ทั้งอาจารย์ (ที่ทั้งจบสายตรงและสายอ้อมโลก) ,รุ่นพี่ที่จบไปแล้ว ,รุ่นพี่ที่เรียนอยู่ (ก็ยังไม่ทำงาน) ร่วมถึงผู้ปกครอง จะคอยพูดกรอกหูเรื่องสายอาชีพว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ จนผู้เรียนมี Mind set ไปทางเดียวกันคือ จบมาเราต้องทำงานบนเรือ ซึ่งแน่นอนถ้าใครมุ่งมั่นก็จำได้ทำทุกคนแน่นอน แต่เรือเองก็มีหลายระดับ เช่น เรือสายนอก,เรือสายใน,เรือชายฝั่ง และอีกหลายๆอย่าง
    เรากลับมาที่ Topic ที่ว่า “เรียนมาจะตกงานจริงหรือ” ทางผู้พิมพ์บทความ มองว่ามีทั้งถูกและผิด อยู่ที่ตัวเราเอง เรามามองกันในความจริงอีกสิ่งที่เราพูดถึงก่อนบ่อยว่า ตลาดแรงงานพาณิชย์นาวี ระดับโลกแรงงานขาดอย่างรุนแรง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงเพราะในหลายประเทศทั่วโลกค่าแรงงานบนเรือกับงานบนบกแทบจะไม่มีความแตกต่างอย่างประเทศไทยเรา แต่เรามองย้อนกลับมาว่าใน เด็กจบใหม่หลายคนตกงาน เราจึงย้อนกลับไปมองว่าทำไมถึงตกงานทั้งที่ แรงงานตลาดโลกต้องการมาก ผู้ใหญ่หลายๆท่านกล่าวว่าเพราะเราไม่เก่งภาษา (ภาษาอังกฤษ ซึ่งเราเรียนกันมาตั้งแต่อนุบาลอันนี้เรื่องใหญ่นะครับสำหรับโลกในปัจจุบันที่ต้องใช้ภาษาอื่น เด็กในยุคใหม่ควรใช้ได้อย่างน้อย 3 ภาษา) และในอีกมุมมองหนึ่งคือ กรมเจ้าท่าไทยมีมาตรฐานมากพอที่สากลยอมรับหรือเปล่าเราถึงไปทำงานไม่ได้ เป็นเรื่องที่แปลกที่เราไม่สามารถไปได้ ทั้งๆที่ ผู้เรียนบางคนเก่งภาษาถึงขั้นเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน สอบ TOEIC 750++ เราก็ยังไม่สามารถไปทำงานได้
    ย้อนกลับมาในการผลิตนักเรียนพาณิชย์นาวี รวมจากหลายสถาบัน ใน 1 ปีมีเด็กจบมา กว่า 300 คนซึ่งความเป็นจริงมากกว่านี้มาก มุมมองธุรกิจ คนจบใหม่คือ Supplier โดยมีบริษัทเป็น Demand แน่นอนว่าบริษัทต้องการสินค้าที่ดีที่สุดเพื่อเข้าไปทำงาน แต่เราจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดว่า คนที่ไม่ใช่สินค้าที่ดีที่สุดจะได้ทำงานเพราะนิสัยคนไทยได้ฝั่งรากลึกลงไปแล้ว เช่นเด็กคนนี้หลานกัปตันเรานะ (เชื่อว่าในทุกอาชีพต้องมีคำว่าเส้นสาย) ทำให้บริษัทพลาดคนที่ดีไปมาก บริษัทเรามีมากพอที่จะรับ Supplier ทั้งหมดได้จึงทำให้เกิดการตกงานของแรงงาน เกิดการที่เป็น Bottle Neck ขึ้นในระบบ ด้วย (กระบวนการคอขวด) คืออาชีพของพาณิชย์นาวี ต่างกับการเป็นตำรวจทหาร ที่มีการเกษียณอายุ คนเก่าก็เงินเดือนมากก็ไม่อยากออกทำให้เด็กที่จบมาใหม่กลายเป็นคอขวดอยู่ในระดับล่าง บางคนต้องรองานเกือบ3 ปีถึงจะได้เข้าไปทำงาน หลายคนรอไม่ไหวจนต้องมาทำงานบนบกพวก Survey เป็นต้น  และอีกหลายคนตกงานท้อแท้กับชีวิตไม่รู้จะทำอะไร เพราะเหตุผลในย่อหน้าที่ 4 เพราะ mind set เราเป็นแต่เรื่องเรือไปแล้ว เราเลยมองว่าอาชีพนี้ตกงานสูง (มีอีกหลายอาชีพที่รับปริญญาตรีทุกสาขา แต่เงินไม่เท่าเรือเท่านั้นเอง)
    ทั้งนี้ ผู้เรียนที่ว่า สถาบันพวกนี้มาขายฝัน ไม่เป็นจริงเรียนมาก็ตกงาน นั้นอาจจะจริงบางส่วนแต่ถ้าเราเปลี่ยน Mind set ใหม่ว่า เราเรียนเอาเพื่อนเอาสังคม มันจะทำให้เราคิดบวกมากขึ้น แล้วถ้าเราตกงานมีเว็ปมากมายที่ช่วยเราได้ ไม่ว่าจะเป็น                                 1.)www.JOBTHAI.com
    2.) www.Jobtopgun.com
    3.) www.หางานราชการ.com
เป็นต้นลองเข้า Google ดู หรืออาจทำธุรกิจส่วนตัว หรืออาจทำเพื่อรองานได้จะได้ไม่เครียดที่ตกงาน เป็นกำลังใจให้พี่ๆน้องๆ ชาวพาณิชย์นาวี ทุกสถาบันครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
คำที่ว่าจบมามีงานทำแน่นอนน คงจะใช้ได้กับเมื่อ8-15ปีที่แล้วครับ

สมัย15ปีที่แล้วนักเรียนระดับนายประจำเรือ มีแค่2สถาบันที่เปิดสอนในไทยคือ ศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี ที่ผลิตนายประจำเรือได้ประมาณ 100-130คนต่อปี(เดินเรือ 60-80คน ช่างกลเรือ 30-50คน - หมายถึงปริมาณที่จบจริงนะครับ) กับมหาวิทยาลัยบูรพา สมัยที่ที่เพิ่งเปิดได้ 1-2ปี ยังผลิตนายประจำเรือไม่ได้ มีนักเรียนละ 20-30คน(ฝ่ายเดินเรือ)

แน่นอนว่าความต้องการนายประจำเรือในไทยสูงมากโดยเฉพาะกับบริษัทเล็กๆ ทางสมาคมเจ้าของเรือไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทเรือสายในที่ให้ค่าแรงคนประจำเรือต่ำ ก็ร้องขอให้กรมเจ้าท่าผลิตนักเดินเรือเพิ่ม ต่อมาศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี ก็เพิ่มจำนวนการรับนักเรียน, ม.เกษตร เปิดสาขาการเดินเรือ และมีการอนุมัติให้สถาบันเอกชนเปิดทำการสอนได้ แต่นักเรียนยังถูกปลูกฝังเรื่องการทำงานกับบริษัทใหญ่ๆที่รายได้สูง ทำให้บริษัทใหญ่ๆในไทยที่มีแค่ไม่กี่บริษัทเกิดภาวะคอขวดของนายประจำเรือระดับล่าง เมื่อPlenty fish in the sea บริษัทก็มีตัวเลือกเยอะ ผนวกกับนักเรียนศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวีรุ่นเก่าๆ สร้างผลงานดีๆไว้เยอะ รวมถึงในออฟฟิศหลายบริษัทเริ่มมีศิษย์เก่าพาณิชย์นาวีเข้าไปทำงานเยอะขึ้น บริษัทใหญ่ๆ ก็เลือกที่จะรับนักเรียนหลักสูตร 5ปีเข้าทำงานมากกว่า มากกว่าหลักสูตร 1-2ปี ส่วนบริษัทเล็กๆ ก็โดนมองข้ามไป ทำให้ยังขาดนายประจำเรือเหมือนเดิม

ทุกวันนี้งานเรือยุ่งยากขึ้น กฎระเบียบรัดตัวมากขึ้น จำนวนคนบนเรือน้อยลง workload หนักขึ้น แต่บริษัทอยากได้เรือที่ดีมากขึ้น ขนาดคนทำงานระดับสูงบนเรือ ยังต้องทำงานแบบหนีตายไม่ให้โดนบริษัทไล่ออกเลยครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 17
ผมขออนุญาตแสดงความเห็น แต่อาจจะพาดพิงสถาบันต่างๆ โดยที่ตัวเองก็มีส่วนได้ส่วนเสียนะครับ

ปัญหาของคนเรือไทยมันเป็นปัญหาที่เกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งตัวละครในอุตสาหกรรมนี้ล้วนแต่มีส่วนให้ปัญหาเหล่านี้ยังคงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ถ้ายังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้น และคงจะยากที่จะเปลี่ยนแปลง เพราะผู้มีอำนาจนั้นแหล่ะที่ยังเข้าใจบริบทผิดไปเยอะมาก โดยปัญหาที่ผมสรุปมีดังต่อไปนี้

1. ปัญหาจากผู้สมัครเข้าเรียนเอง
     เยาวชนในประเทศเราบางส่วน (ผมเน้นนะครับว่าบางส่วน) ไม่เคยศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพที่ตัวเองอยากทำ หรือหนักกว่านั้นคือ ไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร ฟังคนอื่นมาก็พร้อมจะเชื่อทันที อาชีพนี้เป็นอาชีพที่ต้องการความอดทนสูงมาก เพราะทำงานไกลบ้าน ไม่เหมาะกับคนที่ชอบความสะดวกสบาย หรือติดบ้าน ติดครอบครัว ติดแฟน ซึ่งกรณีนี้ผมพอจะบอกได้ว่า อัตราขึ้นฝั่งเร็วของคนที่จบด้านนี้ นับวันยิ่งเร็วขึ้น บางคนลงฝึกคาเดทได้สัปดาห์เดียว ขอลีฟและไม่ทำงานเรืออีกเลย เพราะทนความหนักและลำบากของเรือไม่ได้
     และปัญหานี้มันก็ลากยาวไปถึงสถาบันบางสถาบันที่กำหนดหลักสูตรให้ต้องฝึกเรือให้ครบ 1 ปีก่อนถึงจะจบ ทำให้ผู้เรียนที่เข้ามาเรียนแล้ว รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับงานบนเรือ แต่จะจบไม่ได้ถ้าไม่ฝึกเรือ ต้องอดทนฝึกเรือไปอย่างงั้นจนครบหนึ่งปี เพื่อเอาปริญญา ดูแล้วเหมือนจะดี แต่ในวงจรการทำงานแล้ว เหมือนไปแย่งเรือจากคนที่อยากทำงานเรือจริงๆ ในกรณีนี้ผมเคยรับผู้เรียนจากสถาบันหนึ่งมาฝึกในบริษัทที่รู้จัก ตัวผู้เรียนทำงานได้ดี อยู่จนครบคอนแทร็ก แต่พอครบแล้วก็หายสาปสูญ ไม่ทำงานเรืออีกเลย ตั๋วเรือก็ไม่ไปสอบ สำหรับผมมันเป็นการแย่งโอกาสทำงานของคนอื่นครับ และอีกประการคือ คนที่เรียนในสถาบันที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลทุกสถาบัน ล้วนได้เงินอุดหนุนจากรัฐบาลในการฝึกเรือ (ระหว่างเรียน มิใช่ฝึกเรือ 1ปีนะครับ) แต่ต้องฝึกให้ผู้เรียนที่ไม่ต้องการทำงานเรืออีกแล้วนั้น เป็นการเสียงบประมาณโดยใช่เหตุอีกด้วย

2. ปัญหาจากสถาบันการศึกษา
     สิ่งแรกที่เป็นปัญหาเลยคือ ทุกสถาบันล้วนไม่เคยคุยกัน (ยกเว้นพน.และม.บ. เพราะใช้ปริญญาเดียวกัน) ทำให้แนวทางการพัฒนาการศึกษาด้านนี้ไม่เคยไปไหน วนอยู่กับที่เดิมตลอดเวลา ไม่เคยมีหน่วยงานวิจัยที่ตั้งมาเพื่อพัฒนาการศึกษาด้านนี้ ถึงแม้สถาบันที่เก่าแก่ที่สุดก็ตาม ทำให้ตัวสถาบันเองไม่มีสิ่งที่ทำให้ศึกษาด้านนี้ดีขึ้น คุณภาพผู้เรียนดีขึ้นในแบบรูปธรรม สิบปีที่แล้วยังซื้อซิมมูเลเตอร์อย่างไร ปัจจุบันยังคงแข่งขันซื้อซิมมูเลเตอร์กันเหมือนเดิม ในขณะที่ประเทศอื่นเริ่มเขียนซิมมูเลเตอร์เป็นของตัวเองกันแล้ว มีการพัฒนาขึ้นสู่หลักสูตรปริญญาโทและเอกตามลำดับ แต่ประเทศเรายังคงไม่มีอย่างไรก็เป็นเช่นเดิม ด้วยเหตุนี้เอง สถาบันจึงไม่มีอำนาจต่อรองใดๆกับบริษัทเรือ ได้แต่ส่งผู้เรียนเข้าฝึกเรือเท่านั้น
    เรื่องที่สองคือ ผู้สอนหรืออาจารย์ อันนี้อาจเป็นปัญหาร่วมของกรมเจ้าท่าด้วย (ขอเอ่ยนามเพราะเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงแต่เพียงผู้เดียว) กรมเจ้าท่ากำหนดสเปกของอาจารย์ไว้ค่อนข้างสูง ซึ่งดูแล้วอาจจะดี แต่ปัญหาคือมันทำได้ยากในทางปฎิบัติ ในต่างประเทศเราสามารถเห็นกัปตันดอกเตอร์ได้ไม่ยากเย็น แถมตรงสายการเรียนด้วย แต่ในไทยแล้ว แค่คนเรือจะเรียนหลักสูตรปริญญาโทและเอกที่ตรงสายยังยากเลย เพราะไม่มีในประเทศไทย มีแต่ใกล้เคียงเช่นลอจิสติกส์ เป็นต้น
    การจะปั้นกัปตันดอกเตอร์นั้น ในสภาวะแวดล้อมของประเทศในขณะนี้มันเป็นไปไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเริ่มจากกัปตันมาเรียนโทและเอก หรือเริ่มจากเรียนโทและเอกแล้วไปลงเรือ ต่างประเทศเขาจะฝึกอาจารย์พวกนี้โดยให้ทำงานอยู่บนเรือฝึกเพื่อเก็บชั่วโมงเรือ (Sea Service) และเรียนในระดับโทและเอกคู่ขนานกันไปด้วย แต่ในประเทศไทยเรือฝึกเป็นสถานที่สำหรับคนที่อยากเป็นนำร่อง หรือสุสานสำหรับคนหมดไฟเสียมากกว่า (พาดพิงใครขออภัยครับ) หรือถ้าจะเป็นกัปตันมาเรียนโท-เอกภายหลัง ก็มีปัญหาเรื่องค่าตอนแทน เพราะสถาบันของรัฐมีเกณฑ์การจ่ายเงินเดือนตามระดับปริญญาอยู่ จากกัปตันจบปริญญาตรี ไปทำงานเรือจนมีเงินเดือนเดินแสน ต้องกลับมารับเงินเดือนสองหมื่นระหว่างเรียนต่อโท-เอก มันคงยากที่จะดึงดูดกัปตันมาเป็นอาจารย์อย่างแน่นอน
     เรื่องที่สาม ในต่างประเทศหลายประเทศ การฝึกเรือหนึ่งปีจะถูกผูกติดหลักสูตร กล่าวคือ หน้าที่ในการทำให้ผู้เรียนมีชั่วโมงเรือครบ เป็นหน้าที่ของสถาบัน ตัวสถาบันต้องใช้เรือฝึกในการฝึกคาเดทให้ครบหนึ่งปีทุกคน ไม่เหมือนของประเทศไทยที่โยนภาระการฝึกเรือหนึ่งปีเป็นของตัวผู้เรียนเองต้องไปหาเรือฝึกกับบริษัทเรือ พอมาดูเรือฝึกของประเทศไทย ก็มีแค่สองลำที่ถูกเรียกว่าเรือฝึกจริงๆ แต่รูปแบบของการเรือฝึกกับแปลกประหลาดตรงที่ ต่างประเทศเขาจะให้ผู้เรียนฝึกทั้งปี ไม่มีจอดเทียบท่านานๆ ประสบการณ์ตรงของผมคือ ปีสามผมถูกฝึกเรือ 4 เดือน ปีสี่อีก 4 เดือน และปีห้าอีก 4 เดือน บนเรือลำเดียวคือเรือฝึกของสถาบัน (ผมจบสถาบันต่างประเทศ) เรือฝึกมีการเดินเรือตลอดทั้งปี ช่วงเข้าอู่เพื่อซ่อมทำ ผมก็ได้ฝึกงานในอู่เรือเพื่อซ่อมทำเรือฝึกของตัวเอง และเรือฝึกก็ไม่มีความจำเป็นต้องวิ่งไปต่างประเทศหรือเทียบท่าต่างประเทศแม้แต่น้อย เพราะผู้เรียนต้องการแค่ชั่วโมงเรือเท่านั้น ถึงจะพูดได้ว่าเรือฝึกได้ทำในสิ่งที่เป็นจุดประสงค์ของเรือฝีกอย่างครบถ้วน ไม่ใช่ออกเรือแค่ฤดูกาลฝึกไม่กี่เดือน แล้วเข้าอู่ทุกปี แถมออกจากอู่เลยกำหนดการณ์ทุกครั้งแบบที่เรือฝึกไทยทำอยู่ (สำหรับผมไม่เห็นด้วยที่ปีหนึ่งและสองจะลงเรือฝึก เพราะยังเรียนไม่พอที่จะฝึกได้)
     และเรื่องสุดท้าย การประชาสัมพันธ์ สถาบันมีการประชาสัมพันธ์ที่อ่อนมากๆ ทำให้ไม่ได้ผู้เรียนที่มีคุณสมบัติจะคนเรือที่ดี ข้อมูลในการประชาสัมพันธ์น้อยถึงน้อยมาก และจากเรื่องแรก สถาบันไม่มีการพูดคุยกัน ทำให้ข้อมูลเพื่อให้ผู้เรียนใช้ในการตัดสินใจเข้าเรียนมีน้อย จนเกิดปัญหาโดนหลอกมาเรียน ขายฝัน บลาๆ อย่างที่มีคนกล่าวหาอยู่

3. ปัญหาจากหน่วยงานของรัฐ
     ปัญหาระดับนโยบายที่แก้ไขได้ยาก เพราะกรมเจ้าท่ามีอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่เดียว อาจจะมีสมาคมเจ้าของเรือไทยพอจะมีเสียงในการแสดงความเห็นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ แถมแสดงความเห็นในฐานะเจ้าของเรือ ไม่ใช่คนทำงานบนเรือด้วย ทำให้คนเรือไม่มีใครที่จะคุ้มครองผลประโยชน์ของพวกเขาเลย (สมาคมคนเรือไทยมีนะ แต่อ่อนแอมากๆ ไม่มีอำนาจต่อรองเลย) การออกข้อบังคับหรือกฎเกณฑ์ต่างๆจึงมีความแปลกประหลาดอยู่หลายครั้ง เช่นเคยออกกฎตัวหนึ่งมา เรียกเก็บเงินคนเรือไปหลายพันต่อคน ปัจจุบันกฎที่ออกมานั้นไม่ได้ใช้ซะงั้น หรือการสอบตั๋วเรือที่ใช้คอมพิวเตอร์สอบ ผมก็สงสัยว่าสามารถวัดทักษะชาร์ตเวิร์ก หรือไปป์ไลน์ได้อย่างไร หรือการสอบสัมภาษณ์ที่เอาความรู้เฉพาะของเรือชนิดต่างๆมาถาม เช่นคนถามทำงานเรือน้ำมัน แล้วนำคำถามเรือน้ำมันมาถามผู้เรียนที่ฝึกเรือตู้มา (ต่างประเทศเขาสัมภาษณ์คำถามกลางๆไม่เกี่ยวกับความรู้เฉพาะ บริษัทต่างหากที่มีหน้าที่คัดว่าจะเอาคนเรือคนไหนมาลงเรือเฉพาะของเขา โดยดูจากประวัติการลงเรือ) เป็นต้น
     และกรมเจ้าท่าถือเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบงานเยอะมากหน่วยงานหนึ่ง ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบเยอะขนาดนั้นก็ได้ เช่น
- งานนำร่อง ประเทศอื่นเขาตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้นมาจัดการเอง ทำงานระบบเอกชน แต่ส่งรายได้เข้ารัฐ ไม่มีตำแหน่งในราชการ เช่นสิงคโปร์ ญี่ปุ่น บลาๆๆ
- งานตรวจท่า ประเทศอื่นยกหน้าที่ให้หน่วยงานที่พนักงานเรียนบังคับใช้กฎหมายมา เช่นยามชายฝั่ง ทหาร บลาๆ เพราะยังไงเจ้าท่าก็ไม่มีอำนาจจับกุมอยู่แล้ว ต้องเรียกตำรวจหรือทหารมาอยู่ดี เมื่อมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น
- งานกู้ภัย อันนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ตัวกรมเจ้าท่าเองไม่ควรไปยุ่งเลย เพราะบุคคลกรไม่ได้ถูกฝึกมาทางนี้ อุปกรณ์หรือเครื่องมือต่างๆก็ไม่มี ยกให้ทหารหรือตำรวจ หรือยามชายฝั่งจัดการเถอะ
     ที่เอ่ยมาล้วนเป็นงานที่กรมเจ้าท่าไทยรับผิดชอบอยู่ ซึ่งมันเยอะและใช้ความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้านที่ต่างกันสุดขั้วเกินไป ตัวกรมเจ้าท่าควรทำหน้าที่แค่ จัดการคนเรือ จัดการทะเบียนเรือ ออกกฎหมายเกี่ยวกับคนเรือและเรือ ติดต่อประสานงานกับองค์กรต่างประเทศเกี่ยวกับเรือเพียงเท่านั้นก็พอ

4. ปัญหาจากรัฐบาล
     บอกตามตรง ผมไม่เคยเห็นรัฐบาลไหนเห็นความสำคัญของภาคส่วนการขนส่งทางทะเลเลย (อาจยกเว้นรัฐบาลปัจจุบันที่มีการพัฒนาแหลมฉบังและพยายามเชื่อมการขนส่งมาลงที่แหลมฉบัง) ส่วนใหญ่มองแต่การขนส่งภาคพื้นดิน แต่การขนส่งสินค้นในโลกนี้กว่า 90% ใช้เรือเป็นพาหนะในการขนส่ง มันควรจะมีการสนับสนุนการขนส่งด้านนี้อย่างจริงจัง ประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศสร้างตัวจากอุตสาหกรรมทางทะเล เช่นญี่ปุ่น จีน เกาหลี สิงคโปร์ ล้วนมีความก้าวหน้าด้านนี้ และเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการ ถ้ายังไม่มีการคิดค้นการขนส่งที่ถูกกว่า และเยอะกว่าเรือได้ วงการนี้ก็ยังมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกไปอีกนาน รัฐบาลควรลงมาจริงจังด้านนี้บ้าง สนับสนุนอุตสาหกรรมต่อเรือ ซ่อมทำเรือ การกระจายสินค้า และอื่นๆให้มากกว่าที่เป็นอยู่

ปล. ถ้าพาดพิงผู้ใดขออภัยด้วยครับ ถ้าต้องการให้ลบก็หลังไมค์มาได้นะครับ
ความคิดเห็นที่ 4
สวัสดีครับ
   1.ผมมองว่าการที่ไม่สามารถออกไปตลาดโลกได้คือเรื่อง ของ nationality ครับ คนไทยมีความสามารถและภาษาครับ และไม่ใช่เพราะเจ้าท่า
      อาชีพนี้ของคนไทยเป็นส่วนน้อยในตลาดโลกครับ น้อยมาก เทียบกับจีน ปิน อินเดีย รัซเซีย ที่กินส่วนแบ่งมาก
   2.ในไทยมีบริษัท  crew management น้อยครับ ถ้าอยากตีตลาด สิงคโปค์ อินเดีย walk in เลยครับ บริษัทแนวนี้เพียบ แล้วมีคนไปและได้งาน
      ด้วยนะครับ
   3.ตลาดโลกไม่ได้ขาด manpower อย่างรุนแรงครับ ปี 2015 ในระดับ Officers มี shortage 2.1 % ครับ ถือว่าขาดนะครับแต่ไม่ได้รุนแรงนะครับ  
      ที่รุนแรงคือการ surplus ในตลาดไทยครับ Surplus แบบไม่มีคุณภาพด้วยนะครับ
   4.ผมว่าทุกการเรียนจบมาไม่มีตกงานหรอกครับ ถ้าPerspective ทำงานอะไรก็ได้ ทำธุรกิจ ทำ SME แต่ผม Paradigm ถ้าคุณเรียน Officer คุณก็
      ต้องเป็นOfficer อาจจะดูโลกแคบไปหน่อย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำงานในรูปแบบอื่นไม่ได้นะครับ คุณไม่ได้ถูกเรียนมาในสาขาที่สามารถ
      ไปประยุกต์ใช้กับงานได้หลายประเภท เพราะฉนั้นงานค่อนข้างเฉพาะและจำกัดครับ
   5.เลิกมี attitude ว่าอาชีพนี้มันเจ๋ง มันเสียสละ ลำบาก ดีกว่าอาชีพอื่น ผมมองว่ามันก็เหมือนกับอาชีพอื่นแหละครับ เป็นอาชีพที่มีความเสี่ยง
      high risk high return ครับ
   6. ชอบคำพูดของอาจารย์เฉลิมชัยครับ ที่ว่า "ทุกอาชีพไม่มีไส้แห้ง ที่ไส้แห้งเพราะมันกระจอก" มันเป็นแรงผลักดันได้ดีมากเลยนะในการต่อสู้
       และพัฒนาตัวเองในที่ถูกที่ถูกเวลา
   6. เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวครับ ไม่ได้ตำหนิเจ้าของกระทู้หรือคนที่เข้ามาอ่าน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่