
สวัสดีครับ
สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้วันเสาร์ MC แอ๊ด (หวางเจ๋)) ประจำการครับ ^^
บอลโลกจบไปแล้ว เราก็กลับเข้าสู่โหมดเดิม MC แอ๊ดก็จะหาเรื่องอะไรแปลกๆมาให้ได้อ่านกัน บางทีก็อาจจะชวนดูหนังบ้างอะไรบ้าง ตามเรื่องตามราวแล้วแต่อารมณ์จะพาไปครับ ^^
วันนี้ไปเจอเรื่องประหลาดมาเรื่องหนึ่ง จึงนำมาแชร์ต่อให้ได้อ่านกัน เป็นเหตุการณ์ความตายที่เป็นปริศนา ซึ่งมีชื่อเรียกว่า
The dyatlov pass incident
The dyatlov pass incident เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับนักปีนเขาและนักสกีจำนวน 9 คนซึ่งได้เสียชีวิตลงอย่างเป็นปริศนาบนภูเขา
ดยัตลอฟ โดยตั้งอยู่ที่เทือกเขา
อูราล และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงหาคำตอบไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่ โดยในการผจญภัยของพวกเขาในครั้งมีจุดหมายปลายทางคือภูเขา
โอทอร์เทน (Otorten) โดยจะต้องใช้ระยะทางราว 6 ไมล์ในการเดินทาง ซึ่ง
โอทอร์เทน (Otorten) นั้นเป็นภาษาพื้นเมืองของชาว
Mansi ที่มีความหมายว่า
ภูเขาของคนตาย แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่สามารถไปถึงยังที่หมายนั้นได้

การผจญภัยของพวกเขาในครั้งนี้ มีผู้นำคือ
อิกอร์ ดยัตลอฟ ชายชาวรัสเซียซึ่งในขณะนั้นเขามีอายุเพียง 23 ปี และเพื่อนร่วมคณะในการเดินทางครั้งนี้รวมทั้งสิ้น 10 คน

โดยแต่ละคนนั้นไม่ใช่มือใหม่แต่อย่างใด พวกเขาเหล่านี้ผ่านประสบการณ์ในการปีนเขามาอย่างโชกโชน และก่อนออกผจญภัย พวกเขาได้มาถึงยังหมู่บ้าน
วิซไฮโดยที่แห่งนี้เป็นหมู่บ้านสุดท้าย ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มต้นผจญภัยขึ้นเขา
โดยที่ไม่รู้เลยว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาในการเดินทางครั้งนี้

ด้วยความโชคดีหรือความบังเอิญของหนึ่งในคณะเดินทางแต่
ยูริ ยูดิน หนึ่งในผู้ร่วมเดินทางได้เกิดการป่วยขึ้นอย่างกะทันหันในวันที่ 28 มกราคม เขาจึงจำเป็นต้องถูกทิ้งไว้ที่หมู่บ้านก่อนที่คณะเดินทางคนอื่นๆ จะผจญภัยต่อไปบนเขา ยูริ จึงกลายเป็นผู้โชคดีเพียงคนเดียวในคณะเดินทางนี้ที่มีชีวิตรอดจากเหตุการณ์ปริศนาในครั้งนี้

คณะเดินทางที่เหลือเดินทางมาถึง
ภูเขา Kholat Syakhl ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ซึ่งชื่อภูเขาลูกนี้ได้เปลี่ยนชื่อในภายหลังเป็น
ภูเขาดยัตลอฟ (Dyatlov) ตามชื่อของผู้นำทีม
อิกอร์ ดยัตลอฟ (Igor Dyatlov) เพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้

และสถานที่แห่งนี้เองที่พวกเขาจะต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ย่ำแย่เป็นอย่างมาก พวกเขาต้องเจอกับพายุหิมะที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้พวกเขามองไม่เห็นทางข้างหน้าและหลงทาง

ในที่สุด ทั้ง 9 คนจึงตัดสินใจที่จะตั้งแคมป์เพื่อรอให้พายุหิมะนั้นหยุดลง แต่ถึงอย่างนั้นก็มีหลายคนตั้งข้อสังเกตในการตั้งแคมป์ในครั้งนี้ของพวกเขา
เพราะจากจุดที่พวกเขาได้ตั้งแคมป์นั้น ห่างจากป่าเพียง 1.5 กิโลเมตรเท่านั้น แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่ตั้งแคมป์ในป่า เนื่องจากมีความอบอุ่นที่มากกว่าพื้นที่โล่ง ???

จนกระทั่งถึงกำหนดการกลับของคณะเดินทางทั้ง 9 คนในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ แต่ในวันนั้นทั้งวัน กลับไร้ซึ่งวี่แววว่าจะมีใครเดินทางลงมาจากภูเขา อย่างไรก็ตาม เรื่องความล่าช้าในการเดินทางนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ ทำให้เพื่อนๆ ที่มานั่งเข้าเน็ตเปิดเว็บ
www.truecorp.co.th รอคอยการกลับมาของพวกเขา และทำใจรอ
จนถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ จึงค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้นอย่างแน่นอน เหล่าหน่วยกู้ภัยจึงได้เริ่มออกสำรวจคณะเดินทางของดยัฟลอฟทันที
จนในที่สุด วันที่ 26 กุมภาพันธ์ เหล่าหน่วยกู้ภัยก็ได้พบกับเต็นท์ของคณะเดินทาง แต่สิ่งที่หน่วยกู้ภัยพบคือเต็นท์ที่อยู่ในสภาพยับเยิน และมีร่องรอยของการฉีกขาดที่มาจากด้านใน

สิ่งของต่างๆ ยังคงอยู่ในเต็นท์ แต่ผู้ร่วมชะตากรรมทั้ง 9 คน ไม่มีใครยังคงอยู่ในเต็นท์นั้นเลยแม้แต่คนเดียว หน่วยกู้ภัยจึงเริ่มค้นหาร่องรอยโดยรอบบริเวณนั้นจนไปในป่า
และในที่สุดก็พบกับร่างของคณะเดินทาง 2 คนที่เหลือเพียงชุดชั้นใน นอนเป็นศพจมอยู่ภายใต้หิมะ พร้อมกับซากกองไฟที่เคยให้ความอบอุ่นกับพวกเขา

มันทำให้เกิดคำถามขึ้นทันทีว่า
เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาจึงทำให้เต็นท์อยู่ในสภาพเช่นนั้น ? และทำไม 2 คนนี้ถึงได้เหลือแต่ชุดชั้นใน ? รวมถึงกิ่งไม้สนที่หักอยู่บริเวณใกล้เคียงที่เป็นของต้นสนสูง 5 เมตร (ทำไมถึงหักลงมา ?) มีการสันนิษฐานว่า พวกเขาคนใดคนหนึ่งคงจะปีนขึ้นไปเพื่อตรวจสอบอะไรบางอย่าง และในบริเวณใกล้เคียงกันนั้นเอง หน่วยกู้ภัยก็ได้พบกับศพของคณะเดินทาง 3 คน ที่ดูเหมือนว่าเขาทั้ง 3 คนกำลังเดินกลับไปที่เต็นท์
โดยทั้งหมดที่พบนี้ ปราศจากร่องรอยบาดแผล สาเหตุที่เสียชีวิตคือความหนาวเย็น
หน่วยกู้ภัยยังคงทำงานต่อไป และในที่สุด 2 เดือนหลังจากนั้น ในวันที่ 4 พฤษภาคม ก็ได้พบกับ 4 คนที่เหลือเป็นศพจมอยู่ภายใต้หิมะที่หนา 4 เมตรในป่า โดยภายนอกร่างกายของพวกเขาปราศจากร่องรอยบาดแผล แต่พวกเขาได้รับความบอบช้ำภายในอย่างรุนแรง กะโหลกร้าวและซี่โครงหัก แพทย์ที่ชันสูตรศพให้ความเห็นว่า สภาพที่เกิดขึ้นนี้ เกิดจากการถูกกระแทกอย่างรุนแรงโดยเฉียบพลันเช่นการถูกรถชน (มันไม่มีรถ แล้วอะไรชน ?) และที่น่าแปลกคือ 1 ในสมาชิกถูกพบว่า ลิ้นได้หายไป (หายไปได้อย่างไร ? ใคร หรืออะไรทำ ???)
สิ่งที่น่าสงสัยคือทั้ง 4 ศพที่พบภายหลังนั้นแต่งกายด้วยเสื้อกันหนาวปกติ แตกต่างจาก 5 ศพแรกที่พบ และที่สำคัญคือ การตรวจพบว่า เสื้อผ้าของพวกเขา ปนเปื้อนสารกัมมันตภาพรังสีที่เข้มข้น อีกด้วย (แล้วสารกัมมันตภาพรังสีเข้มข้นที่ว่านั่น มาจากไหน ???)
คดีนี้ถูกปิดเป็นความลับในปี 1959 ทั้งเอกสารคดีและรูปถ่ายถูกเก็บไว้ จนกระทั่งใน 30 ปีต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 1990 จึงได้ถูกนำมาเปิดเผยอีกครั้ง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นคดีการตายที่มีความลึกลับที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ ยังคงไม่มีใครสามารถอธิบายสาเหตุการตายที่แท้จริงได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเต็นท์ที่ถูกกรีดจากภายใน ร่างกายที่ไม่มีรอยแผล แต่บอบช้ำภายใน กลางภูเขาหิมะ ทำไมถึงมีแต่ชุดชั้นใน และทำไมถึงมีสารกัมมันตภาพรังสีที่เข้มข้นบนเสื้อผ้าของพวกเขา ???

ขอบคุณข้อมูลที่มาจาก:
http://allmysteryworld.blogspot.com/2018/04/dyatlov-pass-incident.html#ixzz5LsNeIlnu
เรื่องราวความตายปริศนานี้ ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วยครับ โดยใช้ชื่อ
The dyatlov pass incident เช่นเดียวกัน โดย Renny Harlin ผู้ที่เคยกำกับเรื่องดัง DIE HARD 2 และ CLIFFHANGER มาแล้ว

ใครสนใจอยากดูลองหาจากยูทูปดูนะครับ MC เผอิญเคยซื้อแผ่น DVD ไว้ด้วยสิ เห็นท่าต้องค้นหามาเปิดดูอีกซักที ^^
พบกันวันพรุ่งนี้อีก 1 วันครับ 

ห้องเพลง**คนรากหญ้า**พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสีไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียงเพลง 21/7/2561 - มรณะปริศนาแห่งรัสเซีย
บอลโลกจบไปแล้ว เราก็กลับเข้าสู่โหมดเดิม MC แอ๊ดก็จะหาเรื่องอะไรแปลกๆมาให้ได้อ่านกัน บางทีก็อาจจะชวนดูหนังบ้างอะไรบ้าง ตามเรื่องตามราวแล้วแต่อารมณ์จะพาไปครับ ^^
วันนี้ไปเจอเรื่องประหลาดมาเรื่องหนึ่ง จึงนำมาแชร์ต่อให้ได้อ่านกัน เป็นเหตุการณ์ความตายที่เป็นปริศนา ซึ่งมีชื่อเรียกว่า The dyatlov pass incident
The dyatlov pass incident เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับนักปีนเขาและนักสกีจำนวน 9 คนซึ่งได้เสียชีวิตลงอย่างเป็นปริศนาบนภูเขาดยัตลอฟ โดยตั้งอยู่ที่เทือกเขาอูราล และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงหาคำตอบไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่ โดยในการผจญภัยของพวกเขาในครั้งมีจุดหมายปลายทางคือภูเขาโอทอร์เทน (Otorten) โดยจะต้องใช้ระยะทางราว 6 ไมล์ในการเดินทาง ซึ่ง โอทอร์เทน (Otorten) นั้นเป็นภาษาพื้นเมืองของชาว Mansi ที่มีความหมายว่า ภูเขาของคนตาย แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่สามารถไปถึงยังที่หมายนั้นได้
การผจญภัยของพวกเขาในครั้งนี้ มีผู้นำคือ อิกอร์ ดยัตลอฟ ชายชาวรัสเซียซึ่งในขณะนั้นเขามีอายุเพียง 23 ปี และเพื่อนร่วมคณะในการเดินทางครั้งนี้รวมทั้งสิ้น 10 คน
โดยแต่ละคนนั้นไม่ใช่มือใหม่แต่อย่างใด พวกเขาเหล่านี้ผ่านประสบการณ์ในการปีนเขามาอย่างโชกโชน และก่อนออกผจญภัย พวกเขาได้มาถึงยังหมู่บ้านวิซไฮโดยที่แห่งนี้เป็นหมู่บ้านสุดท้าย ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มต้นผจญภัยขึ้นเขา โดยที่ไม่รู้เลยว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาในการเดินทางครั้งนี้
ด้วยความโชคดีหรือความบังเอิญของหนึ่งในคณะเดินทางแต่ ยูริ ยูดิน หนึ่งในผู้ร่วมเดินทางได้เกิดการป่วยขึ้นอย่างกะทันหันในวันที่ 28 มกราคม เขาจึงจำเป็นต้องถูกทิ้งไว้ที่หมู่บ้านก่อนที่คณะเดินทางคนอื่นๆ จะผจญภัยต่อไปบนเขา ยูริ จึงกลายเป็นผู้โชคดีเพียงคนเดียวในคณะเดินทางนี้ที่มีชีวิตรอดจากเหตุการณ์ปริศนาในครั้งนี้
คณะเดินทางที่เหลือเดินทางมาถึงภูเขา Kholat Syakhl ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ซึ่งชื่อภูเขาลูกนี้ได้เปลี่ยนชื่อในภายหลังเป็น ภูเขาดยัตลอฟ (Dyatlov) ตามชื่อของผู้นำทีม อิกอร์ ดยัตลอฟ (Igor Dyatlov) เพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
และสถานที่แห่งนี้เองที่พวกเขาจะต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ย่ำแย่เป็นอย่างมาก พวกเขาต้องเจอกับพายุหิมะที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้พวกเขามองไม่เห็นทางข้างหน้าและหลงทาง
ในที่สุด ทั้ง 9 คนจึงตัดสินใจที่จะตั้งแคมป์เพื่อรอให้พายุหิมะนั้นหยุดลง แต่ถึงอย่างนั้นก็มีหลายคนตั้งข้อสังเกตในการตั้งแคมป์ในครั้งนี้ของพวกเขา เพราะจากจุดที่พวกเขาได้ตั้งแคมป์นั้น ห่างจากป่าเพียง 1.5 กิโลเมตรเท่านั้น แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่ตั้งแคมป์ในป่า เนื่องจากมีความอบอุ่นที่มากกว่าพื้นที่โล่ง ???
จนกระทั่งถึงกำหนดการกลับของคณะเดินทางทั้ง 9 คนในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ แต่ในวันนั้นทั้งวัน กลับไร้ซึ่งวี่แววว่าจะมีใครเดินทางลงมาจากภูเขา อย่างไรก็ตาม เรื่องความล่าช้าในการเดินทางนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ ทำให้เพื่อนๆ ที่มานั่งเข้าเน็ตเปิดเว็บ www.truecorp.co.th รอคอยการกลับมาของพวกเขา และทำใจรอ จนถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ จึงค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้นอย่างแน่นอน เหล่าหน่วยกู้ภัยจึงได้เริ่มออกสำรวจคณะเดินทางของดยัฟลอฟทันที
จนในที่สุด วันที่ 26 กุมภาพันธ์ เหล่าหน่วยกู้ภัยก็ได้พบกับเต็นท์ของคณะเดินทาง แต่สิ่งที่หน่วยกู้ภัยพบคือเต็นท์ที่อยู่ในสภาพยับเยิน และมีร่องรอยของการฉีกขาดที่มาจากด้านใน
สิ่งของต่างๆ ยังคงอยู่ในเต็นท์ แต่ผู้ร่วมชะตากรรมทั้ง 9 คน ไม่มีใครยังคงอยู่ในเต็นท์นั้นเลยแม้แต่คนเดียว หน่วยกู้ภัยจึงเริ่มค้นหาร่องรอยโดยรอบบริเวณนั้นจนไปในป่า และในที่สุดก็พบกับร่างของคณะเดินทาง 2 คนที่เหลือเพียงชุดชั้นใน นอนเป็นศพจมอยู่ภายใต้หิมะ พร้อมกับซากกองไฟที่เคยให้ความอบอุ่นกับพวกเขา
มันทำให้เกิดคำถามขึ้นทันทีว่า เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาจึงทำให้เต็นท์อยู่ในสภาพเช่นนั้น ? และทำไม 2 คนนี้ถึงได้เหลือแต่ชุดชั้นใน ? รวมถึงกิ่งไม้สนที่หักอยู่บริเวณใกล้เคียงที่เป็นของต้นสนสูง 5 เมตร (ทำไมถึงหักลงมา ?) มีการสันนิษฐานว่า พวกเขาคนใดคนหนึ่งคงจะปีนขึ้นไปเพื่อตรวจสอบอะไรบางอย่าง และในบริเวณใกล้เคียงกันนั้นเอง หน่วยกู้ภัยก็ได้พบกับศพของคณะเดินทาง 3 คน ที่ดูเหมือนว่าเขาทั้ง 3 คนกำลังเดินกลับไปที่เต็นท์ โดยทั้งหมดที่พบนี้ ปราศจากร่องรอยบาดแผล สาเหตุที่เสียชีวิตคือความหนาวเย็น
หน่วยกู้ภัยยังคงทำงานต่อไป และในที่สุด 2 เดือนหลังจากนั้น ในวันที่ 4 พฤษภาคม ก็ได้พบกับ 4 คนที่เหลือเป็นศพจมอยู่ภายใต้หิมะที่หนา 4 เมตรในป่า โดยภายนอกร่างกายของพวกเขาปราศจากร่องรอยบาดแผล แต่พวกเขาได้รับความบอบช้ำภายในอย่างรุนแรง กะโหลกร้าวและซี่โครงหัก แพทย์ที่ชันสูตรศพให้ความเห็นว่า สภาพที่เกิดขึ้นนี้ เกิดจากการถูกกระแทกอย่างรุนแรงโดยเฉียบพลันเช่นการถูกรถชน (มันไม่มีรถ แล้วอะไรชน ?) และที่น่าแปลกคือ 1 ในสมาชิกถูกพบว่า ลิ้นได้หายไป (หายไปได้อย่างไร ? ใคร หรืออะไรทำ ???)
สิ่งที่น่าสงสัยคือทั้ง 4 ศพที่พบภายหลังนั้นแต่งกายด้วยเสื้อกันหนาวปกติ แตกต่างจาก 5 ศพแรกที่พบ และที่สำคัญคือ การตรวจพบว่า เสื้อผ้าของพวกเขา ปนเปื้อนสารกัมมันตภาพรังสีที่เข้มข้น อีกด้วย (แล้วสารกัมมันตภาพรังสีเข้มข้นที่ว่านั่น มาจากไหน ???)
คดีนี้ถูกปิดเป็นความลับในปี 1959 ทั้งเอกสารคดีและรูปถ่ายถูกเก็บไว้ จนกระทั่งใน 30 ปีต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 1990 จึงได้ถูกนำมาเปิดเผยอีกครั้ง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นคดีการตายที่มีความลึกลับที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ ยังคงไม่มีใครสามารถอธิบายสาเหตุการตายที่แท้จริงได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเต็นท์ที่ถูกกรีดจากภายใน ร่างกายที่ไม่มีรอยแผล แต่บอบช้ำภายใน กลางภูเขาหิมะ ทำไมถึงมีแต่ชุดชั้นใน และทำไมถึงมีสารกัมมันตภาพรังสีที่เข้มข้นบนเสื้อผ้าของพวกเขา ???
ขอบคุณข้อมูลที่มาจาก: http://allmysteryworld.blogspot.com/2018/04/dyatlov-pass-incident.html#ixzz5LsNeIlnu
เรื่องราวความตายปริศนานี้ ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วยครับ โดยใช้ชื่อ The dyatlov pass incident เช่นเดียวกัน โดย Renny Harlin ผู้ที่เคยกำกับเรื่องดัง DIE HARD 2 และ CLIFFHANGER มาแล้ว
ใครสนใจอยากดูลองหาจากยูทูปดูนะครับ MC เผอิญเคยซื้อแผ่น DVD ไว้ด้วยสิ เห็นท่าต้องค้นหามาเปิดดูอีกซักที ^^
พบกันวันพรุ่งนี้อีก 1 วันครับ