คู่เล่ห์เคียงรัก ตอนที่ 8

กระทู้สนทนา
ภายในห้องทำงานของสุเมธ แขกผู้ลึกลับกลับไปได้สักพักแล้วแต่ลายครามยังนั่งเอ้เตตรงที่เดิม เหลือบมองเจ้าของห้องผู้ครองพื้นที่แถวโซฟาด้านข้าง

“ไอ้เมธ เมื่อครู่นี้น่ะ...”

“ชู่” สุเมธจุปาก “เพื่อป้องกันความลับแพร่งพราย ฉันไม่อยากพูดอะไรอีกจนกว่าเรื่องจะชัดเจนกว่านี้”

“ขี้กังวลไปแล้ว ในนี้มีแค่เราสองคน”

สุเมธเพียงเลิกคิ้วสูง เพื่อนสนิทจึงยักไหล่ “เออๆๆ ตามใจ ก็ดันตกลงกันแต่ต้นแล้วว่าด้านธุรกิจให้อำนาจแก ส่วนบริษัทเป็นหน้าที่ฉัน”

“และช่วงนี้แกก็บริหารบริษัทได้ดีมากเลยนี่”

“กำลังจะบอกอะไรวะ” วัวสันหลังหวะชักร้อนตัว “ถ้าหมายถึงเจ้านกสองหัวที่ฉันเป็นคนรับเข้ามา ฉันก็ขอโทษแล้วไง”

พนักงานทรยศผู้นำความลับบริษัทไปขายนับเป็นรอยด่างในการเลือกคนของลายคราม  คิดถึงทีไรล้วนเจ็บใจทุกครา แต่แม้ไม่อาจเอาผิดทางกฎหมายเพื่อป้องกันชื่อเสียงเสียหาย ลายครามก็ยังจัดการจนมั่นใจว่าคนไร้ยางอายนั่นจะไม่มีที่ยืนในวงการเป็นครั้งที่สอง!

“เรื่องลูกน้องโกงฉันบอกหลายครั้งแล้วว่าไม่ใช่ความผิดแก เลิกขอโทษเถอะน่า ฉันอยากพูดถึงเด็กเส้นของแกที่ฝ่ายบัญชีมากกว่า ทำงานสะเพร่าจนหัวหน้าฝ่ายโวยวายมาสักพักแล้ว”

“อ๋อ” ลายครามลากเสียงยาว “เมื่อสองเดือนก่อนฉันยังไม่รู้จักลูกพี่ลูกน้องคนนี้ด้วยซ้ำ จนแม่แนะนำแล้วฝากเข้าอมรานี่แหละ รับเด็กเส้นของแม่ทีไรวุ่นวายตลอด ต่อไปจะบอกที่บ้านตรงๆ ว่าไม่เอาแล้ว”

“อย่ารุนแรงเลย เดี๋ยวทะเลาะกันซะเปล่า”

ลายครามหน้าตึง “พูดไปก็เบื่อพวกญาติๆ ว่ะ ฉันแค่ยืมเงินกงสีมาลงทุนที่นี่และใช้คืนหมดแล้ว ยังจะทวงบุญคุณอยู่นั่นแหละ โอเคว่าพวกญาติฉันมีหุ้นในอมราอยู่ แต่จำนวนหุ้นเท่าแมวดมแล้วดันชอบอ้างกับคนอื่นว่าเป็นเจ้าของอมราข้ามหน้าข้ามตาแก มันเกินทนจริงๆ”

“ฉันไม่ถือ”

“แต่ฉันถือโว้ย เพราะแกก็มีสิทธิในอมราเท่าๆ กับฉัน รวมญาติคราวหน้าต้องพูดให้รู้เรื่อง”

นิสัยสุเมธชอบเก็บตัวร่วมงานสังคมน้อย กระทั่งงานของบริษัทก็มักดันลายครามออกหน้า ส่วนตัวเองคอยดูแลเบื้องหลัง ถ้าไม่ใช่คนในวงการจริงๆ มักคิดกันว่าลายครามเป็นเจ้าของอมราคนเดียว โดยเฉพาะพวกญาติของหนุ่มเพล์บอยที่ชอบเกาะชื่อเสียงอมราเพื่อความสะดวก หลายครั้งก็ทำเป็นลืมว่าสุเมธมีตัวตนด้วยซ้ำ

“อย่าพูดจารุนแรงจนครอบครัวทะเลาะกันเลย” สุเมธย้ำ “บอกแล้วญาติแกฉันรับได้หมด อ้อ...ยกเว้นตั่วเฮียแกไว้คนนะ”

มงคล...ตั่วเฮียหรือพี่ชายคนโตของลายครามเป็นไม้เบื่อไม้เมากับสุเมธมาแต่ไหนแต่ไร เริ่มจากที่เขาเคยชี้หน้าด่าสุเมธข้อหาหลอกลวงตอนลายครามไปขอเงินกงสีมาลงทุน สุเมธก็พยายามอดทนจนก่อตั้งอมราสำเร็จ มิหนำซ้ำพอบริษัทเริ่มมีชื่อเสียงมงคลกลับขอมาร่วมบริหารด้วยหน้าตาเฉย ยุ่มย่ามทุกวิถีทางจนสุเมธเหลืออดเพราะนอกจากทำบริษัทวุ่นวายยังแอบหาทางเลื่อยขาเก้าอี้เสียด้วย กว่ามงคลจะรู้ตัวก็โดนเตะโด่งจากอมราชนิดก้นไม่ทันหายร้อนด้วยซ้ำ สองคนเลยเกลียดขี้หน้ากันนับแต่นั้น

งานนี้ลายครามเข้าข้างเพื่อนเต็มที่ เพราะตั่วเฮียเองก็ไม่เคยเห็นหัวน้องชายอย่างเขาเหมือนกัน

หนุ่มเพล์บอยส่ายหัว “อย่าพูดชื่อตั่วเฮียให้อารมณ์เสียเลยว่ะ ส่วนเจ้าเด็กบัญชีนั่นฉันจัดการเอง จะไม่ให้เกิดปัญหาเป็นครั้งที่สอง”

“จะว่าไป เด็กเส้นของแม่แกก็ยังดีกว่าของพ่อแกเยอะ”

คราวนี้ลายครามถึงกับไหล่ลู่หมดแรง “นึกแล้วละเหี่ย อีหนูพ่อคราวก่อนทำตัวซะอย่างกะเป็นคุณนายที่นี่ งานการไม่เอา”

“แล้วพอแกไล่เธอออก พ่อไม่โกรธเรอะ” ช่วงนั้นเป็นตอนที่พวกเขาเพิ่งทราบเรื่องโดนขโมยไอเดีย สุเมธจึงยุ่งจนไม่มีเวลาใส่ใจนัก

ลายครามหัวเราะลั่นทว่าดวงตาไม่ยิ้มด้วย “ที่ไหนได้ พ่อเลยถือโอกาสเลิกกับเธอไปควงอีหนูใหม่ซะเลย นี่แหละพ่อฉัน!”

สุเมธรู้จักครอบครัวเพื่อนดีจนไม่อยากโต้ตอบให้ลายครามอารมณ์เสียกว่าเดิม พ่อกับแม่ฝ่ายนั้นหย่ากันทางพฤตินัยมาหลายปีแล้ว แต่ยังคงสถานะทางกฎหมายเพราะผลประโยชน์ในกิจการของตระกูล เป็นส่วนหนึ่งให้ลายครามเบื่อจนอยากสร้างธุรกิจตัวเองขึ้นมา

สำหรับความสัมพันธ์ในครอบครัวนั้นลายครามเข้าข้างมารดามาตลอด แต่นิสัยส่วนตัวของเขากลับเจ้าสำราญเหมือนพ่อ ต่างแค่หนุ่มเพล์บอยรู้จักให้เกียรติผู้หญิง ถ้าคบใครก็จะมีทีละคน ทว่าเปลี่ยนบ่อยหน่อยเพราะฝ่ายหญิงไม่ค่อยเชื่อใจเสียมากกว่า

“แต่อีหนูเก่าของพ่อไม่เลิกราแค่นั้น” ลายครามยังบ่นต่อ “ตอนไล่ออกฉันพูดกล่อมและให้เงินทดแทนเยอะหน่อยเพราะขี้เกียจมีปัญหา ดันคิดเอาเองว่าฉันมีใจให้ ตามตื๊อถึงคอนโดฯ จนแฟนฉันเข้าใจผิดขอเลิก ซวยบรม!”

“นั่นสิ ก็สงสัยอยู่ว่าแกเลิกกับแฟนทำไม”

“แล้วไม่รู้จักถาม”

“ถามบ่อยหลายคนแล้วว่ะ ชักเบื่อ” สุเมธไม่สะท้านยามเพื่อนชักสีหน้าใส่ “แฟนแกจะเข้าใจผิดก็สมควร คนมันมีประวัติ”

“ไม่ต้องมาเยาะเย้ย ที่ฉันต้องทำแบบนี้มันเพราะแกทั้งนั้น”

คนโดนโบ้ยความผิดขมวดคิ้ว “เกี่ยวอะไรด้วย”

“ผู้ชายสองคนทำธุรกิจเครื่องสำอางด้วยกัน คนเขามองว่าคู่เกย์แหงๆ แล้วแกดันไม่สนใจผู้หญิงอีก ฉันถึงต้องแสดงความแมนให้โลกรู้” ลายครามแกล้งเหน็บด้วยรู้ดีว่าสาเหตุที่เพื่อนสนิทยังโสดจนปัจจุบัน เพราะสาวๆ ต่างโบกมือลาหลังอีกฝ่ายทำแต่งานจนไม่เหลือเวลาให้

“ไอ้เวร อ้างเข้าข้างตัวเองตลอด” สุเมธชักยิ้มไม่ออก

“ไม่อยากปล่อยฉันอ้างแบบนี้ก็หัดหาแฟนบ้างสิโว้ย ถ้าเจอผู้หญิงที่แกคิดถึงยิ่งกว่างานได้จริงน่ะนะ”

“คงยาก อย่างมากก็อาจแค่คิดถึงเธอและงานไปพร้อมๆ กันละมั้ง”

“จะมีเหรอวะผู้หญิงแบบนั้น”

แปลก...จู่ๆ สุเมธกลับหวนระลึกถึงเงาร่างระหงที่เคยแหงนมองในยามค่ำของคืนหนึ่ง เพิ่งรู้ว่าภาพนั้นช่างติดตาตรึงใจ...สลัดไม่หลุดเสียที

ลายครามขมวดคิ้วที่เพื่อนดันใจลอยกลางวงสนทนา แต่ไม่ทันจะซักก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อน ตามด้วยหนุ่มน้อยคนหนึ่งเยี่ยมหน้าเข้ามายกมือไหว้ทั้งคู่

“สวัสดีครับอาเมธ อาคราม”

“อ้าว เจ้าพฤกษ์ มาๆ มานั่งข้างอาครามนี่”

ลายครามทักหลานชายเพื่อนอย่างสนิทสนม ฟากสุเมธก็เอ่ยลอยๆ “ไหนนัดเพื่อนไว้กลับเย็นไม่ใช่รึ ทำไมจู่ๆ โผล่มาที่นี่”

พฤกษ์เกาะประตูยิ้มแหย “ผม...เอ่อ มีเรื่องอยากปรึกษา ไม่สิ...เรียกสารภาพจะดีกว่า”

สุเมธหรี่ตา ลายครามเห็นบรรยากาศเริ่มไม่ค่อยดีจึงว่า “อย่ามาอำน่าพฤกษ์ เด็กดีอย่างเรามีอะไรต้องสารภาพ แต่ถ้าอยากปรึกษาก็หาถูกคนแล้ว มีพวกอาอยู่ด้วยปัญหาอะไรก็จิ้บจ้อย”

พฤกษ์พาร่างสูงโย่งสมกับอดีตนักกีฬาบาสเก็ตบอลสมัยมัธยมมานั่งข้างลายคราม ทั้งช่วงไหล่บึกบึนและสันกรามชัดเหมือนชายหนุ่มเต็มตัว คงมีเพียงดวงตาซื่อๆ ที่ยังบ่งถึงความอ่อนเดียงสา

“ผม...คือผมคบผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ครับ”

ลายครามตบบ่าหนุ่มน้อยดังป้าบ “ใช้ได้นี่หว่า อยากรู้เคล็ดลับวิธีเอาใจสาวไหมล่ะ รับรอง...เด็ด!”

“มะ...ไม่ต้องหรอกครับ” พฤกษ์กลืนน้ำลาย “แต่ผู้ปกครองเธอไม่ชอบผม สั่งให้เราเลิกกัน”

“ไหงงั้น รึพฤกษ์ริคบสาวอายุต่ำกว่าสิบแปด ระวังคุกนะโว้ย”

“มะ...ไม่ครับไม่ใช่ เธอเรียนปีหนึ่งมหา’ ลัยเดียวกับผมนี่แหละ แต่อาสาวของเธอว่าเราไม่เหมาะกัน”

“ใครมันความคิดเต่าล้านปีขนาดนั้น ความรักเป็นสิ่งสวยงามจะกีดกันให้คนเขาด่าทำไม เมื่อกี้บอกอาสาวเรอะ ฮ่าๆๆ ผู้หญิงความคิดทึนทึกแบบนี้ต้องให้อาครามออกโรงเอง ใครที่ไหนล่ะอารู้จักไหม เดี๋ยวช่วยพูดให้”

พล่ามเยอะๆ ชักคอแห้ง ลายครามเลยยกกาแฟขึ้นจิบ พฤกษ์ค่อยมีโอกาสเอ่ยบ้าง

“พวกอารู้จักแน่ครับ คุณธีร์วราเจ้าของลายหงส์นั่นไง ผม...ผมคบกับป่านหลานสาวเธออยู่”

ลายครามพ่นกาแฟพรวด นัยน์ตานิ่งเรียบของสุเมธพลันเกิดประกายวาบ พฤกษ์ก้มหน้าหลบสายตาคมกริบของญาติผู้ใหญ่ เอ่ยอ้อมแอ้ม

“ผมขอโทษครับ”

“เฮ้ยๆ แค่ขอโทษเรื่องมันไม่จบหรอกนะ” ลายครามเพิ่งตั้งตัวติดเริ่มโวยวาย “ห้าม! อาไม่ให้คบกับพวกศัตรูเด็ดขาด”

“ความรักเป็นสิ่งสวยงามจะกีดกันให้คนเขาด่าทำไม” สุเมธพูดลอยๆ แต่ลายครามฟังแล้วเต้น

“หนอย...ย้อนคำชาวบ้านกวนประสาทเหรอวะ” ด่าจบเพิ่งเอะใจ “ไหงแกเฉยได้ขนาดนี้ รึว่ารู้อยู่ก่อนแล้ว”

สุเมธนิ่วหน้า ขี้เกียจอธิบายว่าที่ไม่ตื่นเต้นเพราะเตรียมใจไว้ตั้งแต่ตอนพฤกษ์อ้ำอึ้งบอกมีเรื่องจะสารภาพต่างหาก “นี่มันหลานฉันนะ ถ้าแค่เรื่องที่พฤกษ์แอบคบสาวล่ะก็พอรู้อยู่”

หนุ่มน้อยสะดุ้ง “รู้ได้ไงครับ”

“จากคนเงียบๆ นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คุยโทรศัพท์ส่งข้อความทั้งวัน ไม่รู้สิแปลก” เพียงแต่ตอนนั้นนึกว่าหลานริคบแฟนตามประสาวัยรุ่น จึงไม่สนใจนัก “เอาเถอะ ในเมื่อความแตกแล้วก็เล่ามาให้หมดเปลือกเลยดีกว่า เริ่มต้นกันได้ยังไง”

“ผมเป็นสมาชิกชมรมค่ายอาสาฯ ของมหา’ ลัย ส่วนป่านพอสอบติดก็มาสมัครเข้าชมรมทีหลัง ตอนแรกเราดูแลกันแบบรุ่นพี่รุ่นน้อง แล้วถูกชะตาจนคบกัน”
“เฉยๆ อย่างพฤกษ์นี่จีบสาวก่อนเรอะ” ลายครามซัก

“ไม่เชิงจีบหรอกครับ แต่ตอนนั้นเราสนิทไปไหนด้วยกันบ่อย จนวันหนึ่งป่านบ่นว่ามีคนในคณะชอบมาเกาะแกะ เธอลำบากใจไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ผม...ผมหวงเธอครับ เลยบอกว่าชอบแล้วขอคบ ป่านดีใจมาก...ผมก็ดีใจ”

ลายครามส่ายหัว ไอ้หนูเอ๊ย...โดนมารยาสาวหลอกให้สารภาพรักยังไม่รู้ตัว เขาคันปากยิบๆ แต่เห็นสายตาสุเมธมองปรามมาจึงเสพูดไปอีกทาง

“ตอนขอคบรู้ไหมว่าเธอเป็นคนของลายหงส์”

พฤกษ์ปฏิเสธเสียงหลง “ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้คงไม่ได้สนิทกันแต่ต้นหรอกครับ ผมมาเอะใจหลังคบได้สักเดือน ตอนไปรับป่านที่คณะเจอเธอกำลังแจกสินค้าตัวอย่างของลายหงส์ให้สาวๆ กลุ่มเบ้อเร่อ ผมเลยซักจนได้ความ ตอนที่รู้มัน...มัน...” เขาซบหน้ากับฝ่ามือ “มันเหมือนโลกถล่มต่อหน้าต่อตาเลย ผมเคว้งไปหมดจนป่านตกใจ เลยตัดสินใจบอกความจริงและขอเลิกกับเธอ”

ลายครามเลิกคิ้ว “นี่ตกลงเรายังคบหรือเลิกแล้ว”

พฤกษ์กัดริมฝีปาก หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตอนนั้นเขายุติความสัมพันธ์กับปานเรขาได้ราวสัปดาห์ กำลังหดหู่จนไม่อยากแม้แต่ขยับตัว อดีตคนรักกลับติดต่อเข้ามาหา

“พี่พฤกษ์มาพบป่านหน่อยนะคะ ตรงที่เดิมของเรา”

พฤกษ์กัดฟันกรอด กว่าคำพูดจะหลุดจากปากช่างยากเย็น “พี่ว่าเราอย่าพบกันอีกเลย”

เสียงสะอื้นลอยแว่ว “ถ้าพี่พฤกษ์ไม่มา ป่านจะฆ่าตัวตาย!”

หล่อนตัดสายไปดื้อๆ หนุ่มน้อยตกใจสุดระงับ รีบแจ้นจากบ้านไปถึงตึกที่ตั้งชมรมค่ายอาสาพัฒนาชนบท หลังตึกมีพื้นที่ก่อนถึงรั้ว ต้นไม้ในกระถางพุ่มดกหนาบังสายตาภายนอกจากที่ว่างด้านใน บางทีคนในชมรมก็ปูเสื่อตั้งวงสังสรรค์แต่ส่วนใหญ่จะถูกปล่อยทิ้ง ทว่าปานเลขากลับชอบมาคุยกับเขาที่นี่

ยามนั้นสาวน้อยยืนอยู่ข้างต้นพิกุล สองตาบวมแดงแต่ยังมองตรงมาที่เขา พฤกษ์ถอนหายใจ ก้าวไปเช็ดคราบน้ำตาซึ่งเปื้อนแก้มบอบบางอย่างเบามือ

“อย่าทรมานตัวเองแบบนี้สิ”

“พี่พฤกษ์จำได้ไหมตอนขอคบป่านที่นี่...พี่เคยพูดอะไรไว้”

หนุ่มน้อยชะงัก ทิ้งแขนลงราวหมดแรง “รักของพี่ก็เหมือนไม้ไร้ดอก มันอาจโตช้าและไม่ฉูดฉาด แต่เมื่อหยั่งรากมั่นคงแล้วจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ”

“นี่หรือคะ รักมั่นคงของพี่พฤกษ์”

ให้หล่อนหยิบมีดแทงเขาตรงๆ ยังไม่เจ็บเท่านี้ “ลายหงส์คือศัตรูของอมรา รักเราไม่มีวันเป็นจริงได้หรอก”

“ถ้ามันคือรักของเราแล้วเกี่ยวอะไรกับคนอื่นละคะ” ปานเรขายกมือกุมหน้าอก “ตั้งแต่ฟังคำบอกเลิกในนี้ก็ทรมานเจียนตาย เวลาป่านเจ็บมีใครในลายหงส์หรืออมรามาเจ็บร่วมกับป่านไหม มีไหมคะ!”

พฤกษ์ผวาเข้าดึงร่างตรงหน้ามากอดแนบอก “พี่ไง ป่านเจ็บ...พี่เจ็บมากกว่า”

“ป่านไม่เอานะ” หล่อนปล่อยโฮกับหน้าอกเขา “ไม่ขอแยกจากพี่พฤกษ์ไปไหนอีก ไม่เอาแล้ว!”

หนุ่มน้อยไม่พูดอันใดสักคำ แต่อ้อมแขนแข็งแรงนั่นพลันกระชับแน่นยิ่งกว่าเดิม

*****
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่