กว่าจะติดเภสัชที่นอร์เวย์ กับความฝันที่อยากเป็นหมอ

สวัสดีจ้า เราชื่อน้ำฝนนะ ตอนนี้เราอยู่ที่ประเทศนอร์เวย์ เราอยู่ที่นี่มาจะเกือบ 6 ปีแล้ว วันนี้เรามีประสบการณ์ของเราที่ในการเรียนที่นี่มาแชร์ และทำไงเราถึงติดเภสัชที่นี่ เพราะหวังว่าประสบการณ์ของเราจะเป็นประโยชน์ให้กับคนที่สนใจจะมาเรียนที่นอร์เวย์ หรือคนที่กำลังท้อกับการเรียน เพราะกว่าเราจะมาถึงตรงนี้เราก็ผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกัน
ก่อนอื่นถ้าภาษาไทยเราเขียนแปลกหรือผิดต้องขอโทษด้วยนะคะ กระทู้นี้จะเล่าแค่เรื่องเรียนนะคะ แต่อาจไม่ได้ลงรายละเอียดมาก
เรามาเริ่มกันเลย
เราย้ายมาอยู่นอร์เวย์หลังจากที่เราจบ ม.3 ที่ประเทศไทย เราเรียนที่ยโสธรพิทยาคม จ.ยโสธร (คนลาวเด้อจ้า)

.. แม่เราแต่งงานกับคนนอร์เวย์และอยากให้เรามาเรียนที่นี่ แม่เราทำวีซ่าก่อนที่เราจะจบ ม.3 แต่พอจบก็รอวีซ่า 1 ปี เพราะเอกสารไม่ครบ พอวีซ่าผ่านเราก็ย้ายมานอร์เวย์เลย ตอนนั้นปี 2012 ตอนนั้นตื่นเต้นมากๆ
ก่อนที่เราจะเข้าเรื่องเรียน เราขอบอกพื้นฐานของเราก่อนว่า ตอนอยู่ที่ไทยการเรียนเราค่อนข้างจะดี และสำหรับภาษาอังกฤษเราก็พอรู้บ้าง เพราะแข่งทักษะทางภาษาอังกฤษบ่อยตอนเรียนประถม

เรามาอยู่ที่เมือง Flisa ใน Hedmark พอเรามาถึงนอร์เวย์ เรารอประมาณ 3 เดือนกว่าจะได้เข้าเรียนคอร์สเรียนภาษานอร์เวย์ เราได้เรียนภาษาฟรีนะคะเพราะย้ายมากับครอบครัว ตอนก่อนจะมามัวแต่ดีใจเรื่องย้ายมาที่นี่ เลยไม่ค่อยได้นึกถึงเรื่องภาษาเท่าไหร่ พอเข้าคอร์สเรียนเท่านั้นแระจ้า รู้ซึ้งถึงใจเลย ภาษาที่นี่เขาใช้ภาษานอร์เวย์กันนะคะ ซึ้งจะต่างจากภาษาอังกฤษพอสมควรเลย ถึงเราจะรู้ภาษาอังกฤษ แต่ก็ใช้เวลาระยะนึงในการปรับตัวกับสำเนียงฝรั่ง เพราะเราก็ไม่ได้เคยคุยกับชาวต่างชาติบ่อยเท่าไหร่ โรงเรียนที่เราเรียนจะเป็นโรงเรียนสำหรับชาวต่างชาติที่ย้ายมาอยู่นอร์เวย์ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนอายุราว 25 อัพ

คอร์สเรียนภาษานอร์เวย์ก็จะเริ่มจากการเรียนพื้นฐานเลย เหมือนมานั่งเป็นเด็กอนุบาลใหม่ ท่อง ABCD แล้วเราก็ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะปรับการพูด การอ่านให้เป็นแบบสำเนียงนอร์เวย์ เพราะเรายังติดพูดและอ่านเป็นภาษาอังกฤษ สิ่งที่ทำให้เราเรียนภาษานอร์เวย์ได้ไวคือ เราเริ่มจากการมานั่งอ่านแกรมม่า และทำแบบสรุปด้วยตัวเอง เพราะถ้าเรารู้พื้นฐานของมันและ ก็เหลือแต่การต่อยอด และเรียนศัพท์เพิ่ม ประโยชน์ของการเริ่มจากการทำความเข้าใจแกรมม่าคือ เราจะได้ไม่งงว่า รูปแบบประโยคมันเป็นแบบนี้ได้ยัง ทำไมถึงมีคำนี้เพิ่มขึ้นมา ขณะที่เราเรียนภาษา เราก็มีโอกาสได้ไปโรงเรียนแบบมัธยมปลายบ้าง เพื่อเราจะได้คุ้นเคยกับชีวิตใน รร มัยธยมที่นี่ ซึ่งทาง รร ที่เราเรียนภาษาเป็นคนจัดการให้ทุกอย่าง
อันนี้รูปตอนไปใหม่ๆ ไป camp กับรูปครูสอน หัวเราะ
และพอเราเรียนภาษาไปได้สักพัก ครูเขาก็จะมาคุยกับเราว่าเราเรียนเป็นไงบ้าง และมาถามเราว่าเราอยากเรียนต่ออะไร เพราะเขาก็จะได้ทำเรื่องให้เราถูก ครูที่นี่เขาใส่ใจนักเรียนทุกคนมาก เราบอกกับครูว่าเราอยากเป็นหมอ (อย่าพึ่งงงไปนะคะ ว่าทำไมหัวข้อถึงเป็นเภสัช เรื่องยาวนึดนึง ) และเพราะเราอยากเป็นหมอ เราไม่สามารถเข้า รร มัธยมปลายได้เลย เพราะภาษาเราต้องแน่นกว่านี้ พอเราเรียนภาษาไปได้สัก 6-9 เดือน (เราจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่) เราก็ได้เข้าคอร์สที่เรียกว่า Grunnskole เป็นเหมือนแบบคอร์สเด็ก ม.3 ที่โรงเรียนที่นี่นะคะ เพื่อเรียนภาษาให้แน่น การเรียนก็เหมือนเรียนทั่วไปเลย มีวิชาเหมือนใน รร. แต่ที่นี่เขาจะมีแค่ วิชาภาษานอร์เวย์ อังกฤษ คณิต วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ประมาณนี้นะคะ จะไม่เรียนเยอะเท่าที่ไทย

พอเริ่มเรียน ก็ถึงจุดเปลี่ยนเลยค่ะ เรามาอยู่ได้ไม่ถึงปี ภาษาก็ไม่แน่นเท่าไหร่ เข้าเรียนแรกๆ แทบไม่เข้าใจเลยว่าครูพูดอะไร แต่เราก็ไปเรียนทุกวันนะคะ และเพราะนิสัยของเราที่เป็นคนแบบอะไรยากๆ เราจะชอบทำ เราจะไม่ยอมได้เกรดแย่ๆ แน่ๆ พอกลับบ้านมาเราจะทำตารางเรียนเลยค่ะ ว่าวันนี้เราควรอ่ายอะไรบ้าง แต่ช่วงนั้นยังไม่ค่อยจริงจังเท่าไหร่ เกรดที่นี่สูงสุดคือ 6 นะคะ แล้วเวลาสอบจะเป็นแบบเขียนกับพูดเท่านั้น คือคนที่ได้ก็ได้ คนที่ไม่ได้ก็ไม่ได้เลยค่ะ เขาจะสอบทุกครั้งเวลาเราเรียนบทนั้นๆเสร็จ จะไม่มีสอบปลายภาคหรืออะไรแบบที่ไทยนะคะ คือจบบทแล้วสอบเลย

แต่การเรียนที่นี่จะดีอย่างนึงคือ ครูเขาใส่ใจมาก คือเราจะเรียนแต่เนื้อหาเน้นๆ ไม่มีการจดแบบเอาเป็นเอาตายนะคะ ไม่มีรายงานหรือโครงงานอะไรแบบที่ไทยเลย การบ้านก็มีบ้างเพื่อให้เราได้ทบทวน ครูที่นี่เขาจะไม่กดดันเด็ก อย่างเช่นเวลาเราตอบไม่ถูก ครูจะไม่ว่าเราผิดนะคะ แต่เขาจะพูดอ้อมให้เราได้คิด และช่วยแนะให้เรา ทำให้เรารู้สึกว่าเราใกล้เคียงคำตอบ แค่อาจจะต้องคิดเพิ่มอีกนึดนึง เวลาเราสอบ อย่างเช่นวิชาคณิต ถึงเราตอบไม่ถูก แต่เราพยายามที่จะหาคำตอบ เราก็ได้คะแนนนะคะ อาจจะแบบ 1/3 เพื่อให้เรามีกำลังใจในการเรียน ครูจะทำให้เรารู้สึกมีความสุขเวลามา รร ค่ะ ไม่มีความกดดันอะไรเลย ถึงเราทำงานไม่เสร็จ เราแค่บอกครู ครูก็เข้าใจ เด็กที่นี่ถึงเขาจะมีอิสระมาก แต่เวลาเรียน ทุกคนจะตั้งใจเรียนนะคะ แทบไม่มีลอกงานกันเลย

ช่วงแรกที่เรียนฝนก็จะเน้น อ่านจำอย่างเดียวเลย เพราะภาษายังไม่แน่น แบบว่าจะสอบบทนี้วิชาวิท เราก็จะทำสรุปแล้วท่องจำเลย วิธีนี้หนักและเสี่ยง เพราะเราไม่รุ้ว่าครูจะถามเกี่ยวกับอะไร หรือเน้นเรื่องไหน แต่มันก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนั้น คือเพราะเราเดาไม่ได้ ก็เลยจำทุกอย่างเลย แต่ถ้าครูจะเน้นเรื่องไหนเรื่องนึง อย่างน้อยเราก็ได้ตอบบ้าง อาจจะไม่ลึก แต่ได้คะแนนสักนิดก็ยังดี วิชาที่เราทำได้ดีที่สุดคือ คณิต เพราะที่นี่เรียนคณิตไม่หนักเท่าไทย คือ ม.3 ของเขา อาจจะเท่ากับคณิต ม.1 ที่ไทยงี้ และที่นี่เราสามารถใช้เครื่องคิดเลขได้นะคะ เวลาสอบข้อสอบจะมี 2 ชุด ข้อสอบง่าย กับยาก เรียนว่า part 1 and part 2 หรือภาษานอร์เวย์ว่า Del 1 og Del 2. ชุดแรกนิง่าย เราไม่สามารถใช้ตัวช่วยได้นะคะ ชุด 2 เราสามารถใช้ได้ทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคิดเลข หนังสือ แต่ยกเว้นอินเตอร์เนต ถึงจะง่าย แต่จะได้ 6 ไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ เพราะคณิต ทุกอย่างต้องเป๊ะมาก และผิดได้ไม่เกิน 2-3 คะแนนเท่านั้น ถึงจะได้ 6 ภาษาถือว่าเป็นตัวสำคัญเหมือนกัน เพราะถ้าเราไม่เข้าใจโจทย์ เราก็จะไม่รู้ว่าหาคำตอบยังไง ยากสุดคือความน่าจะเป็น เพราะต้องภาษาโหดมากกกก เทอมแรก เกรดเราวิชาทั่วไปจะอยู่ที่ 3-4 แต่คณิตอยู่ที่ 5 พอเข้าเทอมที่ 2 เราก็ตั้งใจเรียนมากขึ้น เพราะเรารู้สึกว่าเราสามารถทำได้ดีกว่านี้ และถ้าเราอยากเป็นหมอ เกรดแค่นี้ เราไม่ได้เป็นแน่ๆเลย พอเทอม 2 เกรดก็ดีขึ้นค่ะ 5 อยู่ 2 วิชา ที่เหลือก็ 4 กับ3 นี่คือเกรดตอนจบมาค่ะ ถืออยู่ในระดับปานกลาง

เล่าเรื่องเรียนมาพอสมควรแล้ว ขอเล่าเรื่องชีวิตที่นี่บ้างนะคะ สำหรับวัยรุ่นอายุ 17 การย้ายมาต่างประเทศช่วงแรก เราอาจจะตื่นเต้นกับชีวิตใหม่ แต่พออยู่ไปสักพัก มาแล้วค่ะน้ำตา เพราะภาษาที่ไม่เคยเรียนมาก่อน กับความฝันที่อยากเป็นหมอ มีท้อแน่นอนค่ะ พออยู่มาได้สักพัก ในช่วงที่เข้าเรียน ก็มีบ้างที่เราไม่อยากอยู่ที่นี่ เราอยากกลับบ้าน อยากกลับไปมีชีวิตแบบเดิม ชีวิตที่การเรียนเราดีกว่านี้ ชีวิตที่ไม่ใช่การไป รร แบบคนหูหนวก เป็นไบ้ แต่ก่อนตอนเราอยู่เมืองไทย เราเรียนได้ที่ 1 ทุกปีนะคะ ไม่เคยได้รับรู้กับความรู้สึกที่ว่าการเรียนแย่ๆเป็นยังไง แต่ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว ว่าคนที่เขาเรียนไม่ได้มันเป็นยังไง ถึงเราจะรู้ในสิ่งที่เราเรียน แต่เพราะภาษาเราไม่เก่ง มันก็ยากที่จะพูดหรืออธิบายกับครู ชีวิตใน รร มันไม่ได้สนุกอย่างที่เราคิดเลย เราได้มายืนอยู่ในจุดที่ล่างสุด ต้องได้พบกับผลการสอบที่เราทำได้ไม่ดี และต้องต่อสู้กับความรู้สึกตัวเองที่จะทำให้มันดีขึ้น เพราะอายุก็ 17 แล้ว แต่เรายังไม่ได้เข้า ม.4 เลย ก็มีบ้างค่ะ ที่ทุกข์ใจอยากกลับไปเรียนที่ไทย ร้องไห้บ่อยมาก ตอนนั้นก็ติดทอสับ เพราะที่นี่ก็แทบไม่มีเพื่อนเลย

พอเราจบ Grunnskole เราก็ได้เข้าเรียนที่ รร มัธยมปลาย ทุก รร ที่นี่เขาไม่มีสอบเพื่อจะเข้าเรียนนะคะ เกรดคือสิ่งที่สำคัญที่สุด คือเกรดเราต้องถึงมาตรฐานของ รร นั้นๆ เราถึงได้เข้าเรียน เราติดที่ Elverum videregående (Elverum high school) เพราะ รรใกล้บ้านไม่มีวิชาที่เราจะเรียน Elverum จะห่างจากบ้านเราประมาณ 1 ชั่วโมง by bus ปีแรก เรานั่งรถบัสไป-กลับทุกวันค่ะ พอเข้า รร จิงๆ ชีวิตก็เปลี่ยนไปอีกรูปแบบนึงค่ะ ได้เจอเพื่อน ก็ไม่ค่อยเครียนเท่าไหร่ ยิ่งพอได้เริ่มเรียน ก็ยิ่งชอบระบบการเรียนที่นี่มาก คือความรู้และความเข้าใจของนักเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญสุดค่ะ ที่นี่คุณครูจะพยายามสอนเราให้เข้าใจมากที่สุด ทุกเทอมครูจะมานั่งคุยกับนักเรียนแต่ละคน เพื่อถามว่าการเรียนเป็นยังไง ครูสอบเข้าใจมั้ย มีอะไรที่เราอยากให้ครูทำเพิ่มมั้ย และสังคมที่นี่ก็ดีนะคะ ทุกคนเขาจะไม่ล้อเลียนเรา เวลาเราทำผิด เขาจะคอยให้แต่กำลังใจ ไม่ซ้ำเติม เราเข้าเรียนสายสามัญถ้าเทียบกับไทยนะคะ ที่นี่เรียกว่า studiespesialisering คือ ม.4 ที่เราสามารถเลือกสายเรียนได้แล้วนะคะ แต่ละสายจะเรียนไม่เหมือนกัน เช่น คนที่อยากเป็นพยาบาล ก็จะเป็นสายพยายามบาล คณิตก็อาจจะไม่ยากกับสายสามัญประมาณนี้ค่ะ
เปิดเรียนจ้า ไม่รู้จักใครเลย

ปีแรก การเรียนเราก็ยังถือว่าอยู่ในระดับปานกลางอยู่ พอเราจบ ม.4 เราขอย้ายไปพักอยู่หอใกล้ รร เพราะไปกลับทุกวัน เราก็เรื่มเหนื่อยค่ะ เพราะงานก็เริ่มเยอะขึ้น แต่แม่ไม่อยากให้เราย้ายค่ะ และเรากับแม่ก็ไม่เคยอยู่ด้วยกันมาก่อน ฉะนั้นก็มีปัญหาการไม่เข้าใจ การปรับตัวบ่อยค่ะ ในช่วงปีแรก ที่ รร เขาก็จะมีหมอ สำหรับนักเรียนที่มีปัญหาอยากคุยกับใครสักคน เราเจอหมอแทบทุกเดือนค่ะ เพราะตอนนั้นชีวิตกดดันมาก ทั้งปัญหาที่บ้าน ปัญหาการปรับตัวกับสังคม การเรียนที่เราต้องทำให้ดี สุดท้ายเราก็ตัดสินใจย้ายค่ะ เราย้ายมาอยู่หอใกล้ รร ทุกคนอาจจะงงว่าแล้วเราได้จ่ายค่าหอมั้ย จ่ายค่ะ แต่รัฐบาลเป็นคนจ่าย คือนักเรียนทุกคนที่นี่จะได้เงินเดือน เหมือนทุนอ่ะค่ะ ทุกเดือน สำหรับค่าเรียน ค่ากิน ค่าที่พัก เราได้มากน้อย ขึ้นอยู่กับรายได้ที่บ้านค่ะ

พอเราย้ายมา และกำลังจะขึ้น ม.5 เราตัดสินใจเข้าเรียน IB (ib international baccalaureate) คือทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษนะคะ สำหรับนักเรียนที่อยากเรียนต่างประเทศ เพราะถ้าจบ IB เราสามารถสมัครได้แทบทุกมหาลัยและไม่ต้องสอบภาษาค่ะ IB จะต้องเรียน 2 ปีนะคะถึงได้ใบจบ ตอนแรกเราคิดว่าจะไปเรียนแพทย์ที่อังกฤษเลยเลือกเรียน IB (ที่นี่ยังจะไม่รอดเลย ยังจะไปอังกฤษไม่เจียมจริงๆ 55)


อันนี้เป็นรูปตอนไปทัศนศึกษาที่ลอนดอนค่ะ โรงเรียนพาไป 1 อาทิตย์
รูปสมัยลงหนังสือ 55
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่