ห้องโล่ง! ถ่ายทอดความรู้-เทคโนโลยีไฮสปีดไทย-จีน ส่อแห้ว ใช้งบอื้อ 17.3 ล้าน
https://www.matichon.co.th/economy/news_1046295
วันนี้ (17 ก.ค.) ความคืบหน้ากรณีการถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งเป็นข้อตกลงเรื่องหนึ่งในกรณีการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-โคราช หรือรถไฟไทย-จีน ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มก่อสร้างรางไปแล้วนั้น
ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานจากแหล่งข่าวด้านวิศวกรที่เกี่ยวข้อง เปิดเผยกับ
”มติชน”ระบุว่า ในขั้นตอนการถ่ายทอดเทคโนโลยี สภาวิศวกร ได้รับการร้องขอ จากรฟท. เข้ามาเป็นเจ้าภาพ ทำหน้าที่ไปเจรจาเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีรถไฟฟ้าความเร็วสูง ต่อมา สภาวิศวกรเป็นตัวแทนประเทศไปเจรจากับจีน จนได้บทสรุปเป็นโปรแกรมฝึกอบรมงานด้านออกแบบ โยธาฯ ก่อสร้าง ฯลฯ มาทั้งหมด 11 หลักสูตร ทั้งนี้ ทาง รฟท. มอบหมายสภาวิศวกรไปหาคนมาเข้ารับการฝึกอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีจากจีน แต่ไม่เกิดความชัดเจนด้านผู้รับการฝึกอบรม จนใกล้หมดสัญญา ด้านรฟท. กังวลว่าจะเลยเวลา จึงหาคนฝึกอบรมมาจัดการเอง ก่อนส่งหนังสือด่วนไปยังหน่วยงานต่างๆ ซึ่งในยอดผู้รับการฝึกอบรมทั้งหมด รฟท. ให้โควต้าสภาวิศวกรไว้ถึง 105 ที่นั่ง
สำหรับการอบรม เริ่มวันแรกตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค. ที่ผ่านมา ปรากฎว่าคนเข้าร่วมน้อยมาก โปรแกรมแรก เกี่ยวกับเรื่อง overview มีเก้าอี้สำหรับผู้เข้ารับฟังการอบรมถึง 250 ที่นั่ง โปรแกรมอื่นๆ 11 โปรแกรมๆ ละ 85 ที่นั่ง รวม 1,185 ที่นั่ง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ สภาวิศวกรไม่ส่งคนมาร่วมฝึกอบรมเลยแม้แต่คนเดียว ในขณะที่ห้องต่างๆ ที่เตรียมที่นั่งไว้ มีคนจากรฟท.เข้าราวๆ 20 กว่าคนเท่านั้น แหล่งข่าวระบุ
แหล่งข่าวระบุต่อว่า ในส่วนคนที่มาเข้าเรียนโปรแกรมต่างประมาณไม่เกิน 20 คน ได้ยินว่าส่งๆ กันมาโดยไม่ได้คัด และมานั่งฟังล่ามจีนแปล ก็อาจจะทำให้รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง หากเป็นเช่นนั้น ความหวังที่จะเป็นไปตามเป้าหมายว่าต้องการให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อให้ออกแบบเองได้ ก็จะไม่ได้ตามเป้าแน่ๆ
โดยประเด็นปัญหาสำคัญในการฝึกอบรมครั้งนี้ คือ สภาวิศวกรไม่ได้ทำอะไรผิด และ รฟท.ก็อาจจะไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยเหมือนกัน เพราะทางฝ่ายสภาวิศวกรมองว่าทำภารกิจในการออกแบบโปรแกรมฝึกเสร็จแล้ว ขณะที่ฝ่ายรฟท.ก็อยากให้ สภาวิศวกรเข้ามาดูแลจนจบ หาคนที่เหมาะสมมาเรียน เพราะขาดบุคลากรที่เชี่ยวชาญ
ทั้งนี้ รัฐบาลได้มีมติครม. ให้มีการจัดตั้ง
“หน่วยงานพิเศษ” (SPV, Special Purposed Vehicle) ที่เป็นอิสระจาก รฟท. มาเดินรถมากำกับการเดินรถ แต่เนื่องจากรถไฟฟ้าความเร็วสูงสร้างขึ้นบนเขตทางของ รฟท. (เพื่อให้โครงการเดินหน้าได้ไว ตัดปัญหาการเวนคืน) จึงมีการมอบหมายให้ รฟท. ดำเนินการ ปัญหาขณะนี้คือการขาดทีมที่จะบริหารหลักสูตร บริหารการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยเพิ่งมีรายงานว่าจะมีการประชุมกันในวันที่ 18 ก.ค. นี้ ที่กระทรวงคมนาคม ท่ามกลางการจัดอบรมที่กำลังจัดอยู่ และหากอ้างตามมติครม. ก็จะต้องตั้งตั้งแต่ภายในปี 2560 แล้ว
“หลักสูตรจึงถูกสร้างขึ้นจากหน่วยงานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแผนรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ดำเนินการโดยหน่วยงานที่คงจะไม่ได้ทำหน้าที่กำกับดูแลการเดินรถไฟฟ้าความเร็วสูง และในที่สุดก็เลือกเอาคนมาเข้ารับการฝึกอบรมโดยไม่มีแผนงานชัดเจนว่าอบรมแล้วมีภารกิจจะต้องไปทำอะไร” แหล่งข่าวระบุ
แหล่งข่าวยังระบุอีกว่าสำหรับขั้นตอนดังกล่าว นอกจากมีส่วนบรรยายแล้ว ยังมีส่วนในการดูงานต่างประเทศที่ประเทศจีน โดยทุกโปรแกรมที่ไปต่างประเทศมีการลงทะเบียนเต็มทุกโปรแกรม ต่างกับช่วงการเข้าฟังบรรยาย
แหล่งข่าวระบุต่อว่า นอกจากนี้การจัดกิจกรรมดังกล่าวยังใช้ค่าใช้จ่ายจำนวนมากอีกด้วย โดยใช้ค่าจัดฝึกอบรม จ้างวิทยากรจากจีน 12 ล้านบาท ในการจัดการช่วงการบรรยาย อีกส่วนเป็นขั้นตอนการดูงานที่จีน ใช้งบประมาณ 5.3 ล้านบาท โดยคนเข้าอบรม กับคนไปดูงาน เป็นคนละกลุ่ม ซึ่งโปรแกรมดูงานที่จีน รฟท.จัดคนเสร็จแล้ว
“ผมฟันธงเลยว่าสิ้นเปลือง เพราะในที่สุดไม่มีใครสามารถออกแบบได้ ไม่มี mission เป้าหมาย คนเหล่านี้ไม่เข้าใจว่า ถ่ายทอดเทคโนโลยี หมายถึงอะไร” แหล่งข่าวระบุ
“เสียดายเงินงบประมาณ แต่ผมเสียดายโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของช่างและวิศวกรไทยมากกว่า” แหล่งข่าวด้านวิศวกร กล่าวทิ้งท้าย
JJNY : ปฏิรูปดี๊ดี..ซี้จุกสูญ ห้องโล่ง! ถ่ายทอดความรู้-เทคโนโลยีไฮสปีดไทย-จีนฯ /สุดทน! ชาวสระแก้วทอดแหประชด ถนนพังฯ
https://www.matichon.co.th/economy/news_1046295
วันนี้ (17 ก.ค.) ความคืบหน้ากรณีการถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งเป็นข้อตกลงเรื่องหนึ่งในกรณีการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-โคราช หรือรถไฟไทย-จีน ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มก่อสร้างรางไปแล้วนั้น
ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานจากแหล่งข่าวด้านวิศวกรที่เกี่ยวข้อง เปิดเผยกับ”มติชน”ระบุว่า ในขั้นตอนการถ่ายทอดเทคโนโลยี สภาวิศวกร ได้รับการร้องขอ จากรฟท. เข้ามาเป็นเจ้าภาพ ทำหน้าที่ไปเจรจาเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีรถไฟฟ้าความเร็วสูง ต่อมา สภาวิศวกรเป็นตัวแทนประเทศไปเจรจากับจีน จนได้บทสรุปเป็นโปรแกรมฝึกอบรมงานด้านออกแบบ โยธาฯ ก่อสร้าง ฯลฯ มาทั้งหมด 11 หลักสูตร ทั้งนี้ ทาง รฟท. มอบหมายสภาวิศวกรไปหาคนมาเข้ารับการฝึกอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีจากจีน แต่ไม่เกิดความชัดเจนด้านผู้รับการฝึกอบรม จนใกล้หมดสัญญา ด้านรฟท. กังวลว่าจะเลยเวลา จึงหาคนฝึกอบรมมาจัดการเอง ก่อนส่งหนังสือด่วนไปยังหน่วยงานต่างๆ ซึ่งในยอดผู้รับการฝึกอบรมทั้งหมด รฟท. ให้โควต้าสภาวิศวกรไว้ถึง 105 ที่นั่ง
สำหรับการอบรม เริ่มวันแรกตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค. ที่ผ่านมา ปรากฎว่าคนเข้าร่วมน้อยมาก โปรแกรมแรก เกี่ยวกับเรื่อง overview มีเก้าอี้สำหรับผู้เข้ารับฟังการอบรมถึง 250 ที่นั่ง โปรแกรมอื่นๆ 11 โปรแกรมๆ ละ 85 ที่นั่ง รวม 1,185 ที่นั่ง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ สภาวิศวกรไม่ส่งคนมาร่วมฝึกอบรมเลยแม้แต่คนเดียว ในขณะที่ห้องต่างๆ ที่เตรียมที่นั่งไว้ มีคนจากรฟท.เข้าราวๆ 20 กว่าคนเท่านั้น แหล่งข่าวระบุ
แหล่งข่าวระบุต่อว่า ในส่วนคนที่มาเข้าเรียนโปรแกรมต่างประมาณไม่เกิน 20 คน ได้ยินว่าส่งๆ กันมาโดยไม่ได้คัด และมานั่งฟังล่ามจีนแปล ก็อาจจะทำให้รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง หากเป็นเช่นนั้น ความหวังที่จะเป็นไปตามเป้าหมายว่าต้องการให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อให้ออกแบบเองได้ ก็จะไม่ได้ตามเป้าแน่ๆ
โดยประเด็นปัญหาสำคัญในการฝึกอบรมครั้งนี้ คือ สภาวิศวกรไม่ได้ทำอะไรผิด และ รฟท.ก็อาจจะไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยเหมือนกัน เพราะทางฝ่ายสภาวิศวกรมองว่าทำภารกิจในการออกแบบโปรแกรมฝึกเสร็จแล้ว ขณะที่ฝ่ายรฟท.ก็อยากให้ สภาวิศวกรเข้ามาดูแลจนจบ หาคนที่เหมาะสมมาเรียน เพราะขาดบุคลากรที่เชี่ยวชาญ
ทั้งนี้ รัฐบาลได้มีมติครม. ให้มีการจัดตั้ง “หน่วยงานพิเศษ” (SPV, Special Purposed Vehicle) ที่เป็นอิสระจาก รฟท. มาเดินรถมากำกับการเดินรถ แต่เนื่องจากรถไฟฟ้าความเร็วสูงสร้างขึ้นบนเขตทางของ รฟท. (เพื่อให้โครงการเดินหน้าได้ไว ตัดปัญหาการเวนคืน) จึงมีการมอบหมายให้ รฟท. ดำเนินการ ปัญหาขณะนี้คือการขาดทีมที่จะบริหารหลักสูตร บริหารการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยเพิ่งมีรายงานว่าจะมีการประชุมกันในวันที่ 18 ก.ค. นี้ ที่กระทรวงคมนาคม ท่ามกลางการจัดอบรมที่กำลังจัดอยู่ และหากอ้างตามมติครม. ก็จะต้องตั้งตั้งแต่ภายในปี 2560 แล้ว
“หลักสูตรจึงถูกสร้างขึ้นจากหน่วยงานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแผนรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ดำเนินการโดยหน่วยงานที่คงจะไม่ได้ทำหน้าที่กำกับดูแลการเดินรถไฟฟ้าความเร็วสูง และในที่สุดก็เลือกเอาคนมาเข้ารับการฝึกอบรมโดยไม่มีแผนงานชัดเจนว่าอบรมแล้วมีภารกิจจะต้องไปทำอะไร” แหล่งข่าวระบุ
แหล่งข่าวยังระบุอีกว่าสำหรับขั้นตอนดังกล่าว นอกจากมีส่วนบรรยายแล้ว ยังมีส่วนในการดูงานต่างประเทศที่ประเทศจีน โดยทุกโปรแกรมที่ไปต่างประเทศมีการลงทะเบียนเต็มทุกโปรแกรม ต่างกับช่วงการเข้าฟังบรรยาย
แหล่งข่าวระบุต่อว่า นอกจากนี้การจัดกิจกรรมดังกล่าวยังใช้ค่าใช้จ่ายจำนวนมากอีกด้วย โดยใช้ค่าจัดฝึกอบรม จ้างวิทยากรจากจีน 12 ล้านบาท ในการจัดการช่วงการบรรยาย อีกส่วนเป็นขั้นตอนการดูงานที่จีน ใช้งบประมาณ 5.3 ล้านบาท โดยคนเข้าอบรม กับคนไปดูงาน เป็นคนละกลุ่ม ซึ่งโปรแกรมดูงานที่จีน รฟท.จัดคนเสร็จแล้ว
“ผมฟันธงเลยว่าสิ้นเปลือง เพราะในที่สุดไม่มีใครสามารถออกแบบได้ ไม่มี mission เป้าหมาย คนเหล่านี้ไม่เข้าใจว่า ถ่ายทอดเทคโนโลยี หมายถึงอะไร” แหล่งข่าวระบุ
“เสียดายเงินงบประมาณ แต่ผมเสียดายโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของช่างและวิศวกรไทยมากกว่า” แหล่งข่าวด้านวิศวกร กล่าวทิ้งท้าย