อยากให้ทุกคนอ่านดูค่ะ...📝📝📝📝📝📝
ในขณะที่คนบางกลุ่มในห้องนี้ยกย่องให้กำลังใจคนกล้าหาญในสายตาของพวกเขาที่เอาแต่ป่วนกระทู้ฝ่ายตรงข้าม
เพียงเพราะว่ามีความเห็นต่างทางการเมือง ยกประชาธิปไตยมาอ้างเหนือเหตุผลคนอื่น คิดว่าพวกเขาทำถูกต้องแล้ว
ไม่เห็นประโยชน์อันใดเลยที่จะทำสิ่งนี้อย่างบ้าคลั่ง นั่งเฝ้าป่วนทุกกระทู้ ของคนที่เกลียดชัง ราวกับเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติก่อน
และตั้งหน้าเสียเวลายอมผลิตล๊อกอินเป็นร้อยเป็นพันมาจ่ายแจกเพื่อทำภารกิจอันไร้เหตุผลยิ่งกว่าความคิดเด็กที่ยังไม่เดียงสา
หรือเอาแต่คุยกันเพื่อจะลบกระทู้ใครบ้าง เพื่อสร้างสถานการณ์ลบกระทู้ตัวเองบ้าง เพื่อทุกอย่างที่พวกเขาต้องการ
ในขณะที่คน คนหนึ่งมีความกล้าหาญในการเผชิญกับความเลวร้ายในห้องนี้
ทุกอย่างเพื่อความคิดฝันของตัวเองว่าสักวัน ความคิดนั้นจะถูกต้อง แสดงให้ทุกคนเห็นการวิเคราะห์คนและเหตุการณ์ในบ้านเมืองด้วยตัวของตัวเอง
ไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงอิงกลุ่ม
กลับถูกกล่าวหาว่าไม่มีใครเข้ามาเห็นด้วย อยู่อย่างโดดเดี่ยว หน้าด้านหน้าทนตั้งกระทู้ ทนถึก ราวกับอะไรสักอย่างที่พวกเขาอยากให้เป็น
คิดหรือไม่ว่า...คนบางคนมีจิตวิญญานของนักสู้ กล้าเผชิญสิ่งเลวร้าย ที่เข้ามาอย่างไม่เกรงกลัว
เพื่อแสดงความให้เห็นว่า...ความคิดของตัวเองมองอะไรถูกต้องไม่จำเป็นต้องเป็นแต่คนที่ลุ่มหลงประชาธิปไตยเท่านั้น
การตั้งกระทู้จึงมีความสำคัญจนกว่าจะบรรลุความคิดฝันว่าถูกหรือผิดระว่างประชาธิปไตยใช้อำนาจแฝงและเผด็จการรักชาติบ้านเมือง
ฝ่ายไหนที่สามารถนำพาบ้านเมืองมาสู่ความมั่นคง ยั่งยืน เป็นประชาธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริงได้ดีกว่ากัน
คนบางคนจึงความมุ่งมั่น อย่างไม่น่าเชื่อ....คนคนนั้นคือมาลารินนี่เอง...






ต่อไปนี้มาอ่านกันค่ะว่า คนบางคนเขามีความฝันอะไร มีความกล้าหาญ ในการจะเผชิญกับความเป็นความตายอันน่ากลัว
พวกเขามีหัวใจน่าศรัทธาแค่ไหน ทน อึดเพียงใด สมควรปรบมือให้ไปตลอดกาลนานชั่วฟ้าดินสลาย
เชิญอ่านเลยค่ะ...








2นักดำน้ำอังกฤษเผยเบื้องหลังปฏิบัติการช่วยหมูป่า 4ซีลไทย
16 ก.ค.61- Daily Mail สัมภาษณ์อีกสองนักดำน้ำอังกฤษที่ตามมาสบทบในปฏิบัติการ #พาทีมหมูป่ากลับบ้าน เขากล่าวเหมือนทุกคนว่าปฏิบัติการครั้งนี้มีโอกาสสูงที่จะมีคนตาย และนักดำน้ำไทยยังไม่มีประสบการณ์ในการดำน้ำในถ้ำ
Jason Mallinson และ Chris Jewell นักดำน้ำในถ้ำประสบการณ์สูงกล่าวตั้งแต่ต้นว่าเหล่านักดำน้ำจะพาเด็ก ๆ ทุกคนออกมา แต่มีโอกาสสูงที่จะมีคนตาย ซึ่งโชคดีที่ว่าสิ่งนั้นไม่เกิดขึ้น
เขาบอกว่าก่อนหน้าที่เจ้าหน้าที่ไทยวางแผนที่จะให้เด็ก ๆ อยู่ในถ้ำ รอจนน้ำลด แล้วค่อยเดินออกมา แต่จากหน้าฝนที่เข้ามา สุขภาพของเด็กที่แย่ลง และระดับของออกซิเจนที่น้อยลงเรื่อย ๆ ทำให้ถ้าปล่อยให้เด็กอยู่ในถ้ำถึง 4 เดือน พวกเขาจะไม่มีชีวิตรอดแน่นอน และความพยายามในการวางท่อออกซิเจนเข้าไปในถ้ำก็ล้มเหลว
Daily Mail เชื่อว่ายาที่ Dr. Richard Harris ให้กับเด็ก ๆ นั้นคือ Ketamine ซึ่งเป็นยากล่อมประสาทที่จะไม่ทำให้สลบ แต่จะทำให้ผู้ที่ได้รับตกอยู่ในภวังค์ (หรือที่ผู้เสพยาเสพติดนำมาใช้ในชื่อยา K)
เมื่อพวกเขามาถึงประเทศไทยและเริ่มภารกิจในวันที่ 6 ก.ค. นั้น ทั้งสองได้ใช้เวลาในวันแรกทำความคุ้นเคยกับการดำน้ำในถ้ำตั้งแต่โถง 3 ไปจนถึงเนินนมสาว ซึ่งเป็นการดำน้ำที่ยาวกว่า 1 กิโลเมตร และเต็มไปด้วยอุปสรรค รวมถึงช่องทางแคบต่าง ๆ ที่พร้อมจะทำให้ใครก็ตามตายได้ตลอด นอกจากนั้นพวกเขายังทำหน้าที่ทดสอบระดับของออกซิเจนในอากาศในที่ที่เด็ก ๆ อยู่ด้วย และพวกเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าคุณภาพอากาศแย่มาก ระดับออกซิเจนที่น้อย ความชื้นที่ทำให้เหงื่อออกตลอดเวลา ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่บนยอดเขาสูง
เมื่อกลับออกมา เสียงในหัวพวกเขาบอกว่านี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เห็นเด็ก ๆ มีชีวิตอยู่
และก็เป็น Jason Mallinson นี่เองที่นำสมุดโน้ตใต้น้ำไปกับตัวด้วย เขายื่นให้เด็ก ๆ เขียนจดหมายถึงผู้ปกครองเพื่อสร้างกำลังใจให้กับผู้ปกครองและตัวเด็กเอง พวกเขารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในการที่ต้องทิ้งเด็ก ๆ ไว้ที่นั่น แต่แม้กระนั้น เจ้าหน้าที่ของไทยก็ยังปฏิเสธข้อเสนอที่จะให้เด็ก ๆ ดำน้ำออกมา จนเมื่อการตายของจ่าเอกสมาน กุนัน (ยศในขณะนั้น) มาถึง เจ้าหน้าที่ไทยถึงยอมรับว่าการให้เด็กว่ายน้ำออกมาเป็นทางเลือกเดียวที่เป็นไปได้ แม้จะเป็นทางเลือกที่เสี่ยงที่สุดก็ตาม
และการตายของจ่าเอกสมาน กุนันก็ทำให้เจ้าหน้าที่ไทยตระหนักว่าพวกเขาโชคดีมากที่ส่งหน่วยซีลไปถึงที่อยู่ของเด็ก ๆ ได้โดยยังไม่มีใครตาย และการใช้นักดำน้ำต่างชาติเป็นทางเลือกเดียวในการช่วยเหลือเด็ก ๆ ออกมา และทำให้เจ้าหน้าที่ไทยตัดสินใจเลือกทางเลือกนี้ในที่สุด
British Cave Rescue Council (BCRC) จึงระดมนักดำน้ำในถ้ำมายังประเทศไทยเพิ่มเติมเพื่อปฏิบัติการครั้งสำคัญ หนึ่งในนั้นก็คือ Josh Bratchley ซึ่งพวกเขาจะทำหน้าที่ในการเปลี่ยนถังอากาศและพาเด็กสไลด์ข้ามเนินดินก่อนที่จะลงดำอีกครั้ง
Jason Mallinson และ Chris Jewell ยังเป็นสองในสี่นักดำน้ำที่ไปเตรียมเด็กให้พร้อมกับการดำ แม้ว่าเด็ก ๆ จะไม่มีโอกาสที่จะฝึกใช้หน้ากากก็ตาม พวกเขาให้เด็ก ๆ ใส่ Wetsuit ใส่หน้ากากเต็มหน้า และดูขอบกันน้ำให้พร้อม ก่อนให้เด็ก ๆ หันหน้าลง และพาดำลงน้ำไป
แต่พวกเขากล่าวว่า แม้ว่าจะเป็นผลจากยาด้วยที่ทำให้เด็ก ๆ ไม่ตกใจ แต่มันก็น่าแปลกใจมากที่เด็ก ๆ สงบนิ่งได้อย่างน่าประหลาด แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่นักดำน้ำก็ตาม นั้นแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญเป็นอย่างมากของเด็ก ๆ และพวกเขาไม่เห็นสัญญาณใดเลยที่เด็ก ๆ จะเกิดอาการตกใจ
การดำน้ำช่วงแรกเป็นการดำ 320 เมตร ต่อเนื่อง แต่โถงมีลักษณะกว้าง พวกเขาจะถามเด็ก ๆ โดยใช้ศัพท์ง่าย ๆ ว่าเด็ก ๆ โอเคไหมเพื่อทำให้พวกเขาใจเย็น เนื่องจากเด็ก ๆ รู้คำ #ภาษาอังกฤษ ไม่กี่คำ
ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ แต่โดยรวมแล้วนักดำน้ำ 1 คนจะเป็นผู้พาเด็ก ๆ ให้เคลื่อนที่ ซึ่งเด็กแต่ละคนจะมีเสื้อช่วยลอยตัวอยู่ซึ่งจะมีสายโยงที่ทำให้นักดำน้ำสามารถดึงเด็ก ๆ มากับตัวได้ และอีกมือหนึ่งจะต้องจับเชือกนำทางไว้ ถ้าปล่อยเชือก หมายความว่าทั้งนักดำน้ำทั้งเด็กจะหลงทาง
พวกเขารู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ชีวิตเด็ก ๆ อยู่ในมือพวกเขา จะต้องระวังไม่ทำให้หน้ากากของเด็ก ๆ หลุดออก ซึ่งมันเครียดมาก ในบางช่วงพวกเขาจะต้องดันเด็ก ๆ ผ่านช่องที่มีความแคบเพียง 15 นิ้วในขณะที่ยังต้องถือถังอากาศของทั้งเด็ก ๆ และของตัวเขาเอง ในน้ำที่มีทัศนวิสัยเหมือนกับการดำน้ำในกาแฟ และด้วยการที่พวกเขาอยากจะสัมผัสผนังถ้ำเพื่อให้รู้สึกได้ว่ามีอะไรอยู่รอบ ๆ ตัวเขา พวกเขาจึงตัดสินใจไม่สวมถุงมือ นั้นทำให้มือและข้อนิ้วของพวกเขาถูกกระทบเป็นอย่างมาก เหมือนกับการที่เอามือต่อยกำแพง
ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับอุปกรณ์ของเด็ก ๆ หรือดันเด็ก ๆ ไปกระแทกกับผนังถ้ำ เด็ก ๆ จะต้องตายอย่างแน่นอน เพราะพวกเขาทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการว่ายน้ำให้เร็วที่สุดเพื่อไปยังโถงอากาศต่อไป ซึ่งมันใช้เวลาราว 2 - 3 ชั่วโมงในการนำเด็กแต่ละคนผ่านส่วนนี้ส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่สหรัฐและไทย ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาจะเริ่มคุ้นเคยกับจังหวะการหายใจของเด็ก ๆ และสิ่งที่บ่งบอกว่าเด็ก ๆ ยังหายใจอยู่ก็คือฟองอากาศที่ลอยออกมาจากหน้ากากของเด็ก ๆ ที่พวกเขาสามารถได้ยินเสียงได้
ในวันสุดท้าย ทุกคนตระหนักว่าเวลาเหลือน้อยลงแล้ว และจำเป็นจะต้องนำเด็ก ๆ ที่เหลือ 5 คนออกมา ซึ่งทำให้ Jason Mallinson ต้องนำเด็กดำน้ำลงมา ส่งผ่านให้กับนักดำน้ำคนอื่น และว่ายย้อนกลับไปรับเด็กคนอื่นมาใหม่ เมื่อนำเด็กคนสุดท้ายดำลง ทัศนวิสัยแย่มากจนแม้แต่มือตัวเองก็มองไม่เห็น ทำให้พวกเขาต้องกอดเด็ก ๆ ไว้ใกล้กับตัวให้มากที่สุดเพื่อที่ว่าถ้าจะชนผนังถ้ำ พวกเขาจะได้เป็นคนชนก่อนที่เด็กจะชน
ในขณะที่ดำน้ำนำเด็ก ๆ ออกมา พวกเขาต้องทำใจให้สงบที่สุด แต่ในการนำเด็กคนสุดท้ายออกมา มันก็เริ่มช่วยไม่ได้ที่จะคิดว่าเราทำสำเร็จแล้วและเริ่มมีการจุก ๆ ในคอ จนเมื่อผู้ปกครองของเด็กเข้ามาขอบคุณพวกเขา นั่นก็ทำให้พวกเขาตื้นตันและน้ำตาคลอ
พวกเขายังกล่าวว่าพวกเขาแปลกใจที่หน่วยซีลของไทยใช้มาตรการความปลอดภัยที่ต่างจากนักดำน้ำต่างชาติอย่างสิ้นเชิง Jason Mallinson กล่าวว่าการ #ดำน้ำในถ้ำ ทำให้พวกเขาออกจาก Comfort zone และนั่นทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดอุบัติเหตุ พวกเขาไม่ได้ใช้วิธีการที่ถูกต้องและไม่มีอุปกรณ์ที่เหมาะสม เช่นในขณะที่นักดำน้ำในถ้ำจะมีอุปกรณ์สำรองและพกถังอากาศอย่างน้อยสองถัง ตัวปรับแรงดันสองตัว และไฟฉายสามอันเสมอ แต่พวกนักดำน้ำในถ้ำสังเกตุว่าหน่วยซีลมักจะใช้ถังอากาศและตัวปรับแรงดันแค่ตัวเดียว ซึ่งถ้าอุปกรณ์มีความผิดพลาด พวกเขาก็จะเจอปัญหา
และพวกเขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมากที่พบว่า #หน่วยซีล ทั้ง 4 นายนั้นไม่มีอากาศเพียงพอสำหรับขากลับ เพราะพวกเขาทำตามคำสั่งว่าให้ดำน้ำมาอยู่กับเด็ก ๆ จนจบเท่านั้น แต่ในระหว่างทางพวกเขาใช้อากาศจนหมด ทำให้นักดำน้ำในถ้ำทั้งสี่คนคือ Jason Mallinson, Chris Jewell, Rick Stanton, และ John Volanthen ต้องนำถังอากาศมาให้กับซีลทั้งสี่นายในขณะที่ดำน้ำมารับเด็ก ๆ ด้วย
แต่ Josh Bratchley กล่าวว่าภารกิจนี้ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่คิดไว้มาก สิ่งที่พวกเขาเรียนรู้ในปฏิบัติการนี้จะช่วยเหลือผู้คนมากมายที่อาจจะติดในถ้ำในอนาคต และย้ำว่าภารกิจนี้คือการทำงานเป็นทีมไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติใดก็ตาม
Daily Mail ยังชื่นชมว่าพวกนักดำน้ำในถ้ำแต่ละคนต่างปฏิเสธที่จะพูดว่าตัวเองเป็นฮีโร่หรือกล่าวถึงความกล้าหาญของตน แม้ว่าพวกเขาต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก สภาวะแวดล้อมที่เลวร้ายที่มีแค่ไม่กี่คนที่กล้าพอที่จะเข้าไปก็ตาม
เป็นการง่ายยิ้มได้ไม่ต้องฝืน
เมื่อชีพชื่นเหมือนบรรเลงเพลงสวรรค์
แต่คนที่ควรชมนิยมกัน
ต้องใจมั่นยิ้มได้เมื่อภัยมา
คนที่อ่าน เพชรพระอุมา ของพนมเทียน คงจำได้ว่าพระเอก รพินทร์ ไพรวัลย์ ปลอบใจนางเอกด้วยกวีบทนี้
ทว่าพนมเทียนไม่ได้แต่งกลอนบทนี้ มันเขียนโดยหลวงวิจิตรวาทการ!
ทว่าหลวงวิจิตรฯมก็แปลมาจากต้นฉบับภาษาอังกฤษอีกที ชื่อ Worth While เขียนโดยกวีชาวอเมริกัน Ella Wheeler Wilcox (1850 – 1919)
……………….
It is easy enough to be pleasant,
When life flows by like a song,
But the man worth while is one who will smile,
When everything goes dead wrong.
For the test of the heart is trouble,
And it always comes with the years,
And the smile that is worth the praises of earth
Is the smile that shines through tears.
……………….
ถ้าไม่คุ้นชื่อกวี ก็อาจคุ้นกับคำคมบทนี้
"Laugh, and the world laughs with you; weep, and you weep alone"
หัวเราะแลโลกจักหัวเราะกับท่าน
ร้องไห้ แลท่านร้องไห้คนเดียว
http://www.winbookclub.com/wormtalkdetail.php?topicid=2096
🌊~มาลาริน~ไม่มีอะไรน่าศรัทธาไปกว่านี้อีกแล้ว..เมื่อผู้เผชิญความตายแต่ละคนมีความกล้าหาญในหัวใจ เมื่ออยู่ในสถานการณ์วิกฤต
ในขณะที่คนบางกลุ่มในห้องนี้ยกย่องให้กำลังใจคนกล้าหาญในสายตาของพวกเขาที่เอาแต่ป่วนกระทู้ฝ่ายตรงข้าม
เพียงเพราะว่ามีความเห็นต่างทางการเมือง ยกประชาธิปไตยมาอ้างเหนือเหตุผลคนอื่น คิดว่าพวกเขาทำถูกต้องแล้ว
ไม่เห็นประโยชน์อันใดเลยที่จะทำสิ่งนี้อย่างบ้าคลั่ง นั่งเฝ้าป่วนทุกกระทู้ ของคนที่เกลียดชัง ราวกับเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติก่อน
และตั้งหน้าเสียเวลายอมผลิตล๊อกอินเป็นร้อยเป็นพันมาจ่ายแจกเพื่อทำภารกิจอันไร้เหตุผลยิ่งกว่าความคิดเด็กที่ยังไม่เดียงสา
หรือเอาแต่คุยกันเพื่อจะลบกระทู้ใครบ้าง เพื่อสร้างสถานการณ์ลบกระทู้ตัวเองบ้าง เพื่อทุกอย่างที่พวกเขาต้องการ
ในขณะที่คน คนหนึ่งมีความกล้าหาญในการเผชิญกับความเลวร้ายในห้องนี้
ทุกอย่างเพื่อความคิดฝันของตัวเองว่าสักวัน ความคิดนั้นจะถูกต้อง แสดงให้ทุกคนเห็นการวิเคราะห์คนและเหตุการณ์ในบ้านเมืองด้วยตัวของตัวเอง
ไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงอิงกลุ่ม
กลับถูกกล่าวหาว่าไม่มีใครเข้ามาเห็นด้วย อยู่อย่างโดดเดี่ยว หน้าด้านหน้าทนตั้งกระทู้ ทนถึก ราวกับอะไรสักอย่างที่พวกเขาอยากให้เป็น
คิดหรือไม่ว่า...คนบางคนมีจิตวิญญานของนักสู้ กล้าเผชิญสิ่งเลวร้าย ที่เข้ามาอย่างไม่เกรงกลัว
เพื่อแสดงความให้เห็นว่า...ความคิดของตัวเองมองอะไรถูกต้องไม่จำเป็นต้องเป็นแต่คนที่ลุ่มหลงประชาธิปไตยเท่านั้น
การตั้งกระทู้จึงมีความสำคัญจนกว่าจะบรรลุความคิดฝันว่าถูกหรือผิดระว่างประชาธิปไตยใช้อำนาจแฝงและเผด็จการรักชาติบ้านเมือง
ฝ่ายไหนที่สามารถนำพาบ้านเมืองมาสู่ความมั่นคง ยั่งยืน เป็นประชาธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริงได้ดีกว่ากัน
คนบางคนจึงความมุ่งมั่น อย่างไม่น่าเชื่อ....คนคนนั้นคือมาลารินนี่เอง...
ต่อไปนี้มาอ่านกันค่ะว่า คนบางคนเขามีความฝันอะไร มีความกล้าหาญ ในการจะเผชิญกับความเป็นความตายอันน่ากลัว
พวกเขามีหัวใจน่าศรัทธาแค่ไหน ทน อึดเพียงใด สมควรปรบมือให้ไปตลอดกาลนานชั่วฟ้าดินสลาย
เชิญอ่านเลยค่ะ...
2นักดำน้ำอังกฤษเผยเบื้องหลังปฏิบัติการช่วยหมูป่า 4ซีลไทย
16 ก.ค.61- Daily Mail สัมภาษณ์อีกสองนักดำน้ำอังกฤษที่ตามมาสบทบในปฏิบัติการ #พาทีมหมูป่ากลับบ้าน เขากล่าวเหมือนทุกคนว่าปฏิบัติการครั้งนี้มีโอกาสสูงที่จะมีคนตาย และนักดำน้ำไทยยังไม่มีประสบการณ์ในการดำน้ำในถ้ำ
Jason Mallinson และ Chris Jewell นักดำน้ำในถ้ำประสบการณ์สูงกล่าวตั้งแต่ต้นว่าเหล่านักดำน้ำจะพาเด็ก ๆ ทุกคนออกมา แต่มีโอกาสสูงที่จะมีคนตาย ซึ่งโชคดีที่ว่าสิ่งนั้นไม่เกิดขึ้น
เขาบอกว่าก่อนหน้าที่เจ้าหน้าที่ไทยวางแผนที่จะให้เด็ก ๆ อยู่ในถ้ำ รอจนน้ำลด แล้วค่อยเดินออกมา แต่จากหน้าฝนที่เข้ามา สุขภาพของเด็กที่แย่ลง และระดับของออกซิเจนที่น้อยลงเรื่อย ๆ ทำให้ถ้าปล่อยให้เด็กอยู่ในถ้ำถึง 4 เดือน พวกเขาจะไม่มีชีวิตรอดแน่นอน และความพยายามในการวางท่อออกซิเจนเข้าไปในถ้ำก็ล้มเหลว
Daily Mail เชื่อว่ายาที่ Dr. Richard Harris ให้กับเด็ก ๆ นั้นคือ Ketamine ซึ่งเป็นยากล่อมประสาทที่จะไม่ทำให้สลบ แต่จะทำให้ผู้ที่ได้รับตกอยู่ในภวังค์ (หรือที่ผู้เสพยาเสพติดนำมาใช้ในชื่อยา K)
เมื่อพวกเขามาถึงประเทศไทยและเริ่มภารกิจในวันที่ 6 ก.ค. นั้น ทั้งสองได้ใช้เวลาในวันแรกทำความคุ้นเคยกับการดำน้ำในถ้ำตั้งแต่โถง 3 ไปจนถึงเนินนมสาว ซึ่งเป็นการดำน้ำที่ยาวกว่า 1 กิโลเมตร และเต็มไปด้วยอุปสรรค รวมถึงช่องทางแคบต่าง ๆ ที่พร้อมจะทำให้ใครก็ตามตายได้ตลอด นอกจากนั้นพวกเขายังทำหน้าที่ทดสอบระดับของออกซิเจนในอากาศในที่ที่เด็ก ๆ อยู่ด้วย และพวกเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าคุณภาพอากาศแย่มาก ระดับออกซิเจนที่น้อย ความชื้นที่ทำให้เหงื่อออกตลอดเวลา ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่บนยอดเขาสูง
เมื่อกลับออกมา เสียงในหัวพวกเขาบอกว่านี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เห็นเด็ก ๆ มีชีวิตอยู่
และก็เป็น Jason Mallinson นี่เองที่นำสมุดโน้ตใต้น้ำไปกับตัวด้วย เขายื่นให้เด็ก ๆ เขียนจดหมายถึงผู้ปกครองเพื่อสร้างกำลังใจให้กับผู้ปกครองและตัวเด็กเอง พวกเขารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในการที่ต้องทิ้งเด็ก ๆ ไว้ที่นั่น แต่แม้กระนั้น เจ้าหน้าที่ของไทยก็ยังปฏิเสธข้อเสนอที่จะให้เด็ก ๆ ดำน้ำออกมา จนเมื่อการตายของจ่าเอกสมาน กุนัน (ยศในขณะนั้น) มาถึง เจ้าหน้าที่ไทยถึงยอมรับว่าการให้เด็กว่ายน้ำออกมาเป็นทางเลือกเดียวที่เป็นไปได้ แม้จะเป็นทางเลือกที่เสี่ยงที่สุดก็ตาม
และการตายของจ่าเอกสมาน กุนันก็ทำให้เจ้าหน้าที่ไทยตระหนักว่าพวกเขาโชคดีมากที่ส่งหน่วยซีลไปถึงที่อยู่ของเด็ก ๆ ได้โดยยังไม่มีใครตาย และการใช้นักดำน้ำต่างชาติเป็นทางเลือกเดียวในการช่วยเหลือเด็ก ๆ ออกมา และทำให้เจ้าหน้าที่ไทยตัดสินใจเลือกทางเลือกนี้ในที่สุด
British Cave Rescue Council (BCRC) จึงระดมนักดำน้ำในถ้ำมายังประเทศไทยเพิ่มเติมเพื่อปฏิบัติการครั้งสำคัญ หนึ่งในนั้นก็คือ Josh Bratchley ซึ่งพวกเขาจะทำหน้าที่ในการเปลี่ยนถังอากาศและพาเด็กสไลด์ข้ามเนินดินก่อนที่จะลงดำอีกครั้ง
Jason Mallinson และ Chris Jewell ยังเป็นสองในสี่นักดำน้ำที่ไปเตรียมเด็กให้พร้อมกับการดำ แม้ว่าเด็ก ๆ จะไม่มีโอกาสที่จะฝึกใช้หน้ากากก็ตาม พวกเขาให้เด็ก ๆ ใส่ Wetsuit ใส่หน้ากากเต็มหน้า และดูขอบกันน้ำให้พร้อม ก่อนให้เด็ก ๆ หันหน้าลง และพาดำลงน้ำไป
แต่พวกเขากล่าวว่า แม้ว่าจะเป็นผลจากยาด้วยที่ทำให้เด็ก ๆ ไม่ตกใจ แต่มันก็น่าแปลกใจมากที่เด็ก ๆ สงบนิ่งได้อย่างน่าประหลาด แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่นักดำน้ำก็ตาม นั้นแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญเป็นอย่างมากของเด็ก ๆ และพวกเขาไม่เห็นสัญญาณใดเลยที่เด็ก ๆ จะเกิดอาการตกใจ
การดำน้ำช่วงแรกเป็นการดำ 320 เมตร ต่อเนื่อง แต่โถงมีลักษณะกว้าง พวกเขาจะถามเด็ก ๆ โดยใช้ศัพท์ง่าย ๆ ว่าเด็ก ๆ โอเคไหมเพื่อทำให้พวกเขาใจเย็น เนื่องจากเด็ก ๆ รู้คำ #ภาษาอังกฤษ ไม่กี่คำ
ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ แต่โดยรวมแล้วนักดำน้ำ 1 คนจะเป็นผู้พาเด็ก ๆ ให้เคลื่อนที่ ซึ่งเด็กแต่ละคนจะมีเสื้อช่วยลอยตัวอยู่ซึ่งจะมีสายโยงที่ทำให้นักดำน้ำสามารถดึงเด็ก ๆ มากับตัวได้ และอีกมือหนึ่งจะต้องจับเชือกนำทางไว้ ถ้าปล่อยเชือก หมายความว่าทั้งนักดำน้ำทั้งเด็กจะหลงทาง
พวกเขารู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ชีวิตเด็ก ๆ อยู่ในมือพวกเขา จะต้องระวังไม่ทำให้หน้ากากของเด็ก ๆ หลุดออก ซึ่งมันเครียดมาก ในบางช่วงพวกเขาจะต้องดันเด็ก ๆ ผ่านช่องที่มีความแคบเพียง 15 นิ้วในขณะที่ยังต้องถือถังอากาศของทั้งเด็ก ๆ และของตัวเขาเอง ในน้ำที่มีทัศนวิสัยเหมือนกับการดำน้ำในกาแฟ และด้วยการที่พวกเขาอยากจะสัมผัสผนังถ้ำเพื่อให้รู้สึกได้ว่ามีอะไรอยู่รอบ ๆ ตัวเขา พวกเขาจึงตัดสินใจไม่สวมถุงมือ นั้นทำให้มือและข้อนิ้วของพวกเขาถูกกระทบเป็นอย่างมาก เหมือนกับการที่เอามือต่อยกำแพง
ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับอุปกรณ์ของเด็ก ๆ หรือดันเด็ก ๆ ไปกระแทกกับผนังถ้ำ เด็ก ๆ จะต้องตายอย่างแน่นอน เพราะพวกเขาทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการว่ายน้ำให้เร็วที่สุดเพื่อไปยังโถงอากาศต่อไป ซึ่งมันใช้เวลาราว 2 - 3 ชั่วโมงในการนำเด็กแต่ละคนผ่านส่วนนี้ส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่สหรัฐและไทย ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาจะเริ่มคุ้นเคยกับจังหวะการหายใจของเด็ก ๆ และสิ่งที่บ่งบอกว่าเด็ก ๆ ยังหายใจอยู่ก็คือฟองอากาศที่ลอยออกมาจากหน้ากากของเด็ก ๆ ที่พวกเขาสามารถได้ยินเสียงได้
ในวันสุดท้าย ทุกคนตระหนักว่าเวลาเหลือน้อยลงแล้ว และจำเป็นจะต้องนำเด็ก ๆ ที่เหลือ 5 คนออกมา ซึ่งทำให้ Jason Mallinson ต้องนำเด็กดำน้ำลงมา ส่งผ่านให้กับนักดำน้ำคนอื่น และว่ายย้อนกลับไปรับเด็กคนอื่นมาใหม่ เมื่อนำเด็กคนสุดท้ายดำลง ทัศนวิสัยแย่มากจนแม้แต่มือตัวเองก็มองไม่เห็น ทำให้พวกเขาต้องกอดเด็ก ๆ ไว้ใกล้กับตัวให้มากที่สุดเพื่อที่ว่าถ้าจะชนผนังถ้ำ พวกเขาจะได้เป็นคนชนก่อนที่เด็กจะชน
ในขณะที่ดำน้ำนำเด็ก ๆ ออกมา พวกเขาต้องทำใจให้สงบที่สุด แต่ในการนำเด็กคนสุดท้ายออกมา มันก็เริ่มช่วยไม่ได้ที่จะคิดว่าเราทำสำเร็จแล้วและเริ่มมีการจุก ๆ ในคอ จนเมื่อผู้ปกครองของเด็กเข้ามาขอบคุณพวกเขา นั่นก็ทำให้พวกเขาตื้นตันและน้ำตาคลอ
พวกเขายังกล่าวว่าพวกเขาแปลกใจที่หน่วยซีลของไทยใช้มาตรการความปลอดภัยที่ต่างจากนักดำน้ำต่างชาติอย่างสิ้นเชิง Jason Mallinson กล่าวว่าการ #ดำน้ำในถ้ำ ทำให้พวกเขาออกจาก Comfort zone และนั่นทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดอุบัติเหตุ พวกเขาไม่ได้ใช้วิธีการที่ถูกต้องและไม่มีอุปกรณ์ที่เหมาะสม เช่นในขณะที่นักดำน้ำในถ้ำจะมีอุปกรณ์สำรองและพกถังอากาศอย่างน้อยสองถัง ตัวปรับแรงดันสองตัว และไฟฉายสามอันเสมอ แต่พวกนักดำน้ำในถ้ำสังเกตุว่าหน่วยซีลมักจะใช้ถังอากาศและตัวปรับแรงดันแค่ตัวเดียว ซึ่งถ้าอุปกรณ์มีความผิดพลาด พวกเขาก็จะเจอปัญหา
และพวกเขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมากที่พบว่า #หน่วยซีล ทั้ง 4 นายนั้นไม่มีอากาศเพียงพอสำหรับขากลับ เพราะพวกเขาทำตามคำสั่งว่าให้ดำน้ำมาอยู่กับเด็ก ๆ จนจบเท่านั้น แต่ในระหว่างทางพวกเขาใช้อากาศจนหมด ทำให้นักดำน้ำในถ้ำทั้งสี่คนคือ Jason Mallinson, Chris Jewell, Rick Stanton, และ John Volanthen ต้องนำถังอากาศมาให้กับซีลทั้งสี่นายในขณะที่ดำน้ำมารับเด็ก ๆ ด้วย
แต่ Josh Bratchley กล่าวว่าภารกิจนี้ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่คิดไว้มาก สิ่งที่พวกเขาเรียนรู้ในปฏิบัติการนี้จะช่วยเหลือผู้คนมากมายที่อาจจะติดในถ้ำในอนาคต และย้ำว่าภารกิจนี้คือการทำงานเป็นทีมไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติใดก็ตาม
Daily Mail ยังชื่นชมว่าพวกนักดำน้ำในถ้ำแต่ละคนต่างปฏิเสธที่จะพูดว่าตัวเองเป็นฮีโร่หรือกล่าวถึงความกล้าหาญของตน แม้ว่าพวกเขาต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก สภาวะแวดล้อมที่เลวร้ายที่มีแค่ไม่กี่คนที่กล้าพอที่จะเข้าไปก็ตาม
เป็นการง่ายยิ้มได้ไม่ต้องฝืน
เมื่อชีพชื่นเหมือนบรรเลงเพลงสวรรค์
แต่คนที่ควรชมนิยมกัน
ต้องใจมั่นยิ้มได้เมื่อภัยมา
คนที่อ่าน เพชรพระอุมา ของพนมเทียน คงจำได้ว่าพระเอก รพินทร์ ไพรวัลย์ ปลอบใจนางเอกด้วยกวีบทนี้
ทว่าพนมเทียนไม่ได้แต่งกลอนบทนี้ มันเขียนโดยหลวงวิจิตรวาทการ!
ทว่าหลวงวิจิตรฯมก็แปลมาจากต้นฉบับภาษาอังกฤษอีกที ชื่อ Worth While เขียนโดยกวีชาวอเมริกัน Ella Wheeler Wilcox (1850 – 1919)
……………….
It is easy enough to be pleasant,
When life flows by like a song,
But the man worth while is one who will smile,
When everything goes dead wrong.
For the test of the heart is trouble,
And it always comes with the years,
And the smile that is worth the praises of earth
Is the smile that shines through tears.
……………….
ถ้าไม่คุ้นชื่อกวี ก็อาจคุ้นกับคำคมบทนี้
"Laugh, and the world laughs with you; weep, and you weep alone"
หัวเราะแลโลกจักหัวเราะกับท่าน
ร้องไห้ แลท่านร้องไห้คนเดียว
http://www.winbookclub.com/wormtalkdetail.php?topicid=2096