9 กรกฎาคม 2561 เวลา ตีสองสิบนาที
ผมอยู่ในรถด้วยสภาพเหนื่อยล้า ความรู้สึกแรกคือเจ็บมือไปหมด และเมื่อตรวจดูพบเลือดไหลจากสันมือด้านซ้ายจากรอยหนังแตก
มือซ้ายผมเจ็บระบม ผมหยิบผ้าขุนหนูผืนเล็กมาทำความสะอาดบาดแผลแล้วค่อยๆตั้งสติใหม่
สิ่งที่พบคือผมอยู่ในรถ กระจกมองหลังแตกะห้อยระโยงระยางยึดตัวมันเองไว้ได้ด้วยสายไฟ กระจกด้านคนขับแตก
ช่องแอร์ หน้าแผงคอนโซลรถ ที่วางแก้วด้านหน้า ช่องใส่ของด้านคนขับแตกกระจายจนแทบไม่เหลือสภาพเดิม
ผมพบว่าตัวเองกำลังจอดรถที่หน้าบ้านตัวเอง บ้านหลังที่ผมไม่เคยก้าวเข้าไปเหยียบเป็นเวลาเกือบยี่สิบปี
ย้อนไปถึงวันที่ทำให้ผมจากบ้านนี้ไป วันนั้นผมจำได้ดี มันเป็นเวลาเดียวกันอย่างสุดแสนบังเอิญ ตีสองสิบห้านาที
วันนั้นผมกำลังขัดผิวทำความสะอาดแม่พิมพ์เพื่อนำไปส่งลูกค้าที่นิคมอุตสาหกรรมนวนคร
พี่ชายได้ขับรถกลับมาจากการไปเที่ยว RCA ผมวางงาน เดินตรงเข้าไป ต่อว่าอย่างรุนแรงในเนื้อหาทำนองว่าทำไมวันๆเอาแต่เที่ยวกลางคืน
ไม่คิดช่วยกันทำงาน บ้านผมเป็นโรงงานเล็กๆทำเกี่ยวกับด้านซ่อมแม่พิมพ์ ตอนนั้นผมทำงานสองที่คือทำงานในโรงงานที่ปทุมธานี
ในฐานะมนุษย์เงินเดือนและทำงานที่บ้านเพื่อฟื้นฟูกิจการหลังภาวะต้มยำกุ้งผ่านไปได้ระยะหนึ่ง กลับมาที่คืนนั้น
ผมและที่ชายได้มีปากเสียงกันอย่างรุนแรงจนถึงประโยคที่พี่ชายชี้หน้าพูดกับผมว่า
“ มันดีแต่อวดเก่ง อยากได้กิจการไปคนเดียว กูรู้ กูก็ทำได้ งานกระจอกแบบนี้ “
หมัดขวาผมตรงเข้าหน้พี่ชายทันทีจนร่างเขาปลิวตามแรงหมัดก่อนเขาจะตั้งหลักได้แล้วโถมตัวเข้ามาต่อสู้
ก่อนนี้ช่วงอายุ 17-18 ในยุคที่ผมต้องทำทุกอย่างเพื่อเงินประทังชีวิตตัวเองและครอบครัวตอนนั้น
ผมไปเป็นนักมวยคู่ซ้อมในค่ายแห่งหนึ่งทำให้ผมมีทักษะที่เหนือกว่าพี่ที่ตัวใหญ่กว่ามาก
การวิวาทครั้งนั้นจบลงที่เสียงกรีดร้องของแม่ ภาพสุดท้ายที่จำได้คือแม่ก้มลงกราบผม
ขอให้ผมหยุดทำร้ายพี่ชาย แม่อาเจียรออกมาจากความเครียดแล้วก็หมดสติลงไปคลุกในกองอาเจียรนั้น
ทุกคนตกใจมาก คนงานพี่ชายและน้องสาวรีบมาพยุงแม่ขึ้นรถพาไปโรงพยาบาล ตอนนั้นเลยเหลือผมกับพ่อสองคนที่บ้าน
ผมเดินเข้าห้องตัวเอง หยิบเอกสารและเครื่องใช้บางชนิดเท่าที่จะนึกได้เดินไปขึ้นรถตัวเอง ระหว่างทางเจอพ่อยืนอยู่
คำพูดสุดท้ายของผมคือ “ ให้มันดูแลกิจการต่อตามที่มันอยากทำนะ ผมจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก “
แล้วผมก็ขับรถออกมาโดยไม่ได้หวนกลับมาเหยียบที่นี่อีกเลยตลอดเกือบยี่สิบปีตามที่ลั่นวาจาไว้
แล้วคืนนี้ล่ะผมมาทำอะไรที่นี่ ผมค่อยๆนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนนี้ไม่นานผมได้พูดคุยกับผู้หญิงท่านหนึ่ง เธอชื่อคุณเป้
เธอเป็นผู้หญิงที่สวยดูสงบและอ่อนโยน เรารู้จักกันในงานอบรมเกี่ยวกับธรรมมะในสถานที่แห่งหนึ่ง
ผมอาสาไปส่งเธอที่พักเพราะทราบจากเธอว่าเพิ่งผ่าตัดมาไม่นานและสามีไม่สะดวกมารับ ก่อนจากกันเธอได้คุยกับผม
เรื่องการใช้ชีวิตอยู่กับความทุกข์ ความเคียดแค้นชิงชัง เธอเล่าเรื่องธนูสองดอก ดอกแรกคือดอกที่คนที่ทำร้ายเราได้ปักลง
จนทำให้เราเจ็บปวดในใจ ส่วนดอกที่สองยิ่งเลวร้ายใหญ่เพราะเป็นดอกที่เราปักตัวเองจากความเคียดแค้นและความเจ็บปวดนี้
จะอยู่กับเราตลอดไปทำให้เป็นทุกข์ฉนั้นถ้าอยากหลุดออกจากทุกข์นี้ก็ต้องถอนธนูทั้งสองดอกนี้ ผมอยากพ้นทุกข์
ผมอยากถอนธนูสองดอกนี้ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลย ผมขับรถกลับชลบุรี นึกถึงคำพูดเธอตลอดเวลาแต่กลับมีแต่คำถาม
ในหัวซ้ำไปมาว่าต้องทำอย่างไร เมื่อถึงชลบุรี ผมลองคิดทบทวนอีกครั้งว่า อะไรทำให้ผมใช้ชีวิตอยู่อย่างเคียดแค้นชิงชังได้ขนาดนี้
การทบทวนครั้งนี้เหมือนจะเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ภาพเก่าๆที่เลวร้ายได้กลับมา เหตุการณ์เลวร้ายที่สุดที่ผมถูกลอบยิง
จากใครก็ไม่รู้แต่ผมพอจะเดาอะไรๆได้ แม้คู่กรณีไม่ยอมรับในช่วงแรกๆแต่สุดท้ายก็จำนนต่อหลักฐาน ใช่แล้ว
พี่ชายกับกลุ่มญาติฝั่งพ่อบางคน ทำไมเขาถึงได้ทำกับผมเหมือนไม่ใช่สายเลือดเดียวกันได้ขนาดนี้ เมื่อภาพในอดีตกลับมาผมกลายเป็น
ปีศาจทันที ผมเริ่มอาละวาดทำลายข้าวของ ผมมองหาอาวุธเท่าที่จะทำได้ ผมเลือกไม้เบสบอล และคิดในใจว่า
วันนี้จะเป็นวันที่ทุกอย่างจะได้รับการสะสาง ผมกลับขึ้นรถขับมุ่งหน้าไปที่ กทม. ที่ๆพี่ชายอาศัยอยู่ ผมจำไม่ได้ว่าขับรถด้วย
ความเร็วแค่ไหนแต่ผมบีบแตรไล่ทุกคนที่ขวางหน้า ในหัวผมมีแต่ความคิดว่าเรื่องระหว่างผมกับพี่ชายต้องจบ
จนมาถึงหน้าบ้านผมก็จำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากการอาละวาดอย่างรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนภายในรถ
ความโกรธความเคียดแค้นพาผมมาที่นี่ ผมได้สติ ผมตัดสินใจจากที่นั่นแล้วขับรถกลับชลบุรีอีกครั้ง
น้ำตาผมไหลตลอดเวลาจนแห้งไม่มีน้ำตาไหลออกมาอีก เสื้อผมเปียกจากน้ำตาที่หลั่งจนชุ่มไปหมด ความแค้นผมค่อยๆลดลงไป
มีแต่ความโล่งเข้ามาแทนที่ ความรู้สึกแบบแปลกๆที่ผมไม่เข้าใจและไม่รู้จะอธิบายได้อย่างไร มันโล่งมาก
สิ่งมหัศจรรย์ได้เกิดขึ้นกับผมคือ เมื่อผมกลับมาที่ชลบุรีแล้วผมไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ภาพความทรงจำร้ายๆในอดีตยังคงอยู่
แต่ผมกลับรู้สึกเฉยๆ มันว่างๆโล่งๆ ความเคียดแค้น ความเจ็บปวดของมือจากการขาดสติอาละวาดทำลายข้าวของ
ความล้าจากการเดินทางหรือแม้แต่อาการง่วงก็ไม่มีเลย ทุกอย่างหายสิ้น มีแต่ความรู้สึกโล่งเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย
รุ่งขี้นได้มีโอกาสคุยกับคุณเป้ เธอได้กล่าวแสดงความยินดีที่ผมสามารถถอนธนูออกไปได้ ผมคิดโทษตัวเองว่าโง่มานาน
ที่มัวแต่โอบกอดความเจ็บปวดไว้กับตัวเอง มันง่ายเหลือเกินที่จะปล่อยวางขอแค่ให้เข้มแข็ง แล้วผมก็ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่
ที่ปราศจากความเคียดแค้นที่มีต่อพี่ชายและคนรอบข้างตลอดไป
Reborn
ผมอยู่ในรถด้วยสภาพเหนื่อยล้า ความรู้สึกแรกคือเจ็บมือไปหมด และเมื่อตรวจดูพบเลือดไหลจากสันมือด้านซ้ายจากรอยหนังแตก
มือซ้ายผมเจ็บระบม ผมหยิบผ้าขุนหนูผืนเล็กมาทำความสะอาดบาดแผลแล้วค่อยๆตั้งสติใหม่
สิ่งที่พบคือผมอยู่ในรถ กระจกมองหลังแตกะห้อยระโยงระยางยึดตัวมันเองไว้ได้ด้วยสายไฟ กระจกด้านคนขับแตก
ช่องแอร์ หน้าแผงคอนโซลรถ ที่วางแก้วด้านหน้า ช่องใส่ของด้านคนขับแตกกระจายจนแทบไม่เหลือสภาพเดิม
ผมพบว่าตัวเองกำลังจอดรถที่หน้าบ้านตัวเอง บ้านหลังที่ผมไม่เคยก้าวเข้าไปเหยียบเป็นเวลาเกือบยี่สิบปี
ย้อนไปถึงวันที่ทำให้ผมจากบ้านนี้ไป วันนั้นผมจำได้ดี มันเป็นเวลาเดียวกันอย่างสุดแสนบังเอิญ ตีสองสิบห้านาที
วันนั้นผมกำลังขัดผิวทำความสะอาดแม่พิมพ์เพื่อนำไปส่งลูกค้าที่นิคมอุตสาหกรรมนวนคร
พี่ชายได้ขับรถกลับมาจากการไปเที่ยว RCA ผมวางงาน เดินตรงเข้าไป ต่อว่าอย่างรุนแรงในเนื้อหาทำนองว่าทำไมวันๆเอาแต่เที่ยวกลางคืน
ไม่คิดช่วยกันทำงาน บ้านผมเป็นโรงงานเล็กๆทำเกี่ยวกับด้านซ่อมแม่พิมพ์ ตอนนั้นผมทำงานสองที่คือทำงานในโรงงานที่ปทุมธานี
ในฐานะมนุษย์เงินเดือนและทำงานที่บ้านเพื่อฟื้นฟูกิจการหลังภาวะต้มยำกุ้งผ่านไปได้ระยะหนึ่ง กลับมาที่คืนนั้น
ผมและที่ชายได้มีปากเสียงกันอย่างรุนแรงจนถึงประโยคที่พี่ชายชี้หน้าพูดกับผมว่า
“ มันดีแต่อวดเก่ง อยากได้กิจการไปคนเดียว กูรู้ กูก็ทำได้ งานกระจอกแบบนี้ “
หมัดขวาผมตรงเข้าหน้พี่ชายทันทีจนร่างเขาปลิวตามแรงหมัดก่อนเขาจะตั้งหลักได้แล้วโถมตัวเข้ามาต่อสู้
ก่อนนี้ช่วงอายุ 17-18 ในยุคที่ผมต้องทำทุกอย่างเพื่อเงินประทังชีวิตตัวเองและครอบครัวตอนนั้น
ผมไปเป็นนักมวยคู่ซ้อมในค่ายแห่งหนึ่งทำให้ผมมีทักษะที่เหนือกว่าพี่ที่ตัวใหญ่กว่ามาก
การวิวาทครั้งนั้นจบลงที่เสียงกรีดร้องของแม่ ภาพสุดท้ายที่จำได้คือแม่ก้มลงกราบผม
ขอให้ผมหยุดทำร้ายพี่ชาย แม่อาเจียรออกมาจากความเครียดแล้วก็หมดสติลงไปคลุกในกองอาเจียรนั้น
ทุกคนตกใจมาก คนงานพี่ชายและน้องสาวรีบมาพยุงแม่ขึ้นรถพาไปโรงพยาบาล ตอนนั้นเลยเหลือผมกับพ่อสองคนที่บ้าน
ผมเดินเข้าห้องตัวเอง หยิบเอกสารและเครื่องใช้บางชนิดเท่าที่จะนึกได้เดินไปขึ้นรถตัวเอง ระหว่างทางเจอพ่อยืนอยู่
คำพูดสุดท้ายของผมคือ “ ให้มันดูแลกิจการต่อตามที่มันอยากทำนะ ผมจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก “
แล้วผมก็ขับรถออกมาโดยไม่ได้หวนกลับมาเหยียบที่นี่อีกเลยตลอดเกือบยี่สิบปีตามที่ลั่นวาจาไว้
แล้วคืนนี้ล่ะผมมาทำอะไรที่นี่ ผมค่อยๆนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนนี้ไม่นานผมได้พูดคุยกับผู้หญิงท่านหนึ่ง เธอชื่อคุณเป้
เธอเป็นผู้หญิงที่สวยดูสงบและอ่อนโยน เรารู้จักกันในงานอบรมเกี่ยวกับธรรมมะในสถานที่แห่งหนึ่ง
ผมอาสาไปส่งเธอที่พักเพราะทราบจากเธอว่าเพิ่งผ่าตัดมาไม่นานและสามีไม่สะดวกมารับ ก่อนจากกันเธอได้คุยกับผม
เรื่องการใช้ชีวิตอยู่กับความทุกข์ ความเคียดแค้นชิงชัง เธอเล่าเรื่องธนูสองดอก ดอกแรกคือดอกที่คนที่ทำร้ายเราได้ปักลง
จนทำให้เราเจ็บปวดในใจ ส่วนดอกที่สองยิ่งเลวร้ายใหญ่เพราะเป็นดอกที่เราปักตัวเองจากความเคียดแค้นและความเจ็บปวดนี้
จะอยู่กับเราตลอดไปทำให้เป็นทุกข์ฉนั้นถ้าอยากหลุดออกจากทุกข์นี้ก็ต้องถอนธนูทั้งสองดอกนี้ ผมอยากพ้นทุกข์
ผมอยากถอนธนูสองดอกนี้ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลย ผมขับรถกลับชลบุรี นึกถึงคำพูดเธอตลอดเวลาแต่กลับมีแต่คำถาม
ในหัวซ้ำไปมาว่าต้องทำอย่างไร เมื่อถึงชลบุรี ผมลองคิดทบทวนอีกครั้งว่า อะไรทำให้ผมใช้ชีวิตอยู่อย่างเคียดแค้นชิงชังได้ขนาดนี้
การทบทวนครั้งนี้เหมือนจะเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ภาพเก่าๆที่เลวร้ายได้กลับมา เหตุการณ์เลวร้ายที่สุดที่ผมถูกลอบยิง
จากใครก็ไม่รู้แต่ผมพอจะเดาอะไรๆได้ แม้คู่กรณีไม่ยอมรับในช่วงแรกๆแต่สุดท้ายก็จำนนต่อหลักฐาน ใช่แล้ว
พี่ชายกับกลุ่มญาติฝั่งพ่อบางคน ทำไมเขาถึงได้ทำกับผมเหมือนไม่ใช่สายเลือดเดียวกันได้ขนาดนี้ เมื่อภาพในอดีตกลับมาผมกลายเป็น
ปีศาจทันที ผมเริ่มอาละวาดทำลายข้าวของ ผมมองหาอาวุธเท่าที่จะทำได้ ผมเลือกไม้เบสบอล และคิดในใจว่า
วันนี้จะเป็นวันที่ทุกอย่างจะได้รับการสะสาง ผมกลับขึ้นรถขับมุ่งหน้าไปที่ กทม. ที่ๆพี่ชายอาศัยอยู่ ผมจำไม่ได้ว่าขับรถด้วย
ความเร็วแค่ไหนแต่ผมบีบแตรไล่ทุกคนที่ขวางหน้า ในหัวผมมีแต่ความคิดว่าเรื่องระหว่างผมกับพี่ชายต้องจบ
จนมาถึงหน้าบ้านผมก็จำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากการอาละวาดอย่างรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนภายในรถ
ความโกรธความเคียดแค้นพาผมมาที่นี่ ผมได้สติ ผมตัดสินใจจากที่นั่นแล้วขับรถกลับชลบุรีอีกครั้ง
น้ำตาผมไหลตลอดเวลาจนแห้งไม่มีน้ำตาไหลออกมาอีก เสื้อผมเปียกจากน้ำตาที่หลั่งจนชุ่มไปหมด ความแค้นผมค่อยๆลดลงไป
มีแต่ความโล่งเข้ามาแทนที่ ความรู้สึกแบบแปลกๆที่ผมไม่เข้าใจและไม่รู้จะอธิบายได้อย่างไร มันโล่งมาก
สิ่งมหัศจรรย์ได้เกิดขึ้นกับผมคือ เมื่อผมกลับมาที่ชลบุรีแล้วผมไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ภาพความทรงจำร้ายๆในอดีตยังคงอยู่
แต่ผมกลับรู้สึกเฉยๆ มันว่างๆโล่งๆ ความเคียดแค้น ความเจ็บปวดของมือจากการขาดสติอาละวาดทำลายข้าวของ
ความล้าจากการเดินทางหรือแม้แต่อาการง่วงก็ไม่มีเลย ทุกอย่างหายสิ้น มีแต่ความรู้สึกโล่งเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย
รุ่งขี้นได้มีโอกาสคุยกับคุณเป้ เธอได้กล่าวแสดงความยินดีที่ผมสามารถถอนธนูออกไปได้ ผมคิดโทษตัวเองว่าโง่มานาน
ที่มัวแต่โอบกอดความเจ็บปวดไว้กับตัวเอง มันง่ายเหลือเกินที่จะปล่อยวางขอแค่ให้เข้มแข็ง แล้วผมก็ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่
ที่ปราศจากความเคียดแค้นที่มีต่อพี่ชายและคนรอบข้างตลอดไป