บางครั้งในการลงทุน การใช้ financial ratio ต่างๆ ไม่สามารถที่จะบอกมูลค่าหุ้นที่ถูกต้องได้ถ้าคุณไม่ได้เข้าใจธุรกิจนั้นๆจริงๆ
วิธีที่ผมใช้บ่อยๆในการพิจารณาว่าจะลงทุนในบริษัทนั้นๆดีมั้ย นั่นคือ Market Cap ของทั้งบริษัท โดยเปรียบเทียบง่ายๆว่า ถ้าต้องเปิดบริษัทนั้นๆ โดยใช้เงินจำนวนเท่ากับ Market cap ของบริษัทที่สนใจ จะสามารถเอาชนะบริษัทนั้นๆได้หรือไม่
ผมขอยกตัวอย่าง 3 ตัวอย่างครับ คือ ESSO SAWAD BEAUTY
หุ้นตัวนี้ผมได้กำไร 50% นะครับ โดยถือเป็น 7 หลักขึ้น เลยคิดว่าจะสามารถพออธิบายตัวนี้ได้ (ผมใช้วิธีลอกการบ้านคนเก่ง แล้วมาคิดเพิ่มเติมว่าทำไมเค้าถึงเข้าตัวนั้นครับ)
ESSO เคยลงไปที่ 5 บาท ซึ่งมีมูลค่าทั้งบริษัทที่ 17,000 ล้านบาท ตอนนั้น Esso ขาดทุนสะสม 7000 กว่าล้าน รวมมูลค่าทั้งบริษัทประมาณ 7000
+17000 เป็น 24,000 ล้านบาท ผมไปซื้อช่วง 9.50-11 บาท ขาย 15.60 บาท
คิดง่ายๆว่า การลงทุนสร้าง โรงงานผลิตพาราไซลีน 500000 ตัน กับ โรงกลั่นขนาด 170000 Barrel ต่อวัน พร้อมปั๊มน้ำมันอีก 200 แห่ง ต้องใช้เงินมากกว่า 150,000 ล้านแน่ๆในยุคปัจจุบัน ผมเลยมองว่าราคาที่ 17000 ล้านบาท Market cap นะเวลานั้นถูกมาก ดังนั้น ถือว่าหุ้นตัวนี้ลดราคาซื้อได้
แต่จะกำไรเมื่อไรต้องดู factor อื่นอีกที
Sawad ช่วงราคา 60 บาท Sawad มี Market cap 60,000 ล้านบาท มีการปล่อยกู้ 27,000 ล้านบาท แต่ Sawad แพงกว่า ธนาคารธนชาตที่ช่วงนั้น Market cap 50,000 ล้าน แต่มีการปล่อยกู้ 500,000 ล้านไปเฉยเลย เมื่อเปรียบเทียบ ผมมองว่า sawad แพงมากๆครับ แล้วเมื่อมาคิดว่า ถ้ามีเงินลงทุน 60,000 ล้าน สามารถสร้างบริษัทที่ใหญ่กว่า แข็งแรงกว่า Sawad ได้มั้ย ตอบว่าสร้างได้ง่ายๆเลย ผมเลยมองว่าหุ้นตัวนี้จบไม่สวยแน่ๆ
Beauty ช่วงราคา 22 บาท Beauty มี Market cap เกือบ 60,000 ล้าน ถามง่ายๆว่า ถ้ามีเงินสด 60,000 ล้านสามารถสร้างธุรกิจแบบ beauty ได้มั้ย คำตอบคือได้เป็นจำนวนมาก เรียกว่าแค่ลงทุน 5,000 ก็ชนะ Beauty ได้ละครับ แปลว่า Beauty แพงมากๆ
อยากจะบอกว่าการลงทุนคิดง่ายๆ บนพื้นฐานความเป็นจริง จะช่วยให้ปลอดภัยครับ
ใช้ Market Cap วัดมูลค่าหุ้น
วิธีที่ผมใช้บ่อยๆในการพิจารณาว่าจะลงทุนในบริษัทนั้นๆดีมั้ย นั่นคือ Market Cap ของทั้งบริษัท โดยเปรียบเทียบง่ายๆว่า ถ้าต้องเปิดบริษัทนั้นๆ โดยใช้เงินจำนวนเท่ากับ Market cap ของบริษัทที่สนใจ จะสามารถเอาชนะบริษัทนั้นๆได้หรือไม่
ผมขอยกตัวอย่าง 3 ตัวอย่างครับ คือ ESSO SAWAD BEAUTY
หุ้นตัวนี้ผมได้กำไร 50% นะครับ โดยถือเป็น 7 หลักขึ้น เลยคิดว่าจะสามารถพออธิบายตัวนี้ได้ (ผมใช้วิธีลอกการบ้านคนเก่ง แล้วมาคิดเพิ่มเติมว่าทำไมเค้าถึงเข้าตัวนั้นครับ)
ESSO เคยลงไปที่ 5 บาท ซึ่งมีมูลค่าทั้งบริษัทที่ 17,000 ล้านบาท ตอนนั้น Esso ขาดทุนสะสม 7000 กว่าล้าน รวมมูลค่าทั้งบริษัทประมาณ 7000
+17000 เป็น 24,000 ล้านบาท ผมไปซื้อช่วง 9.50-11 บาท ขาย 15.60 บาท
คิดง่ายๆว่า การลงทุนสร้าง โรงงานผลิตพาราไซลีน 500000 ตัน กับ โรงกลั่นขนาด 170000 Barrel ต่อวัน พร้อมปั๊มน้ำมันอีก 200 แห่ง ต้องใช้เงินมากกว่า 150,000 ล้านแน่ๆในยุคปัจจุบัน ผมเลยมองว่าราคาที่ 17000 ล้านบาท Market cap นะเวลานั้นถูกมาก ดังนั้น ถือว่าหุ้นตัวนี้ลดราคาซื้อได้
แต่จะกำไรเมื่อไรต้องดู factor อื่นอีกที
Sawad ช่วงราคา 60 บาท Sawad มี Market cap 60,000 ล้านบาท มีการปล่อยกู้ 27,000 ล้านบาท แต่ Sawad แพงกว่า ธนาคารธนชาตที่ช่วงนั้น Market cap 50,000 ล้าน แต่มีการปล่อยกู้ 500,000 ล้านไปเฉยเลย เมื่อเปรียบเทียบ ผมมองว่า sawad แพงมากๆครับ แล้วเมื่อมาคิดว่า ถ้ามีเงินลงทุน 60,000 ล้าน สามารถสร้างบริษัทที่ใหญ่กว่า แข็งแรงกว่า Sawad ได้มั้ย ตอบว่าสร้างได้ง่ายๆเลย ผมเลยมองว่าหุ้นตัวนี้จบไม่สวยแน่ๆ
Beauty ช่วงราคา 22 บาท Beauty มี Market cap เกือบ 60,000 ล้าน ถามง่ายๆว่า ถ้ามีเงินสด 60,000 ล้านสามารถสร้างธุรกิจแบบ beauty ได้มั้ย คำตอบคือได้เป็นจำนวนมาก เรียกว่าแค่ลงทุน 5,000 ก็ชนะ Beauty ได้ละครับ แปลว่า Beauty แพงมากๆ
อยากจะบอกว่าการลงทุนคิดง่ายๆ บนพื้นฐานความเป็นจริง จะช่วยให้ปลอดภัยครับ